เข็มนาฬิกาบนผนังบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง เสียงสุดท้ายของผู้ร่วมงานเงียบหายไปพร้อมกับประตูลิฟต์ที่ปิดลงเมื่อสิบนาทีก่อน ทิ้งให้ทั้งฟลอร์ชั้นผู้บริหารตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่งเบาๆ และเสียงปลายนิ้วของขวัญข้าวที่กำลังจัดเรียงเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่
แสงไฟนีออนสีขาวสาดส่องลงมา อาบไล้ทุกสิ่งให้ดูเยียบเย็นและไร้ชีวิตชีวา มันสะท้อนเงาของเธอลงบนโต๊ะทำงานไม้สีเข้ม และทอดไกลไปยังโต๊ะทำงานตัวอื่นๆ ที่ว่างเปล่า ความกว้างขวางของออฟฟิศที่เคยคึกคัก บัดนี้กลับยิ่งขับเน้นความรู้สึกโดดเดี่ยวในใจของเธอให้ชัดเจนขึ้นเป็นเท่าทวี
ขวัญข้าวถอนหายใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือส่วนตัวซึ่งวางคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะสั่นครืดเบาๆ หน้าจอสว่างวาบขึ้นพร้อมข้อความสั้นๆ จากหมายเลขที่เธอไม่เคยบันทึกชื่อ แต่สมองและหัวใจกลับจดจำมันได้แม่นยำกว่าเบอร์ของตัวเอง
'เพนต์เฮาส์'
เพียงคำเดียวกลับมีอำนาจหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด มือที่กำลังเก็บของชะงักค้าง ขณะที่หัวใจในอกกระตุกวูบอย่างรุนแรงราวกับถูกกระชาก ก่อนจะเริ่มเต้นรัวเร็วขึ้นจนน่ากลัว
ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาจนตั้งรับไม่ทัน ทั้งความตื่นเต้นที่สั่นไหวเมื่อได้รับสัญญาณเรียกหา ทั้งความเจ็บปวดที่เสียดแทงเมื่อตระหนักว่ามันเป็นเพียง 'หน้าที่' ไร้สถานะ และที่เลวร้ายที่สุดคือความหวังโง่ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจทุกครั้ง
บางที ครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป
ความคิดนั้นแวบเข้ามาเหมือนทุกครั้ง ขวัญข้าวเกลียดตัวเองทุกครั้งที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น หญิงสาวหลับตาลงแน่น พยายามบังคับลมหายใจที่เริ่มติดขัด สถานะของตนเองแจ่มชัดในใจ ไม่ใช่คนโปรด ไม่ใช่คนพิเศษ เป็นเพียง 'ของเล่น' ชิ้นหนึ่งในคอลเลกชันของเขา เป็นตุ๊กตาในโอวาทที่จะถูกหยิบขึ้นมาเชยชมเมื่อไหร่ก็ได้ และจะถูกวางทิ้งไว้เมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน
หลังจากยืนนิ่งอยู่นานเพื่อรวบรวมสติ ร่างบางก็ขยับตัวได้อีกครั้ง หญิงสาวเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าถือ ก่อนจะก้าวเท้าที่หนักอึ้งไปยังห้องน้ำหญิงที่อยู่สุดทางเดิน
แสงไฟในห้องน้ำสว่างจ้าจนน่ารำคาญ ภาพสะท้อนในกระจกคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเหนื่อยล้าและจืดชืดในชุดเดรสทำงานสีกรมท่า ผมสีดำขลับที่เคยเกล้าเป็นมวยเริ่มมีปอยผมหลุดลุ่ย และแว่นตากรอบบางที่สวมอยู่เสมอ มันคือเกราะกำบังที่ช่วยซ่อนความรู้สึกอ่อนไหวในดวงตาเอาไว้
แต่วันนี้ เกราะชิ้นนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเขา
ขวัญข้าวตัดสินใจถอดแว่นตาออก วางมันลงบนเคาน์เตอร์อย่างแผ่วเบา กิ๊บที่เหน็บผมไว้ถูกปลดออก ปล่อยให้เรือนผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมาเคลียแผ่นหลัง ก่อนที่ลิปสติกแท่งเล็กๆ จะถูกหยิบขึ้นมาเติมริมฝีปากที่ซีดเซียวให้มีสีแดงระเรื่อขึ้น
นี่ไม่ใช่การยั่วยวน แต่คือการเรียกคืนความมั่นใจให้ตัวเอง เป็นการสวมหน้ากากอีกชั้นหนึ่งทับลงไป...หน้ากากของผู้หญิงที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับชายคนนั้นโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ ออกมา
เมื่อการเตรียมใจเสร็จสิ้น ร่างบางก็เดินไปยังลิฟต์ส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุด คีย์การ์ดสีดำสนิทถูกทาบลงบนแป้นอ่านบัตร ประตูลิฟต์สเตนเลสสีเงินจึงเปิดออกอย่างเงียบกริบ
ความเงียบภายในกล่องสี่เหลี่ยมที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นสูงสุดของตึกนั้นบีบคั้นหัวใจยิ่งกว่าเดิม ภาพความทรงจำครั้งแรกที่ความสัมพันธ์นี้เริ่มต้นขึ้นฉายซ้ำในหัว ความมึนเมา ความใกล้ชิดที่ถูกหยิบยื่นให้ และความผิดพลาดที่ถูกปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเต็มใจ
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ที่ดังขึ้นคือสัญญาณปลุกจากภวังค์ ประตูเลื่อนเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นโถงทางเดินหินอ่อนที่นำไปสู่ประตูบานใหญ่บานเดียว ประตูสู่พายุลูกเดิม ซึ่งขวัญข้าวก็พร้อมจะเดินเข้าไปเผชิญหน้า...อีกครั้ง
ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตูบานใหญ่เข้ามา กลิ่นหอมสะอาดเจือด้วยกลิ่นวิสกี้จางๆ ก็ลอยมาปะทะจมูก ขวัญข้าวสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของเครื่องปรับอากาศที่ต่างจากอากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เพนต์เฮาส์ของลูเซียโน่ยังคงเหมือนเดิม กว้างขวาง หรูหรา และเย็นชา ทุกอย่างถูกคุมโทนด้วยสีดำ เทา และเงินเงาวับ ไม่มีของตกแต่งจุกจิก ไม่มีรูปถ่าย ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกถึงชีวิตชีวาของเจ้าของ มันเป็นเหมือนโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากกว่าจะเป็น 'บ้าน'
และเจ้าของห้อง ก็ยืนอยู่ที่นั่น
ร่างสูงใหญ่ในชุดเชิ้ตสีดำพับแขน ยืนหันหลังให้หญิงสาวผู้มาใหม่ จ้องมองแสงไฟระยิบระยับของมหานครผ่านผนังกระจกใส ในมือถือแก้วคริสตัลบรรจุของเหลวสีอำพัน แผ่นหลังกว้างภายใต้ร่มผ้านั้นดูมั่นคง น่าเกรงขาม และเดียวดายในเวลาเดียวกัน
ขวัญข้าวหยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้อง กำสายกระเป๋าถือไว้แน่น รอคอยคำสั่งจากชายหนุ่ม
แม้แผ่นหลังกว้างจะยังไม่หันมา แต่สุรเสียงทุ้มต่ำกลับดังขึ้นทำลายความเงียบ
"ดื่มอะไรหน่อยไหม" น้ำเสียงนั้นเรียบเฉยเหมือนกำลังเอ่ยถามอากาศธาตุ
"ไม่เป็นไรค่ะบอส" ขวัญข้าวตอบกลับ เธอจงใจใช้คำว่า 'บอส' เพื่อตอกย้ำสถานะของตัวเองในค่ำคืนนี้ และเพื่อขีดเส้นบางๆ ในใจ แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่นานเส้นนั้นกำลังจะถูกลบเลือนด้วยสัมผัสของเขาก็ตาม
ลูเซียโน่แค่นเสียงในลำคอเบาๆ ก่อนจะยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้ววางมันลงบนบาร์ เสียงแก้วกระทบกับท็อปหินอ่อนดังกริ๊งเบาๆ แต่กลับก้องกังวานในความเงียบ จากนั้น ร่างสูงสง่าจึงหันกลับมาเผชิญหน้า
ดวงตาคมกริบดุจพญามังกรกวาดมองร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แววตาคู่นั้นไม่ได้แสดงความยินดีหรือโหยหา มีเพียงการประเมิน เหมือนพ่อค้ากำลังพิจารณาสินค้าชิ้นหนึ่งว่ายังคงมีสภาพดีพร้อมใช้งานหรือไม่
"มานี่สิ"
ไม่ใช่คำเชิญชวน แต่เป็นคำสั่ง
หัวใจของขวัญข้าวกระหน่ำเต้นรัว หญิงสาวค่อยๆ วางกระเป๋าถือลง แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนรออยู่ด้วยหัวใจที่สั่นไหว อำนาจทั้งหมดในห้องนี้เป็นของเขา และร่างบางคือผู้ที่ต้องเดินเข้าไปหามันด้วยตัวเอง
เมื่อระยะห่างเหลือเพียงช่วงแขน มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ถูกยกขึ้น นิ้วเรียวยาวแต่แข็งแรงเชยปลายคางมนให้เงยขึ้นสบตา วินาทีนั้นเองที่ขวัญข้าวได้เห็นมันอย่างชัดเจน...ความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณใดๆ ในดวงตาคมกริบคู่นั้น ความหวังโง่ๆ ที่เคยมีเมื่อครู่สลายไปในพริบตา
ไม่ทันให้ได้เตรียมใจ ริมฝีปากร้อนผ่าวก็บดเบียดลงมาอย่างรุนแรงและเอาแต่ใจ มันคือจูบที่เต็มไปด้วยการรุกล้ำและประกาศความเป็นเจ้าของ มืออีกข้างเลื่อนมาโอบรอบเอวคอด แล้วกระชากร่างบางให้เข้าไปแนบชิดกับเรือนกายที่ร้อนระอุจนแทบไม่มีช่องว่าง
พายุได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลุยส์อุ้มร่างของเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดายราวกับเธอเป็นเพียงปุยนุ่น ก้าวไปยังห้องนอนใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน เขาวางเธอลงบนเตียงขนาดคิงไซส์ที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนผ้าไหมสีเทาเข้ม มันเย็นเฉียบเมื่อสัมผัสกับผิวเนื้อ แต่เพียงไม่นานร่างกายของเธอก็ถูกทาบทับด้วยความร้อนจากร่างกายของเขา
เสื้อผ้าของเธอถูกปลดเปลื้องออกไปอย่างรวดเร็วและชำนาญจนน่าใจหาย ทุกการกระทำของเขามันคือความเคยชิน เป็นกิจวัตรที่ไร้ซึ่งอารมณ์รัก
กลับกันทางด้านของขวัญข้าว เธอเบนสายตาหนีไปอีกทางด้วยความเขินอาย ร่างกายที่เปลือยเปล่าของเธอนี้กำลังถูกหลุยส์จ้องมอง หัวใจเธอเต้นระรัวเพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าในหัวของอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจะพึงพอใจกับเธอมากน้อยแค่ไหนกัน แต่ความคิดเหล่านั้นก็ต้องมลายหายไปในทันทีเมื่อชายหนุ่มได้เริ่มสัมผัสตัวเธอ สัมผัสแรกจากริมฝีปากร้อนที่ประกบจูบลงมา สร้างความสั่นสะท้านในใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ริมฝีปากร้อนของหลุยส์นั้นใช้มันไปกับการปรนเปรอและปลุกเร้าให้เธอมีอารมณ์ร่วม การที่เขาได้เห็นท่าทางตอบสนองของหญิงสาวมันเป็นอะไรที่ปลุกอารมณ์ของเขาให้พลุ่งพล่านไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว ลมหายใจอุ่นร้อนนั้นรดลงตรงซอกคอขาวเนียนของเธอก่อนที่เขาจะเริ่มขบเม้มสร้างรอยตีตราความเป็นเจ้าของบนตัวเธอเอาไว้อย่างไม่ปรานี
ใบหน้าหล่อนั้นค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปยังเต้าอวบอิ่มของเธอ เขาทำทุกอย่างได้อย่างช่ำชอง ทั้งการบีบคลึง ดูดเม้ม หรือการใช้ลิ้นกับยอดถันสีชมพูของเธอ ทุกการกระทำนั้นทำให้เธอถึงกับครางกระเส่าออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อที่มาจากความเขินอายและอุณหภูมิภายในร่างกายสะท้อนกับแสงของดวงจันทร์ข้างนอกแล้วงดงามขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
ทางด้านของหลุยส์เมื่อเห็นว่าส่วนล่างนั้นเริ่มมีน้ำหล่อลื่นพอสมควรแล้วก็ไม่รีรอที่จะใช้มือหนาของตัวเองแยกเรียวขาขาวทั้งสองข้างออกจากกันจนกว้าง เผยให้เห็นรูรักสีชมพูของหญิงสาวที่ยังคงปิดสนิทอยู่
มือหนาของชายหนุ่มเลื่อนมาบีบคลึงที่หน้าอกคู่อวบอิ่มอย่างช่ำชอง พร้อมกับเอวสอบที่ค่อยๆ เริ่มขยับเข้าจังหวะรักอย่างช้าๆ หลุยส์ไม่ได้รอให้ขวัญข้าวปรับตัวได้นานเขาก็เริ่มการกระแทกกระทั้นเข้ามา แรงเสียดสีที่หญิงสาวต้องพบเจอนั้นทำเธอเจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาให้อยู่ได้เลย
ร่างสูงจ้องใบหน้าของคนใต้ร่างโดยไม่มีแม้แต่คำใดจะเอื้อนเอ่ยออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่ของเขาที่แสดงออกถึงความสุขสมที่ตัวเองได้รับในช่วงเวลานี้นั่นเอง ขวัญข้าวกำผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อความเจ็บเมื่อตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านที่เธอไม่เคยได้รับมันมาก่อน ยิ่งตอนนี้ร่างกายของเธอกำลังถูกเขาสัมผัสไปจนทั่วยิ่งทำให้ไม่อาจกลั้นเสียงครางหวานได้อีกต่อไป
ขวัญข้าวหลับตาลง ไม่กล้ามองการกระทำของเขา แต่กลับยิ่งทำให้สัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ชัดเจนขึ้นทุกอณู เขารู้ทุกจุดอ่อนบนร่างกายของเธอ รู้ว่าต้องสัมผัสตรงไหนถึงจะทำให้เธอสั่นสะท้าน รู้ว่าต้องจูบตรงไหนถึงจะทำให้เธออ่อนระทวย ร่างกายของเธอทรยศหัวใจอย่างน่าละอาย มันตอบสนองต่อทุกสัมผัสของเขาอย่างซื่อตรง ทั้งที่ในใจนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ในสายตาของหลุยส์ขวัญข้าวก็เหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เขารู้ดีว่าควรที่จะต้องจัดการอย่างไรดี ถึงส่วนล่างของชายหนุ่มจะไม่ได้อ่อนโยนมากนักเพราะเขาเองก็อยากขีดเส้นแบ่งเอาไว้ชัดๆ ว่าการร่วมรักค่ำคืนนี้นั้นเป็นเพียงแค่เรื่องของร่างกาย แต่มือและปากของเขากลับปรนนิบัติให้ขวัญข้าวรู้สึกดีขึ้นจนละทิ้งทุกความเจ็บปวดไปจนหมด
เธอพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อสบตากับเขา ค้นหา...ภาวนา...ขอให้เจอความรู้สึกอื่นใดในแววตาคู่นั้นบ้าง ขอแค่ความอ่อนโยนเพียงเล็กน้อยก็ยังดี แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาที่มืดมิดและเต็มไปด้วยแรงปรารถนาของเขาเท่านั้น
เธอเป็นแค่ที่ระบาย เป็นเพียงร่างกายที่ตอบสนองความต้องการของเขาได้
ถึงในใจของหญิงสาวจะเจ็บปวดมากแค่ไหนแต่ตอนนี้ร่างกายของเธอกลับทรยศสิ้นดี ทุกสัมผัสจากมือหนา ทุกรอยจูบจาริมฝีปากร้อน มันทำให้เธอรู้สึกเสียวซ่านจนไม่อาจกลั้นเสียงครางได้เลยแม้แต่น้อย เอวคอดบิดพริ้วไปมาเมื่อถูกแก่นกายร้อนของหลุยส์กระแทกเข้ามาโดนจุดกระสันภายในซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"เธอเสร็จก่อนฉันอีกแล้วนะ"
เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบก่อนที่จะจัดการเปลี่ยนท่วงท่าในการร่วมรักครั้งนี้ใหม่ ร่างบางของหญิงสาวถูกจัดให้อยู่ในท่าคุกเข่าสี่ขาวราวกับสุนัขโดยที่ส่วนล่างของพวกเขาทั้งสองคนยังคงสอดประสานกันอยู่อย่างนั้น
ไม่ทันที่จะให้ขวัญข้าวได้พักหายใจให้หายเหนื่อยแท่งเอ็นร้อนก็เริ่มขยับเข้าออกในตัวของเธออีกครั้ง แถมคราวนี้ดูจะไม่ได้ถี่รัวมากแต่กลับเน้นให้แรงหนักและโดนจุดอ่อนของเธอซ้ำๆ ลมหายใจอุ่นร้อนของหลุยส์รดลงบนหลังคอขาวของหญิงสาวพร้อมกับประทับรอยจูบพร้อมๆ กัน
ริมฝีปากหยักออกแรงขบเม้มเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เกิดเป็นรอยก่อนที่จะเลื่อนต่ำลงมาตามแผ่นหลังขาวสะอาด เขาบรรจงสร้างสรรค์งานศิลปะลงไปพร้อมกับมือหนาที่เลื่อนไปยังหน้าอกด้านหน้าออกแรงบีบคลึงไปพร้อมๆ กันอย่างไม่เบามือจนสามารถเรียกเสียงครางหวานลั่นไปทั่วทั้งห้องได้เป็นอย่างดี
ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หลุยส์จะผละตัวขึ้นเต็มความสูง นัยน์ตาหลุบต่ำลงมองคนใต้ร่างก็พลางยกยิ้มขึ้นมาอย่างชอบใจ ราวกับว่าเธอเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งเพียงเท่านั้น มือหนาเลื่อนมาจับที่เอวคอดเอาไว้ก่อนที่จะเร่งความเร็วให้ถี่รัวมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาเองก็ใกล้ที่จะเสร็จสม
"ชะ..ช้าลงหน่อยคะ...ค่ะ"
เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกักเพราะก่อนหน้านี้เธอเองก็เพิ่งเสร็จสมมาหมาดๆ ร่างกายของเธอในตอนนี้กำลังไวต่อความรู้สึกพอสมควร แต่คำขอร้องอ้อนวอนของเธอนั้นไม่ได้ถูกส่งผ่านไปถึงหลุยส์เลยสักนิด เพราะนอกจากเอวสอบของชายหนุ่มจะไม่ได้แผ่วลงแล้วหนำซ้ำยังเร่งให้ถี่รัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
มือทั้งสองข้างของขวัญข้าวกำผ้าปูที่นอนแน่นจนยับยู่ยี่ ความเสียวสะท้านที่เธอได้รับนั้นมันมากเกินไปจนตอนนี้หัวสมองของเธอนั้นขาวโพลนจนแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ
บทรักอันเร่าร้อนดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงหอบหายใจของคนสองคนดังประสานกันไปทั่วห้องกว้างเคล้าคลอไปกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อเป็นอย่างดี ในจังหวะที่ทุกอย่างกำลังจะถึงจุดสูงสุดนั้นเอง เสียงทุ้มแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้นข้างใบหูของเธอ...
"ขวัญข้าว..."
ชื่อของเธอ...เขาครางชื่อของเธอออกมา
เพียงเท่านั้น หัวใจโง่ๆ ของเธอก็พองโตขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความอบอุ่นวาบหนึ่งแล่นไปทั่วทั้งร่าง ความหวังริบหรี่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง บางที...บางทีเขาอาจจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับเธอบ้าง
แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลงในชั่วพริบตา...
เมื่อพายุอารมณ์ลูกสุดท้ายผ่านพ้นไป ร่างกายของเขากระตุกเกร็งอยู่ชั่วครู่ แก่นกายร้อนถูกถอดถอนออกมาก่อนที่จะปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นรดลงบนแผ่นหลังขาวเนียนของเธอ จากนั้นเขาจึงผละออกจากตัวเธอทันที ไม่มีการกอด ไม่มีแม้แต่จูบปลอบโยนบนหน้าผาก ไม่มีอะไรทั้งนั้น
หลุยส์ลุกจากเตียงไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ความเย็นเฉียบของอากาศกลับเข้ามาแทนที่ความร้อนจากร่างกายของเขาทันที เขายกมือขึ้นเสยผมลวกๆ ก่อนจะเดินเปลือยเปล่าไปยังระเบียงห้องนอน หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ อัดควันสีเทาเข้าปอดแล้วพ่นมันออกไปในความมืดมิดของรัตติกาล เขายืนหันหลังให้เธอ ทิ้งให้เธอนอนอยู่บนเตียงกว้างที่ยับยู่ยี่เพียงลำพังกับความรู้สึกว่างเปล่าที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง
ขวัญข้าวนอนนิ่งจมอยู่บนเตียงผืนนั้น เธอมองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา แสงจันทร์อาบไล้เรือนร่างของเขาจนเห็นเป็นเงาตะคุ่ม ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาที่ขอบตา เธอพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เธอรู้กฎของความสัมพันธ์นี้ดี ห้ามเรียกร้อง ห้ามผูกมัด และที่สำคัญที่สุด ห้ามร้องไห้
เพราะน้ำตาของเธอ ไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเลย