เสียงกรีดร้องแหบพร่าเมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของฮารุและอิจิ ทั้งคู่ยืนนิ่ง สายตาจับจ้องไปยังซอกตึกมืดมิดที่มาของเสียง ความเงียบที่กลับคืนมาดูเหมือนจะหนักอึ้งกว่าเดิม บรรยากาศกดดันจนสัมผัสได้ถึงหยาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดขึ้นบนแผ่นหลังของอิจิ
"เมื่อกี้...มันอะไรกัน" ฮารุถามเสียงกระซิบ มือยังคงกำขวดกักเก็บวิญญาณแน่น อิจิส่ายหน้าช้าๆ "ไม่รู้สิ...แต่นาฬิกาของเธอก็ยังไม่เตือนเลยนะฮารุ" ทันใดนั้นเอง... ฟิ้ว! เสียงบางอย่างเคลื่อนผ่านด้านหลังพวกเขาไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม กระแสลมเย็นวาบที่ปะทะกับแผ่นหลังของทั้งคู่ทำให้พวกเขาถึงกับสะดุ้งเฮือก มันไม่ใช่เสียงลมพัด แต่เป็นเสียงของการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวเกินมนุษย์ "อะไรน่ะ?!" ฮารุอุทานด้วยความตกใจ หันขวับไปมองด้านหลังทันที แต่ก่อนที่ฮารุจะทันได้เห็นสิ่งใด อิจิก็ตอบสนองเร็วกว่าสัญชาตญาณ เขาไม่ได้หันไปมองด้านหลัง แต่ใช้เท้าทั้งสองข้างถีบพื้นออกตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันทีราวกับจรวด ด้วยความเร็วของนักกีฬาที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ร่างของเขาพุ่งเข้าไปในซอกตึกที่มืดมิดซึ่งเป็นทิศทางที่เสียงนั้นเคลื่อนผ่านไป "อิจิ! เดี๋ยว!" ฮารุร้องเรียกด้วยความกังวล แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของอิจิหายลับไปในความมืดมิดนั้นอย่างรวดเร็ว เธอรีบวิ่งตามไปติดๆ อิจิพุ่งตัวเข้าไปในซอกตึกที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังและเถาวัลย์ที่เลื้อยพันยุ่งเหยิง แสงที่เล็ดลอดเข้ามาน้อยมากทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่สัญชาตญาณของเขาก็แม่นยำกว่าสายตา เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ว่องไวอยู่เบื้องหน้า ร่างเล็กๆ ที่หลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้อย่างชำนาญราวกับสัตว์ป่า "หนีไปไหนไม่พ้นหรอก!" อิจิตะโกนไล่ตาม พร้อมกับออกแรงเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ก้าวข้ามเศษซากไม้ที่หักโค่นและซากอิฐที่กองอยู่ตรงหน้า บางครั้งเขาก็ต้องใช้มือยันกำแพงเพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวรวดเร็วและไม่สะดุด ทางข้างหน้าเริ่มแคบลงเรื่อยๆ ราวกับเขาวงกตที่ไร้จุดสิ้นสุด เขาเห็นแผ่นหลังเล็กๆ ที่วูบหายไปตามซอกมุมของซากปรักหักพัง อิจิรู้ดีว่าหากคลาดสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาที เป้าหมายก็จะหายไปทันที เขาใช้พลังทั้งหมดที่มี พุ่งทะยานอีกครั้ง และในจังหวะที่เป้าหมายกำลังจะเลี้ยวหายไปในซอกตึกอีกแห่ง อิจิก็พุ่งตัวออกไปสุดแรง คว้า! มือของเขากระชากเข้าที่เสื้อของร่างเล็กๆ นั้นได้สำเร็จ ร่างเล็กๆ ดิ้นรนอย่างรุนแรงทันทีที่ถูกจับได้ แรงดิ้นทำให้เกิดเสียงครืดคราดของเศษหินที่ถูกเท้าถีบ "ปล่อยนะ! ไอ้พวกคนแปลกหน้า!" เสียงแหลมเล็กๆ ตะโกนก้อง ทำให้ฮารุที่วิ่งตามมาถึงพอดีถึงกับชะงัก เมื่อแสงสลัวๆ จากด้านนอกส่องเข้ามาเพียงพอ อิจิก็เห็นว่าคนที่เขาจับได้คือ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ดูแล้วอายุคงไม่เกิน 10 ปี ดวงตากลมโตของเด็กคนนั้นจ้องมองพวกเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ และเต็มไปด้วยความโกรธ เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูมอมแมมและขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ใบหน้าก็ยังคงฉายแววเฉลียวฉลาด ฮารุเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมึนงงเล็กน้อย "เด็กงั้นหรอ?" เธอพึมพำกับตัวเอง เธอคิดว่าหมู่บ้านนี้จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง ไร้ซึ่งชีวิตไปแล้วเสียอีก "ปล่อยฉันเดียวนี้นะ! ไม่งั้นเจอดีแน่!" เด็กคนนั้นยังคงดิ้นไม่หยุดพยายามจะสะบัดมือของอิจิให้หลุด "ใจเย็นก่อนเถอะน่า!" อิจิพูด พยายามตรึงร่างของเด็กคนนั้นไว้ "เราไม่ได้จะทำอะไรนายหรอก" "ปล่อยก็ได้" ฮารุเอ่ยขึ้น สีหน้าของเธออ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่พวกเขาไล่ตามมาคือเด็กเล็กๆ "แต่ต้องบอกเราก่อน นายชื่ออะไร แล้วอยู่ที่นี่ได้ยังไง" เด็กชายหยุดดิ้น แต่ยังคงจ้องมองทั้งคู่ด้วยความไม่ไว้วางใจ ดวงตาของเขาเหลือบมองไปทางอื่น ก่อนจะยอมตอบเสียงอ้อมแอ้ม "ฉันชื่อ คิสึเมะ" "คิสึเมะ?" ฮารุทวนชื่อพลางขมวดคิ้ว "แล้วทำไมนายถึงอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ? ที่นี่ไม่น่าจะมีใครอยู่แล้วนี่นา" เธอพยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของผู้คนอื่นเลยนอกจากรูปปั้นหินที่ไร้ชีวิต คิสึเมะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย "ก็เพราะบ้านฉันอยู่ที่นี่ไง!" เขาตอบเสียงห้วน ราวกับว่าคำถามของฮารุนั้นไร้สาระสิ้นดี อิจิถอนหายใจ "แล้วนอกจากนายแล้ว...ยังมีใครอีกไหม? ผู้ใหญ่หรือคนอื่นๆ?" เขาถามด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง เพราะสภาพเมืองแบบนี้ไม่น่าจะเอื้อต่อการอยู่อาศัยเลยแม้แต่น้อย คิสึเมะจ้องมองอิจิครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อย "มีสิ" คำตอบสั้นๆ นั้นทำให้ทั้งคู่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก "งั้นนายช่วยพาพวกเราไปหน่อยได้ไหม" อิจิเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง "เรามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ...และเราคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้คนในเมืองนี้ด้วย" คิสึเมะมองอิจิแล้วหันไปมองฮารุ สลับไปมาเหมือนกำลังชั่งใจ ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาแบมือออกไปตรงหน้าทั้งสองคน "ก็ได้...ถ้ามีของแลกเปลี่ยน" ฮารุกับอิจิถึงกับมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าเด็กอายุแค่นี้จะรู้จักการ "แลกเปลี่ยน" "ของแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ?" อิจิเลิกคิ้ว "ใช่แล้ว! พวกนายบุกรุกเข้ามาในที่ของฉันนะ" คิสึเมะพูดพร้อมกับยื่นมือที่แบออกไปตรงหน้าฮารุ "หรือว่าพวกคนแปลกหน้าไม่มีของแลกเปลี่ยนกันแน่" ฮารุอมยิ้มเล็กน้อย เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบเอา ลูกอมรสสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดใส ที่พกติดตัวมาด้วยส่งให้คิสึเมะ ดวงตาของคิสึเมะเบิกกว้างเมื่อเห็นลูกอมในมือของฮารุ แววตาของเด็กน้อยปรากฏชัดเจนขึ้นในพริบตา เขารับลูกอมมาอย่างรวดเร็ว กัดลงไปทันที เสียงเป๊าะแตกดังขึ้นเมื่อเปลือกลูกอมปริออก เผยให้เห็นเม็ดอมสีแดงที่ซ่อนอยู่ "อื้ม! อร่อย!" คิสึเมะพูดเสียงดัง เคี้ยวลูกอมอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน "ความจริงฉันไม่ค่อยอยากได้หรอก...แต่เห็นแก่เธอ...ฉันจะนำทางไปก็ได้!" แม้คำพูดจะฟังดูไม่เต็มใจ แต่ท่าทีของคิสึเมะกลับแตกต่างออกไป เขากัดลูกอมดังกร้วมๆ ก่อนจะหันหลังกลับเดินนำทั้งคู่ลึกเข้าไปในซอกซอยที่มืดมิดและดูเหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม "ตามมาสิ! ชักช้าเดี๋ยวก็ถูกพวกเงาปีศาจจับกินซะหรอก!" คิสึเมะตะโกนเรียกเสียงดัง ราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกกลัวภัยคุกคามที่เขาเพิ่งพูดถึงเลยแม้แต่น้อย ฮารุกับอิจิมองหน้ากันอีกครั้ง พร้อมกับส่ายหัวอย่างระอาในความเจ้าเล่ห์ของเด็กน้อย แต่ก็ต้องรีบสาวเท้าตามไปติดๆ ยิ่งเดินลึกเข้าไป ความรู้สึกเยือกเย็นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนจับใจ แต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่ความหนาวเย็นจากบรรยากาศรอบกาย แต่เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับ พลังงานบางอย่าง กำลังแผ่ออกมาจากพื้นดินและกำแพงอาคารที่รายล้อมพวกเขา บรรยากาศดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังเดินผ่านมิติที่แตกต่างออกไปจากโลกปกติ นาฬิกาอาคมของฮารุยังคงเงียบสนิท แต่สัญชาตญาณกลับร้องเตือนดังลั่นในใจของเธอว่า พวกเขากำลังก้าวเข้าไปใกล้บางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และอันตรายกว่าที่คิดไว้มากนัก...สิ่งที่คิสึเมะกำลังพาพวกเขาไป อาจจะเป็นหัวใจของเมืองร้างแห่งนี้...และเป็นจุดที่เงาปีศาจที่แท้จริงซ่อนตัวอยู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ประดับประดาด้วยดวงดาวนับล้านกลับถูกฉีกกระชากด้วยเงาที่ดำมืดกว่ารัตติกาล เงาร่างนั้นพุ่งทะยานลงมาจากเบื้องบนด้วยความเร็วที่เหนือการมองเห็นของมนุษย์ปกติ เป้าหมายชัดเจน… ฮารุฮารุกำลังเดินเคียงข้างอิจิ สายตาเหม่อมองดวงจันทร์สีนวลอย่างเพลินเพลิน ทันใดนั้น ความรู้สึกผิดปกติก็แผ่ซ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสของเธอ อากาศรอบกายเย็นเยียบลงอย่างกะทันหัน ราวกับมีบางสิ่งดึงเอาความร้อนทั้งหมดออกไปจากชั้นบรรยากาศ“อิจิ…” ฮารุพึมพำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากลยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงคำรามต่ำลึกก็ฉีกผ่านความเงียบสงัด คลื่นเสียงนั้นไม่ใช่เสียงจากสัตว์ป่าบนโลก แต่เป็นเสียงที่มาจากห้วงลึกของความมืดมิด… เสียงของบางสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่จริงอิจิไม่รอช้า สัญชาตญาณนักรบของเขาพลุ่งพล่าน เขาเห็นเงาขนาดมหึมาที่กำลังทิ้งตัวลงมา รูปร่างคล้ายสัตว์ร้าย แต่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยหนามแหลมคม มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เขารู้จัก ไม่ใช่ภูตผีธรรมดาที่เคยเผชิญหน้า“หลบ!” อิจิตะโกนลั่น พร้อมกับตวัดแขนออกไปคว้าเอวของฮารุ กระชากร่างบอบบางให้พุ่งหลบออกไปจากจุดที่เงาปีศาจกำลังจะพุ่งลงมาอย่างเฉียดฉิว พื
เสียงกรีดร้องแหบพร่าเมื่อครู่ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของฮารุและอิจิ ทั้งคู่ยืนนิ่ง สายตาจับจ้องไปยังซอกตึกมืดมิดที่มาของเสียง ความเงียบที่กลับคืนมาดูเหมือนจะหนักอึ้งกว่าเดิม บรรยากาศกดดันจนสัมผัสได้ถึงหยาดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดขึ้นบนแผ่นหลังของอิจิ"เมื่อกี้...มันอะไรกัน" ฮารุถามเสียงกระซิบ มือยังคงกำขวดกักเก็บวิญญาณแน่นอิจิส่ายหน้าช้าๆ "ไม่รู้สิ...แต่นาฬิกาของเธอก็ยังไม่เตือนเลยนะฮารุ"ทันใดนั้นเอง...ฟิ้ว!เสียงบางอย่างเคลื่อนผ่านด้านหลังพวกเขาไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม กระแสลมเย็นวาบที่ปะทะกับแผ่นหลังของทั้งคู่ทำให้พวกเขาถึงกับสะดุ้งเฮือก มันไม่ใช่เสียงลมพัด แต่เป็นเสียงของการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไวเกินมนุษย์"อะไรน่ะ?!" ฮารุอุทานด้วยความตกใจ หันขวับไปมองด้านหลังทันทีแต่ก่อนที่ฮารุจะทันได้เห็นสิ่งใด อิจิก็ตอบสนองเร็วกว่าสัญชาตญาณ เขาไม่ได้หันไปมองด้านหลัง แต่ใช้เท้าทั้งสองข้างถีบพื้นออกตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันทีราวกับจรวด ด้วยความเร็วของนักกีฬาที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ร่างของเขาพุ่งเข้าไปในซอกตึกที่มืดมิดซึ่งเป็นทิศทางที่เสียงนั้นเคลื่อนผ่านไป"อิจิ! เดี๋ยว!" ฮารุร้องเรียกด้ว
ประตูมิติที่เรืองแสงสีม่วงหม่นอยู่เบื้องหน้าบิดเบี้ยวคล้ายภาพสะท้อนในกระจกที่แตกละเอียด ฮารุในชุดนักเรียนที่ดูคล่องตัวไม่ต่างจากชุดผจญภัย จ้องมองช่องว่างแห่งมิติด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มือข้างหนึ่งกระชับกล้องถ่ายรูปที่ห้อยอยู่ข้างตัว อีกข้างหนึ่งพร้อมที่จะหยิบขวดกักเก็บวิญญาณที่เหน็บไว้กับเข็มขัดข้างๆ กัน อิจิเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไม่แพ้กัน ดวงตาสีเข้มของเขาจับจ้องไปยังความว่างเปล่าเบื้องหลังประตู พลางกำด้ามมีดอาคมที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างมั่นคง แม้ความกลัวจะเกาะกุมอยู่ในใจ แต่ในฐานะเพื่อนและผู้ร่วมภารกิจ เขาจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด"พร้อมนะฮารุ" อิจิเอ่ยเสียงเรียบ พยายามระงับความประหม่าฮารุพยักหน้าเล็กน้อย "กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ไม่พร้อมก็บ้าแล้วล่ะ" เธอกล่าวพร้อมกับฉีกยิ้มบางๆ ที่มุมปากเพื่อคลายความตึงเครียด "ไปกันเลย!"ไม่รอช้า ฮารุก็ออกก้าวแรก ทะลวงผ่านผืนอากาศที่บิดเบี้ยวของประตูมิติ ตามมาด้วยอิจิที่ก้าวตามหลังทันที ราวกับมีแรงดูดมหาศาลดึงพวกเขาเข้าไปทันทีที่ก้าวพ้นจากประตู มิติแห่งกาลเวลาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งรอบกายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงพวกเขายืนอยู่ท่ามกลาง เมือง