เป็นเวลากว่าสามชั่วโมงแล้วที่สายตาคู่สวยเอาแต่จับจ้องไปยังหน้าจอโทรศัพท์ หากย้อนดูประวัติการใช้งานทั้งหมดบนโทรศัพท์มือถือของเธอคงไม่พ้นเพจต่าง ๆ มากมายที่สอนวิธียั่วยวนผู้ชาย และการแต่งตัวเพื่อมัดใจผู้ชาย
“โอ๊ย!!! ทำไมมันยากขนาดนี้นะ นี่มันไม่ใช่ตัวฉันสักหน่อย” เธอดิ้นไปมาบนเตียงขนาดเล็ก
ห้องเช่าขนาดเท่ารูหนูที่เธอพอจะหาได้หลังจากถูกส่งตัวมาซึ่งไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นห้องเช่าเล็ก ๆ ที่มีแค่เตียงนอนและห้องนั่งเล่นภายในตัว ห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องก็พอให้คนตัวเล็ก ๆ อย่างเธอใช้สอย ทุกอย่างมันพอดีสำหรับคนหนึ่งคนเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเพราะเธอใช้มันเป็นที่หลับนอนและเก็บเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น เธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปเช่าห้องราคาแพงในเมื่อเงินเก็บเพียงเล็กน้อยที่เธอมีได้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ไปหมดแล้ว
ด้วยความสงสัยในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปยังกระจกบานเล็ก หมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจรูปร่างและใบหน้าของตัวเอง
“ฉันก็ไม่ได้ดูแย่นะ ออกจะสวย หมอนั่นสายตาไม่ดีหรือไง เสนอให้ฟรี ๆ แล้วยังไม่เอาอีก หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง” แวบหนึ่งที่เธอมีความคิดแปลก ๆ ขึ้นมา “ถ้าความจริงแล้วเขาชอบผู้ชายล่ะ สิ่งที่ฉันพยายามก็เปล่าประโยชน์นะสิ”
“แล้วมันจะมีวิธีมัดใจผู้ชายพวกนี้หรือเปล่านะ โอ๊ย!! ไม่รู้แล้ว ทำไมอุปสรรคเยอะแยะแบบนี้นะ”
หลังบ่นเสร็จเธอก็หยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
กว่าชั่วโมงที่น้ำตาลวุ่นอยู่กับการอาบน้ำแต่งตัว เธอหยิบเสื้อกันหนาวที่มีติดตัวมาเพียงแค่หนึ่งตัวขึ้นมาใส่ วันนี้เธอตั้งใจออกไปสำรวจเส้นทางต่าง ๆ อย่างน้อย ๆ เธอก็จะได้รู้ทางหนีทีไล่ไว้บ้าง
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
น้ำตาลหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในเสื้อกันหนาวของเธอออกมาก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ” เธอกล่าวทักทายตามมารยาท ทั้ง ๆ ที่รู้สึกไม่ชอบคนที่โทรมาเลยก็ตาม
‘ฉันส่งเธอไปทำงาน ไม่ใช่ให้ไปเที่ยว’
“คือฉันแค่ออกมาหาอะไรทานแค่นั้น” เธอโกหกออกไป เพราะถ้าเขารู้ว่าวันนี้เธออู้งานเขาอาจจะเล่นงานน้องชายของเธอก็เป็นได้
‘เธอมีแต่เสื้อผ้าแบบนั้นหรือไง แล้วเมื่อไหร่งานจะสำเร็จ’
“หา!!” น้ำตาลหันไปมองโดยรอบ เขารู้ได้ยังไงว่าเธอแต่งตัวแบบไหน “คุณให้คนสะกดรอยตามฉันเหรอ”
‘ฉันมีสิทธิ์ทำแบบนั้น’
“แต่นี่มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์นะคะ การสะกดรอยตามแบบนี้มันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น”
‘เธอลืมไปหรือเปล่าว่าน้องชายของเธออยู่กับฉัน’
“อย่าทำอะไรเขานะคะ” นี่แหละคือเหตุผลที่เธอต้องทำทุกอย่างตามที่ ๆ คนคนนี้บอก
‘ถ้าเธอทำงานนี้สำเร็จ’
“ฉันจะรีบทำให้สำเร็จค่ะ”
‘อีกสามวันจะมีงานเลี้ยงที่หมอนั่นต้องไปร่วม เธอต้องลงมือวันนั้น แล้วฉันจะส่งโลเคชั่นสถานที่จัดงานไปให้’
“ค่ะ”
หลังน้ำตาลรับคำเขาก็วางสายไป ส่วนเธอก็หันไปมองรอบ ๆ ตัวอีกครั้งเพื่อดูว่าใครกันนะที่กำลังสะกดรอยตามเธออยู่
‘คนนั้นก็ท่าทางแปลก ๆ คนนี้ก็ด้วย’ เธอเริ่มระแวงผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ‘กี่คนล่ะที่สะกดรอยตามเรา’
น้ำตาลเริ่มขนลุก หรือไม่ใช่แค่คนของเจ้าหนี้ แต่เป็นคนของมาเฟียคนนั้นด้วย
‘ใช่แล้ว ฉันเข้าหาเขาขนาดนั้น แน่นอนว่าเขาต้องสงสัยแน่ ๆ ว่าฉันเป็นใคร เขาต้องสั่งคนสะกดรอยตามฉันด้วยแน่นอน’
‘ไม่ได้การแล้ว ระวังตัวให้มากกว่านี้ดีกว่า’
น้ำตาลรีบเดินไปหยุดหน้าร้านอาหารจีนร้านหนึ่ง เธอเปิดประตูเข้าไปตั้งใจว่าจะซื้อใส่กล่องแล้วกลับไปทานที่ห้อง
[ฮวนอิ๋งหนี่] พนักงานสาวเอ่ยทักทายเป็นภาษาจีน
“เอ่อ...คือฉัน” น้ำตาลเริ่มบทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ “ฉันต้องการพูดเป็นภาษาอังกฤษ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นพนักงานสาวก็หันซ้ายหันขวา เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษเช่นกัน
[มีอะไรหรือเปล่าเหมยลี่] พนักงานหนุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ หันมาถามเพื่อนของเขา
[ลูกค้าคนนี้เธอไม่ใช่คนจีน เธอบอกว่าต้องการให้ฉันพูดภาษาอังกฤษ]
[อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เธอไปยืนตรงนั้นแทนฉัน เดี๋ยวฉันจะคุยกับลูกค้าเอง]
[ได้ ๆ]
หลังทั้งคู่สลับที่ยืนกัน ชายหนุ่มก็ยิ้มให้น้ำตาล เธอเองก็ยิ้มตอบทันทีเช่นกัน
“สวัสดีครับคุณลูกค้า” พนักงานหนุ่มทักทายน้ำตาลเป็นภาษาอังกฤษ
“สวัสดีค่ะ”
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับเป็นเมนูอะไรดีครับ”
เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดจาฉะฉาน น้ำเสียงก็น่าฟัง จนทำให้น้ำตาลเอาแต่จ้องหน้าของเขา ถ้าให้เดาเด็กหนุ่มคนนี้คงจะมีอายุไล่เลี่ยกับน้องชายของเธอ
“คุณลูกค้าครับ”
“อ๋อ...เอ่อ ฉันขอเป็นผัดเต้าหู้เสฉวนพร้อมข้าวค่ะ” เธอไม่รู้หรอกว่ารสชาติของผัดเต้าหู้เป็นยังไง เธอแค่จำชื่อเมนูมาจากเน็ตไอดอลคนหนึ่งที่รีวิวอาหารจีน ยังไงเธอก็หวังว่ามันจะถูกปากของเธอ
“ครับ” ขณะตอบรับนิ้วของเขาก็แตะลงไปบนหน้าจอตรงหน้า เพื่อบันทึกเมนูที่ลูกค้าสั่ง
“ใส่กล่องนะคะ”
“คุณลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มอีกมั้ยครับ”
“ไม่มีค่ะ”
“ขอทวนออเดอร์นะครับ” เมื่อเห็นว่าน้ำตาลพยักหน้าเบา ๆ เชาก็พูดต่อ “ผีดเต้าปูเสฉวนพร้อมข้าว ใส่กล่องกลับบ้าน แค่นี้ใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ”
“งั้นเชิญคุณลูกค้านั่งรอสักครู่นะครับ”
“ค่ะ”
น้ำตาลเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับนั่งรออาหาร เธอมองบรรยากาศโดยรอบของร้าน รวมถึงสไตล์การแต่งตัวของลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ก่อนจะก้มมองตัวเอง
“เชยจริง ๆ ด้วย” เธอนึกถึงคำพูดของเจ้าหนี้ปากเสียคนนั้น “ให้ซื้อใหม่คงไม่มีปัญญา ส่งเธอมาทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ ทำไมไม่ให้เงินติดตัวมาด้วยนะ” คิดแล้วเธอก็ยังหงุดหงิดที่โดนทักเรื่องการแต่งตัว “ช่างเถอะไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่สักหน่อย อีกไม่กี่วันก็คงได้กลับแล้ว”
ระหว่างรออาหารที่สั่ง น้ำตาลก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ เพียงแค่เดินผ่านโต๊ะที่สองเท่านั้นเธอกลับต้องหยุดเดินแล้วค่อย ๆ หันกลับมามอง เป็นเวลาเดียวกันกับที่ใครคนหนึ่งหันกลับมามองเธอเช่นกัน
เพียงแค่ได้สบตากับคนคนนั้น น้ำตาลก็รีบหันกลับ เธอรีบเดินตรงไปยังห้องน้ำแล้วปิดประตูใส่กลอนจนแน่นหนา
“ให้ตายสิ ทำไมถึงต้องมาเจอเขาตอนนี้นะ” เธอพูดเขา ๆ ขณะนั่งอยู่บนชักโครก “แต่เอ๊ะ...แล้วฉันจะหนีเขาทำไม ฉันควรกระโจนเข้าหาเขาสิ”
‘แต่จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน นี่มันที่สาธารณะ อีกอย่าง...’ น้ำตาลก้มมองตัวเอง ‘แต่งตัวเชยแบบนี้ จะไปยั่วอะไรเขาได้ ฉันนี่มันมือสมัครเล่นจริง ๆ’
ด้านนอกตรงเคาน์เตอร์ พนักงานหนุ่มที่รับออเดอร์ของน้ำตาล เขานำอาหารออกมาวางไว้
“อาหารที่สั่งได้แล้วครับ เอ๊ะ!!”
[มีอะไรหรือเปล่า] เหมยลี่ที่เห็นอาการแปลก ๆ ของเพื่อนร่วมงาน เธอก็เอ่ยถามขึ้น
[ลูกค้าคนเมื่อกี้หายไปไหนแล้วนะ] พนักงานหนุ่มถามพลางกวาดสายตัวไปตามโต๊ะต่าง ๆ
[อ๋อ ฉันเห็นเธอเดินไปทางนั้น คงจะไปเข้าห้องน้ำ] เธอบังเอิญเห็นตอนน้ำตาลลุกขึ้นพอดี
[งั้นวางไว้ตรงนี้ก่อนละกัน] เขาตั้งใจจะกลับเข้าไปในครัว
[จางหย่ง] เหมยลี่เรียกพนักงานหนุ่มไว้ [นั่นไง เธอออกมาพอดีเลย]
“อาหารที่สั่งได้แล้วครับคุณลูกค้า” ทันทีที่น้ำตาลเดินเข้ามาใกล้ จางหย่งก็บอกเธอทันที
“อ๋อค่ะ ขอโทษนะคะพอดีฉันเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ” น้ำตาลยื่นเงินให้กับพนักงานหนุ่มก่อนจะหยิบอาหารแล้วเดินออกจากร้านไป
“ไง”
คำทักทายห้วน ๆ นั้นทำให้น้ำตาลที่เพิ่งได้ก้าวเท้าผ่านประตูร้านต้องหยุดนิ่งแล้วหันไปมองตามเสียง
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันต้องถามเธอมากกว่า”
“คุณสั่งคนสะกดรอยตามฉันอย่างนั้นเหรอ” น้ำตาลคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ
“อะไรนะ” ไคล์ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“สนใจตัวฉันจนสั่งให้ลูกน้องตามหาเลยเหรอคะ” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เผื่อเขาจะสนใจตัวเธอขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้ บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะจบภายในคืนนี้ก็ได้
“ดูสารรูปตัวเองก่อนมั้ย” เขามองเธอหัวจรดเท้า
“แล้วไง ก็วันนี้มันวันหยุดของฉันนิ” เธอหมายถึงหยุดที่จะไม่ไปยั่วเขา “ฉันก็แต่งตัวตามสบาย มันแปลกตรงไหน”
“ยังต้องให้ฉันบอกอีกเหรอว่ามันแปลกตรงไหน หึ!!เธอนี่มัน” เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอจะใช่คนคนเดียวกับคนที่บุกไปหาเขาถึงบริษัทหรือเปล่า
“เลิกทำน้ำเสียงดูถูกแบบนั้นสักที รู้หรือเปล่าว่าฉันน่ะอายุเยอะกว่าคุณอีก”
“รู้ข้อมูลของฉันไปหมด” เขาเดินเข้าไปใกล้น้ำตาลมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเธอจะถอยหนีก็เปล่าประโยชน์เพราะเขาเอื้อมไปบีบคางของเธอ “เธอเป็นใครกันแน่”
“โอ๊ย!!ฉันเจ็บนะ”
“ตอบฉันมา” เขาพูดเสียงดัง
“ปล่อยนะ ไม่อย่างงั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
“ก็ลองดูสิ โอ๊ย!! ยัยบ้า” ไคล์ร้องออกมาเมื่อโดนน้ำตาลกัดเข้าที่มือ
“คุณทำฉันก่อน” น้ำตาลเองก็ตกใจที่ตัวเองไปกัดมือเขาแบบนั้น
หมั่บ!!
ไม่ทันที่น้ำตาลจะหันหลังหนีได้ทัน เธอโดนไคล์คว้าคอเสื้อไว้ได้ก่อน
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
วาเลนไทน์หมุนเวียนมาอีกรอบ หญิงสาวในชุดสีชมพูกำลังอุ้มเด็กน้อยวัย 6 เดือนเดินเข้าไปในบริษัท เนื่องจากผู้เป็นสามีต้องเข้าประชุมด่วนเขาจึงออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดและสั่งให้บอดี้การ์ดพาภรรยาและลูกตามมา“เชิญคุณน้ำตาลพาคุณหนูเข้าไปรอให้ห้องทำงานของบอสก่อนครับ คาดว่าไม่นานก็ประชุมเสร็จแล้วน้ำตาลเดินเข้าไปในห้อง เธอวางลูกน้อยลงบนเบาะนุ่ม ๆ ที่ถูกเตรียมไว้ ภายในเบาะมีของเล่นมากมาย เรียกได้ว่าตอนนี้ห้องทำงานของไคล์แทบจะเป็นที่สำหรับเลี้ยงเด็กเล็กก็ว่าได้น้ำตาลมองไปรอบ ๆ เธอจำได้ว่าห้องนี้คือที่ที่เธอมีจูบแรกกับเขา ไม่รู้เขาจะจำได้หรือเปล่า คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องทั้งหมดมันจะลงเอยแบบนี้ก็อก! ก็อก! ก็อก!แกร็ก!เสียงประตูทำให้น้ำตาลหันไปมองทันที เมื่อเห็นพนักงานสาวที่เคยปกป้องเธอจากหลินหลินในวันนั้นเธอก็ยิ้มกว้างให้กับหญิงสาว“ฉันจะเข้ามาถามว่าคุณน้ำตาลอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”“ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันทานอาหารเช้ามาเรียบร้อยแล้ว”“ถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกดิฉันได้เลยนะคะ”“ค่ะ”“จา! จา!” ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เดินออกจากห้องเด็กน้อยก็ส่งเสียงทักทาย จึงทำให้เธอรีบหันกลับมาทันที“คุณหนู” พนักงา
ในห้องคลอดบรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความวิตกกังวล แต่ยังคงมีความหวังที่แฝงอยู่ในจิตใจของเขา เสียงเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจของทารกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เสียงหายใจหนักๆ ของน้ำตาลที่พยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถน้ำตาลนอนอยู่บนเตียง ร่างกายของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ความเจ็บปวดจากการปวดท้องคลอดทำให้เธอกุมมือไคล์ไว้แน่น ใบหน้าของเธอซีดแต่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญ น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามข้างแก้มเมื่อเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ยังคงคืบคลานมาอีกระลอก“ไม่เป็นไรนะครับ” ไคล์เกลี่ยน้ำตาและเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เธอไปพร้อม ๆ กัน “หายใจเข้าลึก ๆ ครับ”ไคล์ขอเข้ามาในห้องคลอด เขายืนอยู่ข้างเตียงไม่ยอมห่างไปไหน จับมือน้ำตาลไว้แน่น สายตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและความกังวล เขาพูดเบาๆ กับเธอ“ที่รัก ผมอยู่ตรงนี้แล้วนะ” เสียงของเขาแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความรักที่ยิ่งใหญ่พยาบาลคอยให้คำแนะนำ และเตือนให้น้ำตาลหายใจลึกๆ เพื่อคลายความเจ็บปวด ก่อนจะบอกให้เธอกลั้นหายใจและเบ่งในช่วงเวลาสำคัญ การเคลื่อนไหวที่ทุกคนต่างรอคอยเริ่มต้นขึ้น“อุแว้!! อุแว้!!”เสียงร้องแรกของท
“ผมมีบางอย่างให้คุณ” ไคล์พูดขณะที่วางน้ำตาลลงบนที่นอน เขาเริ่มอุ้มเธอตั้งแต่ออกจากลิฟต์ จนมาถึงห้องพัก“อะไรคะ”“มีช่วงหนึ่งที่ผมไม่ค่อยได้อยู่กับคุณ” เขาเดินไปหยิบซองเอกสารบางอย่างแล้วเดินกลับมาหาน้ำตาล“...”“ช่วงที่คุณเพิ่งรู้ว่าท้องแต่ไม่ยอมบอกผม”“คุณไปไหนคะ” เธอจำได้ว่าช่วงนั้นเขาหายหน้าหายตาไปบ่อยมาก จนเธอคิดว่าเขาแอบไปอยู่กับคนรัก“ผมไปประเทศไทย”“...” ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่ประเทศไทย“ผมไปโรงพยาบาลที่คุณเคยทำงาน เพราะผมรู้มาว่าคนที่นั่นเล่นสกปรกกับคุณ” หลังจากรู้เรื่องของน้ำตาลมากขึ้น เขาก็ตามเอาคืนคนที่แกล้งเธอทุกคนอย่างสาสม“คุณทำอะไรพวกเขาคะ” น้ำตาลตกใจไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น“ผมแค่ทำเหมือนที่พวกเขาทำกับคุณ”“คุณไม่ได้ฆ่าใครใช่มั้ย” น้ำตาลถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอกลัวว่าเขาจะทำแบบนั้นกับใครสักคนที่เธอเคยรู้จัก“ตั้งแต่คุณขอไว้ ผมก็ไม่ทำแบบนั้นอีกเลย”“ขอบคุณนะคะ” เธอกอดเอวเขาไว้ รู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครตายเพราะเธอ“ตอนนี้คุณมีสิทธิ์ในโรงพยาบาลนั้นครึ่งหนึ่ง”“คุณเอามันมาได้ยังไง” น้ำตาลก้มมองเอกสารที่ไคล์ยื่นมาให้เธอ ในนั้นระบุว่าเธอเป็นผู้ถือหุ้นของโรงพยาบาลที่เธอเคยทำ
“แต่งงานกันนะ”ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ประโยคนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของน้ำตาล วันนั้นเธอดีใจจนไม่ทันได้คิดไตร่ตรองว่าหากรับปากแต่งงานแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไง แต่วันนี้ความคิดนั้นของเธอได้มลายหายไป เมื่อตลอดสองอทิตย์ที่ผ่านมาเขาทำให้เธอเห็นแล้วว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีคนหนึ่ง“คิดดอะไรอยู่ครับ” วงแขนกว้างโอบกอดหญิงสาวจากด้านหลัง พลางกดจูบลงไปบนไหล่มน“คิดว่าวันนี้ใช่ความฝันหรือเปล่า”“...” ไคล์เอียงหน้ามองภรรยาของเขา“ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาอยู่ตรงนี้กับคุณ ไม่คิดว่าคุณจะให้เกียรติฉันมากขนาดนี้ ทั้งที่บนโลกใบนี้มีผู้หญิงมากมายที่เหมาะกับคุณ แต่คุณก็เลือกฉัน”“...”“ฉันทำผิดต่อคุณ จนไม่กล้าคิดว่าคุณจะให้อภัยฉันได้ แต่คุณก็ยังให้อภัย”ไคล์จับให้น้ำตาหันมาเผชิญหน้ากับเขา มือข้างหนึ่งเชยคางของน้ำตาลให้เงยหน้ามาสบตากับเขา“เพราะผมรักคุณ รักกว่าอะไรทั้งหมดที่ผมมีในตอนนี้”“...”“ผมไม่อยากให้คุณกังวลอะไร วันนี้เป็นอีกวันสำคัญของเราสองคนนะครับ ทุกคนกำลังรอชื่นชมความงามของเจ้าสาวอยู่”“แล้วพ่อของคุณล่ะ พิธีคริสต์ท่านจะมาด้วยหรือเปล่า”เนื่องจากตอนเช้าทั้งคู่ได้จัดพิธีแบบจี
บนถนนที่ทอดยาวออกไป ชายหนุ่มที่เคยใช้ชีวิตเร่งรีบมาตลอด วันนี้ไม่รู่อะไรดลใจให้เขาออกมาเดินบนถนน สายตาคมที่กวาดมองไปรอบ ๆ ก็สังเกตเห็นการแต่งตัวของผู้คนมากมายที่เดินสวนไปมา ทำไมพวกเขาถึงแต่งตัวด้วยโทนสีชมพู“วันนี้วันที่เท่าไหร่”“14 กุมภาพันธ์ ครับ”“วันวาเลนไทน์ใช่มั้ย”“โทรหาคุณเจียให้หน่อย” เขาหันไปบอกเซียวหม่า “แล้วถามว่าวันนี้ฉันมีนัดกับลูกค้าหรือเปล่า ถ้ามีบอกว่าให้เลื่อนนัดไปก่อน”“ครับบอส”ไคล์ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงระหว่างรอให้เซียวหม่าโทรหาเลขา เขาหันไปเห็นคู่รักหลายคู่ที่แสดงความรักต่อกัน ก็ยิ่งชวนให้คิดถึงหญิงสาวที่เขาเพิ่งแอบไปหามาเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาตั้งใจว่าจะไปหาเธออีกครั้งหลังจากที่เขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะความคิดถึงมันล้นออกมาจนยากที่จะเก็บกักความรู้สึกนั้นไว้ได้ วันนี้เขาจึงตั้งใจไปหาเธออีกครั้งณ.บ้านเช่าหลังเล็กที่เขาเคยมาครั้งหนึ่งตอนที่เจ้าของบ้านนอนหลับสนิท แต่เวลานี้กลับเงียบสงัดไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว“วันนี้วันวาเลนไทน์ ร้านคงจะปิดช้ากว่าปกติครับ”“วันวาเลนไทน์แบบนี้ยังต้องทำงานอีกเหรอ”“ถึงจะเป็นวันวาเลนไทน์ก็ยังคงเป็นวันทำงานครับ ไม่ใช่ว
หลังจากที่ไคล์พักรักษาตัวจนหายดี เขาก็เริ่มกลับไปทำงาน แต่ทุก ๆ ตอนเที่ยงเขาจะพาน้ำตาลออกไปทานข้าวด้วยกันทุกครั้ง เขาไม่เคยปล่อยให้เธออยู่บ้านโดยไม่มีเขาเลยสักครั้ง“รีบ ๆ สิครับ”“รีบไปไหนกันคะ”“ผมมีที่ที่อยากจะพาคุณไป”“อะไรกันคะ คุณทำให้ฉันกังวลนะ”“ผมมีพิรุธขนาดนั้นเลยเหรอ”“ก็คุณดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ สีหน้าของคุณดูง่ายจะตาย”“แสดงว่าที่ผ่านมาคุณอ่านความคิดของผมออกหมดเลยเหรอ”“เปล่าหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่หน้าของคุณฉันยังไม่กล้ามอง แล้วฉันจะสังเกตได้ยังไง”“แล้วตอนนี้ล่ะ”“ก็มองทุกวันไงคะ มองจนจำได้หมดแล้วว่าถ้าทำปากแบบนี้” เธอดึงแก้มของสามีจนปากของเขาเป็นเส้นตรง “แสดงว่ากำลังงอล”“รักคุณจังเลยครับ”“ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ”“หรือคุณเบื่อที่จะฟังแล้ว”“ไม่เลยค่ะ ฉันฟังได้ทุกวัน”“ผมก็บอกรักคุณได้ทุกวัน ไม่เบื่อเลย”“คุณสั่งตัดชุดมาให้ฉันอีกแล้วเหรอ”“ครับ” เขาเดินเข้าไปช่วยน้ำตาลรูดซิปด้านหลัง “ก็ท้องของคุณเริ่มโตแล้ว”“พอคลอดแล้วฉันจะเอาเสื้อผ้าพวกนี้ไปไว้ที่ไหนละคะ”“จะกังวลไปทำไมครับ คลอดเสร็จก็ท้องอีก”“อะไรนะ”“เราจะมีลูกด้วยกันสักห้าคนดีมั้ย”“คุณท้องเองมั้ยล่ะคะ ถ้าท้องเองจะ