7
ความซวยมาเยื่อนถึงที่
(มีภาพประกอบ)
(เลิกคลาส)
"โอเค เดี๋ยวครูจะให้เลิกคลาสก่อนเวลาสามสิบนาทีนะ" อาจารย์วิลเลี่ยมเงยหน้าขึ้นถามทุกคนอีกครั้ง
"เพราะวันนี้คณะวิศวะเรามีนัดรวมตัวกันที่ลานกิจกรรม เรื่องการรับน้องปีหนึ่ง" อาจารย์วิลเลี่ยมปิดหนังสือลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาหยุดตรงหน้าพวกเราทั้งห้าคน
"ถ้าจะเข้าวิศวะแค่ย้ายหน่วยกิจอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องรับรุ่นด้วย" อาจารย์พูดขึ้นกับเพอร์ซุสก่อนจะกดปิดจอโปรเจคเตอร์ด้วยรีโมท
"ทุกคนกลับได้เลย ยกเว้นพิมพ์ตะวัน ครูจะคุยเรื่องงานเด็กทุนปีนี้น่ะ" อาจารย์วิลเลี่ยมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ พร้อมกับหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมารอ
"งั้นเจอกันหน้าลานรับน้องนะ พวกกูไปดูดบุหรี่ก่อน" อาร์เดลหันมาบอกกับฉัน และใช้หางตามองทางเพอร์ซุสเล็กน้อย
ก่อนที่พวกมันทั้งสี่คนจะลุกจากโต๊ะ พร้อมกับสะพายกระเป๋าเดินนำออกจากห้องไปจนหมด เหลือแค่เพอร์ซุสที่ยังคงนั่งเปิดชีทเรียนอ่านไปคร่าว ๆ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าและเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย
ฟุ่บ! แผ่นกระดาษตารางชั่งโมงทุนที่ฉันต้องทำให้กับทางมหาลัย ซึ่งก็จะเป็นพวกกิจกรรมแทบจะทุกกิจกรรมของมหาลัยเลย ไม่ว่าจะจัดเตรียมงานประชุม รับน้อง หรือกีฬาสี เด็กทุนล้วนแต่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด
(อย่างที่รู้กันดี..โลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ)
(ค่าเทอมปีละห้าถึงหกแสน แค่ทำงานง่าย ๆ แบบนี้ถือว่าคุ้มมากแล้วจริง ๆ สำหรับเด็กทุนเรียนเต็มจำนวนเช่นฉัน)
"อันนี้คือตารางชั่วโมงทุนอัปเดตจากห้องทะเบียนนะ ชั่วโมงทุนปีนี้กับเวลาเรียนค่อนข้างคาบเกี่ยวกันเยอะเลยนะ"
"ปีนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย" อาจารย์วิลเลี่ยมพูดขึ้นเพราะท่านคือคนที่เซ็นชื่อลงบนใบก่อนจะยื่นให้ฉัน
"ขอบคุณค่ะอาจารย์ หนูจะตั้งใจทำอย่างเต็มที่" ฉันยกมือไหว้อาจารย์วิลเลี่ยมไป ถึงแม้ท่านจะดุแต่ในความดุ ความเนี๊ยบก็ล้วนแต่มีความหวังดีมอบให้นักศึกษาทุกคนเสมอจริง ๆ
หลังจากคุยเรื่องชั่วโมงทุนเสร็จ ฉันก็เดินสะพายกระเป๋าออกมาจากห้อง เตรียมจะเดินตรงไปลานกิจกรรม
ฟุ่บ!! ทันทีที่ปิดประตูห้องเลคเซอร์ หัวใจก็แทบจะวายเลยจริง ๆ เพราะ..
"ชะเชี้ยยย!!" ฉันเอามือลูบอกตัวเองด้วยความตกใจ เมื่อเจอเพอร์ซุสยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้ว
"คนเถื่อน ๆ อย่างเธอเนี่ย..ไม่น่าตกใจอะไรง่าย ๆ เลยนะ" เขาพูดขึ้นพร้อมกับก้าวขาเดินตรงหน้าของฉัน
"มีอะไรกับฉันอีกละ?" ฉันเลิกคิ้วถามกลับไปอย่างหัวเสีย
"ห๊ะ??" ไอ้ฝรั่งหัวทองเบิกตาโตขึ้นมาทันที
"มีอะไรกับเธออะนะ?" ร่างสูงมองฉัน พร้อมกับประสานมือเข้าด้วยกันและทำท่าทางแปลก ๆ แบบประสานและเอาส้นมือชนกันเน้น ๆ
"อะ..ไอ้บ้า!!" ฉันรีบดึงมือของไอ้เสาไฟฟ้าลงทันที เพราะกลัวคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาจะเข้าใจผิดเอา
"โอ๊ย!! มันไม่ได้หมายความแบบนั้นโว้ย หมายถึง...มีปัญหา มีธุระ .แบบนายน่ะ....มี...ห่าอะไรกับฉันอีก?" ฉันเกาหัวตัวเองซ้ำ ๆ ก่อนจะรีบพูดแก้ไปทันควัน
(นี่เขาไม่เข้าใจภาษาไทย หรือฉันที่พูดภาษาไทยไม่ถูกต้องวะ)
ฟุ่บ!! ร่างสูงยกรองเท้าที่เต็มไปด้วยคราบโคลนจากรอยเท้าเปื้อน ๆ ของฉัน ไม่รวมกับรอยหมึกซึมที่เลอะเต็มรองเท้าสีขาวล้วนแบรนด์ดังที่ราคาเกือบเจ็ดหมื่นจริง ๆ เท่าที่เสิร์ชหาจากในเน็ตมากับไอ้ออโต้
(รองเท้าบ้าอะไรวะเจ็ดหมื่น ไม่ต้องขายไต ชดใช้เลยเหรอไง) ฉันหน้าเสียเล็กน้อย และทำได้แค่พึมพำในใจ
"แล้วไง?" ก่อนจะปากเก่งสู้ไปก่อน แม้ว่าใจจะเต้นตุบ ๆ ๆ แทบจะหลุดออกมาเลย
"เธอจะ..ชดใช้ยังไง?" เขาเลิกคิ้วถามกลับมาเสียงกวน ๆ ก่อนจะยื่นรองเท้ามาแทบจะฟาดใส่หน้าของฉันอยู่แล้ว
"ทำไมฉันต้องรับผิดชอบด้วย ก็นายยื่นเท้ามาเอง..ฉันไม่เห็นก็เลยเหยียบไป" ฉันข่มความกลัวไว้ในใจและเงยหน้าตอบกลับอย่างสู้สายตา
"เอางี้..อะ..ฉันให้นายทำคืนก็ได้" ฉันยื่นรองเท้าผ้าใบสีขาวของตัวเอง ที่ใส่มาสามปีแถมซักจนขาวสะอาดชนิดที่ยี่ห้อหลุดไปเป็นชาติไปตรงหน้าของเขา
"เหยียบสิ..หรืออยากจะละเลงปากกาอะไรก็เชิญเลย" ฉันยื่นปลายเท้าของตัวเองไปตรงหน้าของเขา
"นี่! ฉันไม่มีเวลาเล่นกับเธอหรอกนะ" เขาจ้องหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง
ฟุ่บบบ!! พร้อมกับยัดรองเท้าผ้าใบของตัวเองให้กับฉัน
"ถ้าเธอไม่มีจ่ายคืน ก็เอาไปซักให้สะอาดซะ"
"แต่ถ้าทำไม่ได้ก็..เอาเงินมาเจ็ดหมื่น"
"กะ..ก็ได้..แหมรอยแค่นี้เองทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต!" ฉันรีบตอบกลับไปทันที
แม้รู้ดีว่ามันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะหมึกซึมมันซึมลึกเข้าไปในเนื้อของผ้าใบแล้วจริง ๆ
(งื้อ ๆ ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ๆ)
"มีธุระแค่นี้ใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะได้รีบเอากลับไปซักมาคืนให้!" ฉันตอบไปแบบเสียงแข็ง ๆ ก่อนจะเดินหันหลังเตรียมจะไปหาที่ซักรองเท้าให้หมอนี่ ก่อนที่คราบจะฝั่งลึกไปกว่านี้
หมับ!! ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินไปไหนได้ มือหนาของเขาก็คว้าไหล่ของฉันเอาไว้อีกครั้ง
"เดี๋ยว"
"อะไรอีก?" ฉันขมวดคิ้วหันไปถามด้วยเสียงเอื้อม ๆ
"..ถอดรองเท้าของเธอมา" เขาเหลือบตามองลงไปที่รองเท้าของฉัน
"อะไรนะ?" ฉันยิ่งงงหนักกว่าเดิม
"เธอนี่หูหนวกรึไง..ฉันบอกว่าถอดรองเท้าเธอมา ฉันจะใส่" ร่างสูงโน้มตัวเข้ามาดึงหูของฉันไปพูดใกล้ ๆ
"นายจะบ้ารึไง เท้าฉันเล็กกว่าเธอเป็นเท่าเลย ถ้านายมาใส่รองเท้าฉัน..รองเท้าฉันก็พังพอดี?" ฉันส่ายหน้าอย่างไม่เอาด้วยแน่ ๆ
"แล้วเธอจะให้ฉันเดินเท้าเปล่า ไปรับน้องรึไง?" เขาเอียงคอถามด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกดดันฉันไปในตัว
"…เออ ๆ ๆ ...เอาไป" ฉันทำได้แค่ยืนกำหมัดแน่น ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าตัวเองให้กับเขาไป
เพอร์ซุสยิ้มออกมาและสอดเท้าของเขาเข้าไปในรองเท้าคู่เล็กของฉัน ซึ่งแม้ว่ามันจะเข้าไปได้แค่ครึ่งเท้าแต่เขาก็ยิ้มออกมาอย่างหน้าระรื่น เหมือนดีใจที่ได้แกล้งฉันคืน
"ไอ้.." ฉันแทบอยากจะปารองเท้าใส่หัวหมอนี่จริง ๆ แต่คดีเก่าที่ยังไม่เคลียร์มันเยอะมากซะจนกลัวจะโดนทวงค่าเสียหายอยู่เหมือนกัน
"ตั้งสติหน่อย ๆ พิมพ์ตะวัน ๆ เธอไม่ได้รวย ๆ " ฉันพยายามหายใจเข้าและออกเพื่อข่มความโกรธเอาไว้ ไม่ให้พลั้งพลาดทำอะไรที่ขาดสติอีก
ฉันก้มมองนาฬิกาก่อนจะรีบบิดมอเตอร์ไซต์กลับไปที่หอพักนักศึกษา ที่อยู่ติดกับมหาลัย เพื่อแช่รองเท้าของไอ้ฝรั่งจอมหื่นลงในกะละมังซักผ้าก่อน
พร้อมกับเทผงซักฟอกแทบจะเกือบทั้งถุง ทั้งขยี้ รวมถึงนั่งภาวนาให้คราบหมึกมันหลุดออกมา
แต่นั่งซักขยี้ ๆ ๆ ซ้ำจนมือแทบหัก คราบปากกามันก็ไม่ยอมหลุดออกเลยจริง ๆ
"ซวยแน่ ๆ ๆ " ฉันทำได้แค่นั่งทุบหัวตัวเองซ้ำ ๆ
อื้อ ๆ ๆ (เสียงโทรศัพท์)
((ออโต้) )
"ฮัลโหลมึง.." ฉันกดรับสายมันไปทันที
(ไอ้พิมพ์ มึงอยู่ไหนเนี่ย..รับน้องจะเริ่มแล้ว)
"เออ ๆ อีกห้านาทีกูไป" ฉันรีบเปิดน้ำล้างมือและแช่รองเท้าของเขาไว้ แต่คิดแล้วว่ายังไงก็คงซักให้ขาวสะอาดตามเดิมไม่ได้แน่ ๆ
"เฮ่อ! ซื้อของก็อปให้แทนได้ไหมวะ?" ฉันนั่งคิดมาตลอดทางที่บิดมอเตอร์ไซต์กลับมาที่มหาลัย
ลานกิจกรรม
มหาลัย อเธน่า
"คณะเราอยู่กันแบบพี่แบบน้อง ในวันที่คุณก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิศวะ" รุ่นพี่ปีสี่โฆษกประจำคณะประกาศออกไมค์ ขณะที่พวกรุ่นน้องทุกคนนั่งเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
"โปรดจงรู้เอาไว้ว่าเราคือครอบครัว"
"มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน"
"และต่อให้พวกคุณจะผ่านการเข้าค่ายรับน้องของทางมหาลัย ไม่ได้หมายความว่าพวกผมจะรับคุณเข้ารุ่น"
"ทำเนียบรุ่นของเรา ใครก็รู้ว่าโหดมากแค่ไหน..ดังนั้นผมขอถามอีกครั้งว่ามีใครจะถอดใจไหม?"
"ไม่มี!!" รุ่นน้องทุกคนตะโกนตอบ
"มีไหม..ไม่ได้ยิน??" รุ่นพี่ปีสี่เอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง
"ไม่มี!!" รุ่นน้องก็ตะเบิดตอบกลับอย่างสุดเสียง
"แจกผ้าพันคอ!" รุ่นพี่ปีสี่คนเดิมหันมาบอกกับทางพวกปีสาม ซึ่งเราก็เอาผ้าพันคอคำว่า โซตัส
"โซตัส SOTUS" รุ่นพี่ปีสี่พูดขึ้นพร้อมกับสั่งให้ ปีสามเดินเข้าไปช่วยกันผูกผ้าพันคอให้กับรุ่นน้องปีหนึ่ง เหมือนเป็นการต้อนรับพวกเขาเข้าสู่คณะ
ซึ่งคณะของเราจะให้ความเคารพในลำดับชั้นปี มาก ๆ ดังนั้นพี่ปีสี่สั่งอะไรรุ่นน้องก็ต้องทำตาม
การผูกผ้าพันคอเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ปีสาม แต่การมอลเกียร์รุ่นถึงจะเป็นหน้าที่ของพี่ปีสี่ หรือชั้นปีที่สูงที่สุด
"Seniority ให้ความเคารพต่อรุ่นพี่ ผู้ที่อาวุโสกว่า"
"Order เคารพในคำสั่ง และกฎระเบียบวินัย"
"Tradition สืบสานประเพณีที่ส่งต่อ ๆ กันมา"
"Unity ความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว"
"Spirit จิตวิญญาณ และความเห็นใจ มีน้ำใจ ช่วยเหลือกันและกัน"
"กูจองน้องคนนั้น" ไอ้ออโต้รีบเดินไปหยุดตรงหน้าแถวของสาวน้อยหน้าใสวัยคนหนึ่งทันที
"หน้าหมอซะจริง" ฉันยังไม่ได้ด่ามันก็วิ่งจู๊ดตรงไปหาน้องเขาแล้ว
วิศวะเราก็มีผู้หญิงเรียนอยู่เหมือนกันนะ แต่แค่มีน้อยมาก ๆ เท่านั้นเอง ปีละไม่ถึงสิบคน จากทั้งคณะที่มีเกือบ ๆ ร้อยคนได้
ในตอนที่ฉันกำลังเลือกหาน้องปีหนึ่งที่ว่าง ๆ เผื่อจะเดินไปผูกผ้าพันคอให้ แว๊บหนึ่งฉันก็นึกสงสัยขึ้นมาเหมือนกันว่าคนอย่างเพอร์ซุส จะมาร่วมกิจกรรมแบบนี้มั้ยนะ เพราะยังไงซะเขาก็ถือเป็นรุ่นพี่ปีสี่ แถมยังมาจากคณะที่เป็นอริกับเราอีกด้วย
"มองหาฉันเหรอ?" แต่แล้วร่างสูงเป็นฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาฉันแทน
(เจอหน้าหมอนี่ทีไร..มีแต่เรื่องซวย ๆ ทุกทีจริง ๆ )
"ฉันจะมองหานายทำไมไม่ทราบ?" ฉันเงยหน้าถามกลับไปอย่างกวน ๆ
"ผูกผ้าผัดคอให้ฉัน" ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าของฉัน
"ทำไมฉันต้องผูกให้นายด้วยไม่ทราบฮะ?" ฉันกอดอกถามกลับอย่างถือไพ่เหนือกว่า
"เพราะฉันไม่รู้จักใครเลย นอกจากเธอ" เขาก้มหน้าลงมองฉันอย่างกดดัน
"หึ..งั้นก็ฝันไปเถอะฉันจะเก็บผ้าพันคอนี้ไว้ ผูกให้กับรุ่นน้องปีนะ.. (หนึ่ง)
"ก็ได้..งั้นฉันจะเดินไปบอกเพื่อนทั้งสี่ตัวของเธอ ว่าเราเคยจูบ"
ฟุ่บ! ฉันรีบกระชากคอเสื้อของเขาก้มลงมาใกล้ ๆ และจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
"ถ้านายพูดเรื่องนั้นกับใครละก็....ฉันจะทำทุกทางให้นายเรียนคณะนี้ไม่ได้เลยคอยดู"
"น่ากลัวจัง.." เขาตอบกลับอย่างหน้าตาย
"บอกเลยว่าจะเป็นวิศวะ ไม่ง่ายหรอกนะ..ยิ่งย้ายมาจากบริหารแล้วเนี่ย ฝันไปเถอะว่าคนในคณะจะต้อนรับนาย"
ฉันก็รีบผูกผ้าพันคอให้ไปแบบลวก ๆ