เด็กหนุ่มละล้าละลังชั่วครู่จึงตัดสินใจเลี้ยวไปด้านขวาที่น่าจะเป็นทางที่ใกล้กับลิฟต์ที่สุด แต่เขากลับต้องชะงักเพราะถูกฉุดรั้งจากมือที่มองไม่เห็นดึงเข้าไปยังห้องหนึ่งที่เปิดแง้มออกมา คิระถูกกระชากเข้ามาอย่างแรงจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนังอีกหน
คิระออกอาการลนลานเพราะอีกฝ่ายกักกันเขาไว้ด้วยศอกซ้ายที่กลางลำคอของเขา แค่แขนข้างเดียวก็หนักยังกับท่อนเหล็กแล้ว มืออีกข้างยังกดไหล่เขาไว้กับผนังไม่ปล่อย
โว้ย!
อะไรนักหนาเนี่ย!!
“ปล่อยผมนะ!” คิระขู่เสียงสั่น
“หึ ดุเหมือนลูกแมวเหมียวเลยนะนายน่ะ”
“ไม่ปล่อยผมจะเป็นเสือให้ดู”
ดูเหมือนคุณภามม์จะชอบใจ เพราะไม่เพียงแค่รอยยิ้มร้ายที่ปรากฏทันทีที่สิ้นเสียงขู่ เขายังโน้มหน้าลงมากระซิบข้างหูอีก
“คิดจะหนีไปง่ายๆ ก็ได้เหรอ... เสือน้อย”
“ก็คุณไม่ฟังผมอะ!”
“ฉันกำลังฟังอยู่นี่ไง” ภามม์ตอบเสียงกร้าว “ไหนบอกเหตุผลที่พอฟังได้มา แต่ถ้าไม่ได้ นายต้องโดนจูบ”
“หา! คุณจะบ้าเหรอ!ผมเป็นผู้ชายนะ”
“แล้วไง”
“ก็ผมไม่ใช่ผู้หญิงอะ”
“ไม่เป็นไร ฉันชอบ”
“ห๊า!!”
คิระตาค้าง เบนหน้าหนี หลบริมฝีปากของคุณภามม์ที่เฉียดปลายจมูกไปนิดเดียว เด็กหนุ่มรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่พ่นประชิดหน้า รู้สึกถึงอันตรายแปลกๆ
“ถอยไปเลยนะ!” คิระแหวใส่ ไม่สนลูกใคร ไม่ว่าลูกคน ลูกหมา ลูกแมว ตอนนี้เขาหน้ามืดหมดแล้ว หากต้องสู้ก็ต้องสู้กันสักตั้งล่ะ!
คุณภามม์อะไรนี่ใหญ่มาจากไหน จะชี้เป็นชี้ตายกับงานของเขาอย่างไรก็ไม่สนใจแล้ว ตอนนี้คิระอยากหนีไปให้ไกล แต่ก่อนไปก็อยากจะซัดอีกฝ่ายสักป้าบให้หายปากเสีย
แต่...
“ปากเก่งดีนะเจ้าหนู”
“ผมโตแล้วไม่ใช่เจ้าหนู!”
ตอนนี้แววตายั่วเย้าของภามม์เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและคาดคั้นแถมเซ็กซี่ในที
“นายน่าสนใจดี แบบนี้สิถึงจะน่าสนุก!”
สนุกเหรอ!
สนุกกับผีอะสิ!!
คิระทบทวนคำพูดอีกฝ่าย เห็นเขาส่งแววตาวิบวับมาให้เหมือนตอนที่หว่านเสน่ห์หญิงสาวเมื่อครู่ก็ตกใจแทบช็อค
“เฮ้ย! นี่คุณคิดอะไรกับผมปะ”
“แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”
“อย่ามาคิดบ้าๆ อะไรกับผมนะ”
“ไม่ทันแล้วล่ะ”
“ปละ... ปล่อยนะ! ปล่อย! ผมเจ็บ!”
“เด็กน้อยมาถึงที่แบบนี้ ปล่อยก็โง่สิ”
อีกฝ่ายไม่เพียงขู่ตะคอกกลับกดร่างเล็กกว่าแนบชิดผนังด้วยมือแข็งแกร่ง อีกมือเชยคางเรียวของคิระแล้วบิดให้หันซ้ายขวาราวกับต้องการสำรวจตรวจตราก่อนเอ่ยเสียงกร้าวอีกครั้ง
“แต่ถ้านายสารภาพว่าใครจ้างนายมา ฉันก็อาจจะพิจารณาปล่อยนาย”
“ก็บอกแล้วว่าลุงตฤณให้มา” คิระปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ใช่คนอื่นแน่นะ”
“ก็บอกว่าลุงใช้ผมเอาแฟ้มมาให้คุณเซ็นต์ นอกนั้นผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเลยจริงๆ”
“ฉันควรเชื่อนาย?” ภามม์เลิกคิ้วถาม
คิระพยักหน้ารัวๆ ก่อนตอบ “คุณไม่เชื่อผมก็ไม่ต้องเชื่อแมวที่ไหนแล้วล่ะ”
เท่านั้น...
ภามม์ถึงกับหลุดหัวเราะ แต่ไม่ทันได้เอาเรื่องเด็กหน้ามึนต่อ เขาก็ดึงมือคิระเข้าหาจนร่างทั้งร่างเซถลาเข้าหาอ้อมกอด คิระตกใจแทบช็อค นึกถึงภาพคุณภามม์กับหญิงสาวคนก่อนหน้ายังติดตา และตอนนี้ภามม์กำลังกด
ล็อกประตูทันทีที่มีเสียงลงส้นหนักๆ ของรองเท้าจากโถงทางเดินด้านนอก
“ภามม์ ภามม์คะ คุณอยู่ไหนคะภามม์!”
“ชะ... ช่วยด้วยฮะ!”
คิระส่งเสียงเรียกคนข้างนอก แต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะถูกฝ่ามือใหญ่ตะครุบปิดปากเอาไว้ตามด้วยเสียงคำรามลั่น
“อย่าส่งเสียง”
“ภามม์ ภามม์คะ ตกลงคุณยังอยู่ที่ห้องรึเปล่า”
คิระพยายามดิ้นรนยื่นมือไปที่ลูกบิดประตูแต่กลับถูกอีกฝ่ายลากถูลู่ถูกังเข้าไปด้านใน เขาใช้สองมือเหนี่ยวรั้งประตูห้องน้ำเอาไว้ไม่ให้ร่างลอยไปตามแรงเหยียดเท้าสุดเอื้อมหมายจะถีบประตูให้คนอยู่ด้านนอกได้ยินแต่ก็ไม่ทัน เพราะเสียงที่ร้องเรียกเมื่อครู่กลับไกลออกไป อีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระหนำซ้ำยังโอบเอวเขาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“ปล่อยผม!”
“จะหยุดดิ้นได้รึยังล่ะ”
“คุณก็ปล่อยผมก่อนสิ”
“นายก็หยุดดิ้นก่อนสิ”
คิระฟังแล้วคันฟันอยากงับแขนขาวของคนกักขฬะ แต่ก็ถูกมือใหญ่ปิดปากไว้ เขาจึงหยุดดิ้นทันควันเพราะเสียงออกคำสั่งที่กระซิบข้างหูไม่เพียงคุกคามด้วยคำพูดแต่ริมฝีปากของเขายังเลื่อนลงต่ำมาขบเม้มที่ซอกคอหน้าตาเฉย
อะไรวะ!
คุณภามม์นี่เป็นหมาว้อรึไง!
ในที่สุดริมฝีปากของคิระก็เป็นอิสระจากฝ่ามือใหญ่ที่ผละออก เขาได้ทีร้องลั่น!
“คนเลว! คุณทำแบบนี้กับผมทำไม!”
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้”
“ก็คุณ!”
เท่านั้นคิระก็ถึงกับหน้าหันเมื่ออีกฝ่ายจับคางเขาให้หันมาหา ไม่ทันได้ตั้งตัวริมฝีปากอิ่มก็ถูกฉกวูบ คิระหน้าชากลืนคำพูดลงคอไปหมดสิ้น
เฮ้ย!
เขาจูบจริง!
เพียงเห็นแววตายิ้มเยาะของอีกฝ่ายที่แม้ริมฝีปากจะประกบกันแต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจถือดี เขาไม่เพียงประกบปากแนบสนิทยังบดขยี้และกัดริมฝีปากคิระจนเผยอเพราะความเจ็บ เท่านั้นลิ้นของเขาก็ซอกซอนชำแรกเข้ามาในโพรงปาก
คิระถลึงตาใส่ด้วยความกลัวลนลาน
“พี่ไปเทคคอร์สสั้นๆ แล้วก็มีข่าวเรื่องเรียนมาบอกนายด้วยนะ”“อ๋อ ฮะ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ขณะสบตาเขาด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้า “แล้วนี่พี่ฟ้าไม่มาด้วยเหรอฮะ”“พี่เลิกกับฟ้าแล้ว”ผมงันไปกับสิ่งที่พี่จุลบอก สีหน้าพี่จุลไม่ได้ดูเศร้ามากมายไม่เหมือนคนที่เลิกกับแฟน หรือที่จริงพวกเขาอาจจะเลิกกันนานแล้วเพราะเวลาก็ผ่านมานานกว่าครึ่งปีแล้วนี่นาผมไม่มีคำถามอีกแต่ปลอบเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “เสียใจด้วยนะฮะ พี่จุล”“ไม่เป็นไร” เขาตอบพลางถามผมกลับ “แล้วคีกับแฟนล่ะ”“แฟนผมเหรอฮะ”“อืม... ยังรักกันดีไหม” พี่จุลเข้าใจว่าผมกับนายตรีคชาเป็นแฟนกันจริงๆ เพราะเขาประกาศลั่นกลางงานซะขนาดนั้น แต่ผมกับหมอนั่นก็แค่คนผ่านมาผ่านไป เรื่องระหว่างเราไม่มีอะไรจริงเลย“ผม...”“นายไม่อยากพูดถึงก็ไม่เป็นไร”“ฮะ”ผมกับพี่จุลได้แต่อ้ำอึ้งเหมือนไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ ทั้งที่เมื่อก่อนเราสองคนมีเรื่องคุยกันมากมาย ผมจึงผายมือไปที่ร้านตัดสินใจกลับเข้าไปด้านใน“ผมไปนะ”“นายเปลี่ยนเบอร์เหรอ”ผมนิ่งไป ผมไมได้เปลี่ยนหรอก ก็แค่บล็อกเขาไว้ ทั้งโทรศัพท์ ไลน์ ไอจี เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไม่เหลือสักช่องทาง ทั้งพี่จุลกับนายตรีคชา ผมไม่ติดต่อใค
ผมเจอมันบนโต๊ะทำงานของเขา มันวางอยู่อย่างไร้ค่าทั้งที่เป็นสมบัติหวงแหนหนึ่งเดียวของพ่อที่ผมเก็บไว้หลงเหลือเป็นความทรงจำ ผมหามันแทบพลิกแผ่นดินหลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น คิดว่ามันคงหายไปในช่วงชุลมุนไม่น่าจะหาเจอแล้ว แต่ผมกลับเจอของแทนใจของพ่อที่คอนโดของคนที่ผมนอนด้วยถึงสองครั้งสองคราที่แท้เขาคือคนเมื่อสามเดือนก่อนที่ทิ้งผมไว้ในห้องจนมีคนมาพบเข้า ผมอับอายกับคำดูถูกจากใครไม่รู้และไม่รู้เลยว่าคนที่ผมนอนด้วยเป็นใครด้วยซ้ำ คนฉวยโอกาสที่แสร้งมาทำดีให้ผมตายใจแล้วตักตวงความสุขจากเรือนร่างผมหมุนปากกาในมือไปมา จู่ๆ น้ำตาก็ร่วง...“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอ่อนโยนที่นั่งข้าง เธอเป็นหญิงชราวัยเจ็ดสิบเศษท่าทางงกๆ เงิ่นๆ มานั่งข้างผมที่ป้ายรถเมล์นี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมจึงตอบเธออย่างเสียไม่ได้“ผมไม่เป็นไรฮะ”“แต่ดูหน้าไม่ดีเลยนะ”“ไม่มีอะไรจริงๆ ฮะ”ผมส่ายหน้า พยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนโง่ แต่คำพูดของเธอทำให้ผมพูดไม่ออก“หรือว่าถูกสาวทิ้งสิท่า”“โอ๊ย! เปล่าฮะ” ผมรีบตอบ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกฮะ”“งั้นถูกหนุ่มทิ้ง”“โอ๊ย! ยิ่งไม่ใช่ให
“ผมรู้ แต่ว่า...” เขาตอบเสียงแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบจากสายลมผมรู้ว่าเขาลังเล อาจเพราะเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ กับผมมาก่อน แต่ผมไม่แคร์ ไม่ใช่ไม่รู้แต่ยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครสนใจใครนอกจากปากท้องของตนเองนักหรอกแต่ผมก็เข้าใจเขา...“งั้นมาเป็นคนติดตามฉัน ทำงานกับฉันไหม”“ทำงานกับคุณเนี่ยนะ” “อืม... เป็นเลขาฉัน ให้ฉันเป็นบอสนาย”ผมนึกอะไรได้ก็ยกแม่น้ำทั้งห้ามาหมด ในเมื่อเขาเกรงสายตาคน ผมก็จะหาตำแหน่งที่สมควรให้พอที่เราจะอยู่ด้วยกันได้และเขาอยู่ในสายตาของผมอันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องบอกใครเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำเพราะถึงอย่างไรคีตาก็ถือว่าเป็นลูกบุญธรรมของพ่อผมแล้ว เขากับผมเปรียบไปก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน“คุณจะเป็นบอส แล้วจะให้ผมเป็นเบ๊คุณเนี่ยนะ” คีตาถามไม่พอยังหัวเราะจนตาหยี “ผมเป็นแค่เด็กจบมัธยม ไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ความรู้เฉพาะทางอะไรก็ไม่มีนะฮะ”“ของแบบนี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก”“แต่ผมไม่ชอบงานแบบคุณ” “ฉันไม่สน ฉันต้องการนาย”คีตาเงียบไป เขาซุกหน้าเข้ากับอกผมจนรู้สึกถึงลมหายใจเข้าบอก ครู่หนึ่งเขาก็พ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาก่อนจะเงยหน้าถาม “แล้วน้องน
คีตาพยักหน้า คราวนี้ผมไม่รอช้าจับแก่นกายแข็งขึงเสียดสีกับช่องทางรักอุ่นร้อนของเขา ค่อยๆ กดมันเข้าไปอา...มันแน่นมาก...ผมจับมันกดลึกออกแรงทีเดียวมันก็ผลุบหายเข้าไปในช่องทางรักสีสวย คีตาสะดุ้งเฮือกโอบหลังผมไม่พอยังจิกเล็บจนผมรู้สึกเจ็บ แต่เขาย่อมเจ็บกว่า“อา... ผม... เจ็บ”“พักก่อนไหม”ผมบอกเขาทั้งที่กายเราเชื่อมกัน ผมยกขานวลเนียนของคีตาพาดบ่า จูบโลมเล้าที่ต้นขาด้านในมาจนถึงปลีน่องขาวไร้ริ้วรอย จากนั้นผมจึงกดลึกเข้าไปอีกนิดแล้วดึงออก คีตาเกาะแขนผมแน่นบิดตัวเร่า“อย่าฮะ”“หือ...” ผมงง เกิดอะไรขึ้นเขาถึงห้าม “นายอย่าบอกว่าให้ฉันค้างเติ่งแบบนี้นะ”“ผมแค่บอกว่า... อย่าเอาออกต่างหากฮะ ผมทนได้”ผมหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของเขาก่อนจะกดกายตอกย้ำลงไปตามที่เขาต้องการ คราวนี้มันลึกสุดหยั่งจนคีตาร้องลั่น“อ๊า... ผมเจ็บ!”“ขอโทษ ฉันจะทำเบาๆ”ผมผ่อนแรงลงเพราะสงสาร เห็นเขาน้ำตาไหลก็ยิ่งสงสาร แต่คีตาตอดรัดดีเหลือเกิน ดีจนผมลืมตัวกระแทกเขาสุดแรง คีตาสะบัดหน้าเร่าๆ แต่ตอดรัดผมหนักยิ่งกว่าเดิม ผมกระแทกเข้าออกจนหมดแรง เขาจึงพลิกผมลงนอนทั้งที่กายเรายังเชื่อมกัน แต่พอผมนอนรอ เขากลับลุกขึ้นนั่งคุกเข
คีตาของผมยังเซ็กซี่เหมือนเดิม...อันที่จริงผมไม่คิดว่าคีตาจะยอมผมง่ายๆ ผมอยากรื้อฟื้นความหลังกับเขาก็จริง แต่หากเขาไม่ยินยอมผมคงทำอะไรไม่ได้ แต่คีตาก็ยังเป็นคนที่ผมคาดเดาไม่ได้เราสองคนอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ เขาค่อยๆ เอื้อมมือเล็กๆ มาปลดกระดุมเสื้อของผม ล้วงมือเข้ามาลูบลอนกล้ามท้องของผมจากกึ่งกลางอกไล่ลงมาทีละนิดจนผมรู้สึกวูบวาบประหลาดก่อนมือซุกซนจะค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกงแล้วรูดซิปกางเกงสแล็คของผมจนมันหล่นลงกับพื้นผมเฝ้ามองการกระทำของเขาไปพลางรู้สึกหลงใหลแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเขาเป่ามนต์สะกดเข้าให้ผมชอบคีตา...ชอบตั้งแต่แรกเห็น เป็นความรู้สึกที่ไม่เกิดกับใครก็คงไม่มีวันรู้ว่าเป็นเช่นไร…ผมระดมจูบไปทั่วใบหน้านวลเนียนที่ตอนนี้หลับตาพริ้มรับสัมผัสจากผมด้วยความเต็มใจ ทั้งริมฝีปาก พวงแก้มนุ่ม เปลือกตากระทั่งถึงใบหูไม่มีส่วนไหนของเขาที่ริมฝีปากผมไม่ได้สัมผัส ราวกับว่าผมโหยหามันมานานเต็มทีและในที่สุดผมก็ได้ครอบครองมันอีกครั้งหวาน...หวานจนใจเจ็บ...จากทีแรกคีตายังขัดขืนเล็กน้อยแต่ต่อมาเมื่อผมคลุกวงในหนักเข้า มือของคีตาก็กลับโอบรอบคอผมแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว คงเพราะเขามีอารมณ์ร่วมกับผมเหมื
ทันทีที่คีตาเปิดประตูพาผมเข้ามา ผมก็หันไปปิดล็อคลูกบิดประตูแล้วหันกลับมามองด้วยแววตาหื่นกระหายจนเขาถอยหลังกรูด“คุณ! คุณล็อกประตูทำไมฮะ”“เพื่อความปลอดภัย”ผมตอบไปงั้นเพราะที่จริงตั้งใจทำมากกว่านั้น อย่างว่าล่ะ ผมกับเขาเปรียบไปก็วัวเคยขาม้าเคยขี่...“แต่ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย”คีตาบอกพลางเหลียวซ้ายแลขวาแล้วหันหลังกลับไปที่ประตู แต่ไม่ทันผมที่คว้าเอวเขาดึงเขาหาตัวแล้วล่ะ“คุณจะทำอะไรฮะ!”“ฉันอยากทำอย่างว่า...”“อะไรนะฮะ!” คีตาร้องเสียงหลง“ฉันอยากทำอย่างว่ากับนาย” ผมบอกเจตจำนงโดยไม่ปิดบัง ผมคงต้องรื้อฟื้นความทรงจำที่มีร่วมกับเขาในคืนนั้น เพื่อทุกอย่างจะได้ง่ายเข้า “ฉันอยากนอนกับนาย”“คุณจะนอนกับผมได้ไง!”“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ นายทำให้ฉันคิดถึงนายตลอดเวลาได้ยังไง หือ... คีตา”“ผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลย คุณจะมาคิดถึงผมทำไม”“นายทำ นาย... ทำ” ผมเน้นเสียงพลางชี้นิ้วมาที่อกซ้ายของตัวเอง กดย้ำๆ หนักๆ ที่หัวใจ “เพราะนาย ที่ตรงนี้ของฉันมันถึงเต้นแรงแบบนี้”“โอ๊ย! คุณพูดไม่รู้เรื่อง คงเพราะเมาแล้วแน่ๆ ผมว่าผมกลับดีกว่า”เขาตัดบทแล้วหันหลังเดินแกมวิ่งไปที่ประตู แต่ผมไม่ปล่อยให้คีตาหลุดมือจึงวิ่งเข้าหาแล