ติ๊ด … ติ๊ด~
เสียงแรกที่เจาะเข้าโสตประสาทหลังฟื้นตัวก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่แล้ว
เปลือกตาผมกะพริบถี่ๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากห้วงว่าง แต่แสงไฟสว่างจ้าบนเพดานกลับสาดเข้ามาแทน และมันยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งอยู่กลางทะเลของแสงสีขาว ที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและแอมโมเนียจนแสบจมูก เสียงกระซิบเบาๆ ของพยาบาล ตอกย้ำว่าผมไม่ได้ฝันไป และกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาแบบสุดๆ
อึก!
แค่ขยับตัวนิดเดียว ความปวดแปลบก็แล่นจากหัวไล่ลงมาถึงบ่า จนผมต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเห็นว่าข้อมือซ้ายถูกพันด้วยผ้ายืดหนาแน่น
ทุกอย่างมันเตือนว่ามีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นก่อนหน้า
…แต่ตอนนี้ สมองกับร่างกายยังเชื่อมกันไม่สมบูรณ์ การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเลยค่อนข้างยาก
สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเงาร่างของใครบางคนล้มลงมาทับ เสียงลมหายใจแรงๆ และ...
มือผมเลื่อนแตะปากโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกปวดหนึบยังคงอยู่ มันไม่ใช่แค่สัมผัส แต่เป็นการกระแทกเต็มแรง
“...แม่ง”
เจ็บใจไม่พอ ยังมาเจ็บตัวอีก
พระเจ้าไม่คิดจะเข้าข้างกูบ้างเลยรึไง?
บัดซบสัส! เจอแบบนี้เมาแค่ไหน ก็สร่างเหอะ…
“ไงครับ พ่อหนุ่มนิติฯ คนเก่ง”
เสียงน่ารำคาญที่ดังมาพร้อมรอยยิ้มกวนตีนระดับพรีเมียมของ ไอ้พายุ หรือ ไอ้ตี๋หิด ชื่อที่ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่ด้วยความจังไรล้วนๆ ฉุดให้ผมค้อนมองมันอย่างหัวเสีย
เพื่อนรักแสนรู้ยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างเตียงพร้อมกับยื่นแว่นมาให้
“… แดกเหล้ายังไง ให้มาฟื้นอยู่ในห้องฉุกเฉิน หืม?”
นี่แหละ…มิตรแท้ ถ้าล้มก็พร้อมซ้ำให้จมตีน เรื่องช่วยเอาไว้ทีหลัง
ผมรับแว่นมาสวม แล้วยันตัวขึ้นนั่งด้วยแขนข้างเดียวที่ใช้งานได้อย่างทุลักทุเล โดยมีไอ้คนที่ปกติครบสามสิบสองกอดอกด้วยสีหน้าสบายใจ แถมปากมันก็ยังแพล่มไม่หยุด
“นี่ดีนะที่แค่มือซ้น ถ้าตกสูงกว่านี้คอคงหักตาย ลำบากพวกกูต้องไปตั้งวงตีดัมมี่อยู่เป็นเพื่อนมึงอีก”
“...!” ดูมัน! ดูมันพูด…ปากดีจนอยากตบให้ฟันร่วง
“มีคลับให้แดกดีๆ ก็ไม่ชอบ เสือกไปหาแดกที่อื่น แล้วดูสภาพดิเนี่ย”
“เลิกเหอะ”
“เลิกแดกเหล้า?”
“เลิกคบกับมึงนั่นแหละ ไอ้สัส! พูดมากฉิบหาย”
“ถ้ามึงเลิกคบกับกู แล้วกูจะไปคบกับใคร...ฮะ!? พูดไม่คิด”
นี่คงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความอดทนที่พระเจ้าสรรหามาให้โดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ
แค่ฟื้นมาก็ปวดหัวสัสๆ แล้ว ยังต้องมาเจอไอ้ห่านี่อีก
ผมถอนหายใจยาว แล้วเอนหลังพิงหัวเตียงพร้อมยกมือขึ้นบีบขมับ หวังไล่ความมึนให้จางลงบ้าง แต่แล้วความสงสัยก็แล่นเข้ามาในหัว
“…แล้วทำไมมึงรู้ว่ากูอยู่นี่”
ถ้าเป็นปกติ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะในกลุ่มเราแทบจะรู้การเคลื่อนไหวของกันตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่โผล่หน้าไปที่คลับเลย แถมยังเมินไลน์พวกมันด้วย ก็ตั้งแต่ทะเลาะกับไอ้ห่าหมอกนั่นแหละ…
ใช่ว่าอยากจะงี่เง่านะ คือมันไม่ง่ายจริงๆ ที่ผมจะทำใจยอมรับได้ในทันที มันคงต้องใช้เวลาสักพัก และตอบไม่ได้ด้วยว่าเมื่อไหร่
…เมื่อไหร่ที่ผมจะกล้ากลับไปยืนตรงนั้นโดยไม่รู้สึกอะไร
“ก็รู้จากนู้นไง … คู่กรณีมึงอะ”
เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงชวนให้หงุดหงิดของเพื่อนตัวดีดึงผมออกจากความคิด ก่อนมองตามสายตามันไปยังประตูทางเข้า
คิ้วผมขมวดแน่นทันที เมื่อเห็นว่าสาวน้อยในชุดเกาะอกยีนสีซีดที่เปิดประตูเข้ามาคือน้องคนสนิทของจันทร์เจ้าและไอ้ตะวัน ซึ่งคุ้นเคยกับทุกคนในดิซานเตอร์เป็นอย่างดี
“ริรัณย์?”
ทำไมถึงเป็นน้อง?!
บังเอิญ… เกินไปเปล่าวะ?
ผมปรายตามองไอ้เด็กศิลป์สายชิลที่ไหวไหล่คล้ายไม่รู้ไม่ชี้แวบหนึ่ง แล้วดึงสายตากลับมาจับร่างเล็กที่เดินมาหยุดยืนข้างเตียง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“เฮีย ยังเจ็บอยู่ไหม…” เสียงหวานสั่นแผ่ว ขณะเอื้อมมือแตะแขนผมเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะเผลอทำให้เจ็บไปมากกว่านี้ “ขอโทษนะคะ ที่รันวิ่งไม่ดูทาง…”
ทีแรกก็หงุดหงิดแหละ ที่ต้องมาลงเอยในสภาพนี้เพราะความประมาทเลินเล่อของคนอื่น แต่พอรู้ว่าเป็นริรัณย์ ผมกลับรู้สึกโมโหมากกว่า
มันอันตรายมากนะ ลองนึกสิ… ถ้าผมไม่อยู่ตรงนั้น สถานการณ์มันคงแย่กว่านี้หลายเท่า คนที่ต้องอยู่บนเตียงนี่อาจเป็นเธอก็ได้
ขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังล้มทั้งยืน แล้วร่างบางๆ แบบน้องล่ะ จะเป็นยังไง…
“เมาเหรอ?”
“เปล่าค่ะ” เธอยกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“แล้ว…”
คำถามที่ว่าจะตามไปว่า ‘ไปกับใคร’ ถูกกลืนกลับลงคอทันที เมื่อจู่ ๆ ร่างเล็กโน้มหน้าเข้ามาใกล้แบบไม่ให้ตั้งตัว
“ไม่เมาจริงๆ นะคะ เนี่ย…ไม่มีกลิ่นเหล้าเลย”
ลมหายใจอุ่นๆ เฉียดผิวแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์เจือจางผสมกับกลิ่นหอมละมุนจากน้ำหอมทำให้สมองผมค้างไปชั่วครู่
…เด็กนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ากินแค่คอกเทลแล้วจะไม่ทิ้งหลักฐานมัดตัว แต่นั่นตกเป็นประเด็นรองไปแล้ว เพราะมันมีเรื่องอื่นที่ดึงความสนใจผมได้มากกว่า
เมื่อก่อนเวลามองเธอ ผมมักจะคิดถึงเด็กน้อยแสนซน คอยเดินตามพวกผมต้อยๆ แต่ตอนนี้…ไม่ใช่ ผมเริ่มรู้สึกว่าเราควรมีระยะห่างตามเพศสภาพ แบบที่มันควรจะเป็น
ผมหลุดกระแอมเบาๆ ก่อนจะรีบใช้ปลายนิ้วดันหน้าผากเธอออกห่าง
“แล้วทำไมถึงวิ่งลงบันไดแบบนั้น มันอันตรายมากนะ ไม่รู้รึไง”
น้ำเสียงที่ฟังดูเข้มกว่าที่ตั้งใจ ส่งผลให้รอยยิ้มสดใสของคนฟังจางหายไปในพริบตา
“…ขอโทษค่ะ”
เธอหลุบตาลงมองมือตัวเอง ก่อนจะเขี่ยไปมาอยู่ข้างเตียงแบบไม่รู้จะทำอะไร จนผมเองยังรู้สึกผิดแทน
ใครจะไปกล้าดุต่อวะ แบบนี้…
“ช่างเถอะ แล้วนี่… รันเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ…” เสียงใสตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมรู้ดีว่า มันยังมีบางอย่างหลงเหลืออยู่ เพราะตรงริมฝีปากเล็กๆ มีรอยแตกจากอุบัติเหตุนั่นชัดเจน
แต่ทำไมน้องถึงบอกว่าโอเคล่ะ?
หรือเธอจะคิดมาก…
ไม่สิ! มันไม่ใช่จูบ! ไม่มีใครตั้งใจให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น แล้วน้องจะคิดมากทำไม
ผมควรพูดอะไรสักอย่างไหม?
ต้องอธิบายให้เธอสบายใจรึเปล่า?
ในขณะที่ผมมัวแต่คิด สายตายังเผลอจ้องอยู่ที่เดิม จนอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวเหมือนไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน สุดท้ายก็เลือกกำสายกระเป๋าตัวเองเอาไว้ น้องเม้มปากแน่นพลางหลุบตามองต่ำแบบคนที่เริ่มรู้ตัวว่าโดนมองมากเกินไป
และผมเองก็เพิ่งรู้… ว่าเผลอมองน้องนานเกินไปจริงๆ
แต่ยังไม่ทันได้พูดหรือทำอะไร เสียงไอ้พายุก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“กูไปเคลียร์ค่ารักษาดีกว่าเนอะ”
“อ้อ…!” เธอแทรกทันควัน เหมือนรอให้ใครเปิดช่องมานาน “เดี๋ยวรันจัดการเองค่ะ”
แล้วก็รีบหันหลังเดินออกไปทันที ไม่รอฟังคำทักท้วงใดๆ ทิ้งไว้แค่ผมกับสายตาประหลาดของไอ้พายุ
“ควยไร!” ผมหันไปจ้อง
“น้องโตขึ้นเยอะเลยเนาะ น่ารักด้วย”
ถ้าไม่ติดว่าเจ็บอยู่นะ ผมคงลุกไปตบกระบาลมันให้หัวหมุนแล้ว แต่ตอนนี้ทำได้แค่คาดโทษด้วยสายตา
“หยุดความคิดจังไรของมึงไว้ตรงนั้นเลยนะ!”
ความที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล แค่คิ้วมันกระตุก ผมก็รู้แล้วว่าในหัวมันคิดอะไร ไอ้เรื่องที่จะมาชมเฉยๆ น่ะ … ฝันไปเหอะ ถ้าไม่หวังผล ก็ต้องแอบแฝงความคิดชั่วๆ
“กูก็แค่ชมปะ ยังไม่ทันว่าอะไรเลย ทำไม … หรือว่ามึงคิด”
ไอ้เวรนี่!
“ใครเขาจะไปจังไรเหมือนมึง”
“อ้อ…เรอะ” เกลียดการลอยหน้าลอยตาทำเป็นอ้อล้อล่อตีนของแม่งฉิบหาย และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมานั่งเถียงกับมันให้เสียเวลาชีวิต
“จะไปไหนก็รีบไป… ปะ”
ผมพ่นลมผ่านปลายจมูกแรงๆ ยกมือเสยผมลวกๆ ก่อนจะกดนิ้วคลึงขมับอยู่พักใหญ่ แล้วปล่อยสายตามองรอบห้องอย่างเผลอไผล ราวกับหวังว่าจะเห็น… ใครบางคน
ทั้งที่รู้แก่ใจว่าความเป็นไปได้แทบจะไม่มี
เฮ้อ… ต้องใช้เวลานานแค่ไหนนะ ถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้ได้สักที?
Part’s Fiฟึบ!ตำรากฎหมายเล่มหนาถูกปิดเสียงดัง ผมถอนหายใจแรงอย่างคนที่สมองเริ่มตื้อ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับ สายลม ไอ้หนุ่มสถาปัตย์สายติสต์ตัวพ่อที่นั่งเท้าคางมองอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนฝั่งตรงข้ามมันจ้องผมมาเกือบครึ่งชั่วโมง… ด้วยสีหน้าราวกับกำลังจับพิรุธผู้ต้องหา“มีอะไรก็พูดมาดิ จ้องอยู่ได้ กูท้องแล้วมั้งเนี่ย”ความจริงผมไม่ได้อารมณ์ดีถึงขั้นจะเล่นมุกออกหรอกนะ แต่ที่พูดก็เพราะรำคาญ…ให้มันถามซะ… จะได้จบๆ อยากไล่ให้มันไปพ้นๆ และแน่นอนว่าคนที่ไร้ความเกรงใจอย่างมันไม่อ้อมค้อม ยิงตรงเข้าเป้าแบบเต็มๆ“มึงกับไอ้หมอกยังไม่เคลียร์กันเหรอ”คำถามมันไม่ได้หนักหนาอะไร แต่กลับเหมือนมีใครสักคนโยนหินลงไปในบ่อน้ำลึกที่พยายามสงบ… และมันกระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง“เอาจริงๆ นะ” ผมกระตุกยิ้มฝืนๆ “ในกลุ่มเนี่ย มีแค่ไอ้พายุตัวเดียวกูก็ปวดหัวจะแย่แล้ว มึงปล่อยให้ความขี้เสือกเป็นหน้าที่ของมันคนเดียวไม่ได้เหรอ”“เอ้า! ไอ้สัส… แล้วให้กูพูดทำเพื่อ?”ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจาะจงตรงประเด็นขนาดนี้ผมส่ายหน้าน้อยๆ พลางพ่นลมยาวเหยียด ราวกับจะยกอะไรทั้งหลายแหล่ที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมาให้หมด แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน…
กริ๊ง…กริ๊ง!เสียงนาฬิกาปลุกแผดลั่นราวกับไซเรนเตือนภัยในสนามรบ ทำฉันสะดุ้งเฮือกจนเผลอปัดไอโฟนที่แหกปากน่ารำคาญข้างหูแทบร่วงพื้น ก่อนจะนิ่งอยู่สักพักเพื่อรวบรวมสติ แล้วถึงพลิกตัวโก่งก้นขึ้นนั่งเปลือกตาค่อยๆ เปิดรับแสงอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาวันใหม่…ที่น่าจะสดใสถ้าไม่นับตาแพนด้าและวิญญาณที่ยังล่องลอยอยู่กลางมิติความฝันอะนะฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ขณะลากร่างโงนเงนลงไปยืนข้างเตียงปกติหากมีเรียนเช้าก็จะตื่นประมาณเจ็ดโมงครึ่ง แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันต้องลุกก่อนตั้งหนึ่งชั่วโมง นี่มันไม่ต่างจากการเฉือนหัวใจคนรักการนอนเลยว่าไหม?แต่ทำไงได้ ‘พันธสัญญาปีศาจ’ ที่ให้ไว้กับเฮียพายุยังค้างคาอยู่ ฉันต้องไปซื้ออาหารเช้าให้ เฮียไฟ ผู้ซึ่งไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าดันรับเคราะห์หนักสุดและแน่นอน… ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่า ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ถึงทุกวันจะไม่เคยได้คำชื่นชมกลับมาเลยก็ตามไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเช้าเกินไป หรือเขาแค่ไม่อยากเปิดประตูให้นั่นแหละ… จะอะไรก็ช่าง ฉันแค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ด้วยการเอาของบำรุงทุกอย่างไปแขวนไว้หน้าประตู พร้อมกับแปะโน้ตที่มีข้อความว่า‘อาหารเช้ามาส่งแล
“...ชำระแบบไหนดีคะ”เสียงสุภาพจากคุณพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ดังขึ้น ช่วยดึงฉันกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เปลือกตาฉันกะพริบปริบๆ ก่อนจะรีบควานหามือถือที่หน้าจอแตกร้าวจากอุบัติเหตุนั่นออกมาสแกนจ่าย“โอนค่ะ”ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเฮียพายุเดินมาหยุดยืนข้างๆ พอดี“เท่าไหร่อะ?”“ไม่เป็นไรค่ะ รันจ่ายแล้ว”เขาพยักหน้าเบาๆ แต่สายตา… กลับเหลือกขึ้นมองเพดานอย่างใช้ความคิดเงียบๆ ผ่านไปไม่ถึงนาที ริมฝีปากหยักก็ขยับถามอีกครั้ง“รันอยู่คอนโดบีแอลใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”เพราะพ่อกับแม่ต้องเดินทางไปดูบริษัทขนส่งของครอบครัวที่เบลเยียมบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงหลังๆ มานี่แทบไม่ได้กลับไทยเลย ซ้ำยังมีแพลนให้ฉันไปเรียนต่อที่นู่นด้วยนะ ดีที่ได้ญาติผู้ใหญ่หลายคนช่วยออกตัวแทน ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงกลายเป็นเด็กนอกไปแล้วก่อนหน้านี้ฉันอยู่กับปู่ย่า บางวันก็สลับไปนอนบ้านยาย แต่พอจบม.ปลาย ฉันก็เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัว เลยเลือกคอนโดใกล้มหา’ลัยไว้เป็นทางออก…แม้สุดท้ายจะต้องขอร้องให้เม็ดทราย เพื่อนซี้สุดที่รัก มาอยู่เป็นรูมเมตเพื่อคลายความห่วงของผู้ใหญ่ก็ตามส่วนอีกทีมที่ค่อยซัปพอร์ต ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างราวกับฉันเป็นเจ้าหญิงน้อ
Part’s Rirunฟู่ว์…ทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง ฉันก็ปล่อยลมหายใจยาวอย่างคนที่อั้นมานาน รู้สึกได้เลยว่าอวัยวะที่อยู่ใต้ฝ่ามือมันเต้นแรงผิดปกติยิ่งหลับตา ภาพจำก็ยิ่งชัดขึ้น ริมฝีปากของเขา... ไออุ่นที่แนบชิดเพียงชั่วอึดใจ กลับทิ้งร่องรอยไว้มากกว่าที่คิดถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น… ไม่ใช่เฮียไฟ เราจะรู้สึกแบบนี้ไหมนะฉันสะบัดหน้าแรงๆ พยายามเขย่าความคิดบ้าๆ ออกไป ไม่สิ! ไม่ควรคิดแบบนี้… มันเป็นแค่อุบัติเหตุ และมันต้องเป็นแค่นั้น!หลังมือถูกยกขึ้นมาถูปากซ้ำไปซ้ำมา ด้วยหวังว่าทุกอย่างอาจจางลง แต่มันดันกลายเป็นยิ่งหลอมรวมสิ่งเหล่านั้นเข้ามาในความรู้สึกของฉันทีละนิดสามชั่วโมงก่อน…เสียงดนตรีและแสงไฟสลัวช่วยขับบรรยากาศในร้านนั่งชิลยามค่ำคืนให้ครึกครื้น แม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกสนุกเท่าที่ควรก็ตามเม็ดทราย เพื่อนสาวคนสนิทในชุดสีเข้มสุดเซ็กซี่กำลังโยกสะโพกพลิ้วไหวอย่างเอ็นจอย ไม่แคร์สายตาใคร ส่วนอีกคนที่นั่งตรงข้ามคือ นิกซ์ หนุ่มหล่อดีกรีทายาทห้างทองตระกูลดังประจำจังหวัด ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการชงเครื่องดื่มราวกับผสมสีในถาดหลุมเราสามคนโตมาด้วยกันตั้งแต่ประถม แม้ว่าไลฟ์สไตล์จะแตกต่างสุดขั้ว แต่ก็ม
ติ๊ด … ติ๊ด~เสียงแรกที่เจาะเข้าโสตประสาทหลังฟื้นตัวก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่แล้วเปลือกตาผมกะพริบถี่ๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากห้วงว่าง แต่แสงไฟสว่างจ้าบนเพดานกลับสาดเข้ามาแทน และมันยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งอยู่กลางทะเลของแสงสีขาว ที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและแอมโมเนียจนแสบจมูก เสียงกระซิบเบาๆ ของพยาบาล ตอกย้ำว่าผมไม่ได้ฝันไป และกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาแบบสุดๆอึก!แค่ขยับตัวนิดเดียว ความปวดแปลบก็แล่นจากหัวไล่ลงมาถึงบ่า จนผมต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเห็นว่าข้อมือซ้ายถูกพันด้วยผ้ายืดหนาแน่นทุกอย่างมันเตือนว่ามีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นก่อนหน้า…แต่ตอนนี้ สมองกับร่างกายยังเชื่อมกันไม่สมบูรณ์ การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเลยค่อนข้างยากสิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเงาร่างของใครบางคนล้มลงมาทับ เสียงลมหายใจแรงๆ และ...มือผมเลื่อนแตะปากโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกปวดหนึบยังคงอยู่ มันไม่ใช่แค่สัมผัส แต่เป็นการกระแทกเต็มแรง“...แม่ง”เจ็บใจไม่พอ ยังมาเจ็บตัวอีกพระเจ้าไม่คิดจะเข้าข้างกูบ้างเลยรึไง?บัดซบสัส! เจอแบบนี้เมาแค่ไหน ก็สร่างเหอะ…“ไงครับ พ่อหนุ่มนิติฯ คนเก่ง”เสียงน่ารำคาญที่ดังม
เห็นเพื่อนรักกัน มันก็น่ายินดี…ดีก็เหี้ยละ!แค่ ‘ยิ้มปลอมๆ’ ผมยังฝืนทำไม่ได้เลยปึก!แก้วในมือถูกกระแทกลงโต๊ะเต็มแรง เสียงดังจนคนรอบข้างหันขวับเป็นตาเดียว …แต่ใครสนสายตาผมยังตรึงอยู่กับขวดเหล้าเรียงรายหลังเคาน์เตอร์บาร์ แสงไฟส้มอมแดงกระทบกระจก สะท้อนวูบวาบไม่ต่างเปลวเพลิงในใจที่กำลังเผาไหม้ทุกความรู้สึกให้กลายเป็นเถ้าถ่านตอนแรกก็คิดว่าไอ้น้ำบัดซบที่กลืนลงไป คงช่วยเบลอสมองให้ด้านชา หรืออย่างน้อยก็ลดทอนสติสัมปชัญญะให้พอหลุดออกจากความจริงได้บ้างแต่ไม่ใช่…ยิ่งดื่ม แม่งยิ่งชัด!เหมือนมีใครเอาฟิล์มเก่ามาฉายซ้ำ วนลูปไม่จบไม่สิ้นไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือต่อให้ผมหนีไปไกลแค่ไหน ภาพคนสองคนกอดกันกลางคลับในเช้าวันนั้น มันก็ยังตามหลอกหลอนราวกับฝันร้ายเสียงเบสหนักๆ ที่อัดกระหึ่มในหัว ควรจะกลบทุกความคิด ทว่ากลับทำตรงกันข้าม ทุกโน้ต ทุกจังหวะ ดันย้ำเตือนหลายสิ่งที่ผมไม่อยากจำ จนเจ็บไปทั้งอกถ้าหลายปีก่อนไอ้หมอกไม่ต้องย้ายไปนอร์เวย์…บางทีผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างจันทร์เจ้า คงไม่ซบหน้าร้องไห้บนไหล่ผมเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย‘ไฟ… หมอกมันไปแล้ว’และผมก็คงไม่ต้องมารับรู้ว่าใคร… ที่อยู่ในใจเธอมา