LOGINติ๊ด … ติ๊ด~
เสียงแรกที่เจาะเข้าโสตประสาทหลังฟื้นตัวก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่แล้ว
เปลือกตาผมกะพริบถี่ๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากห้วงว่าง แต่แสงไฟสว่างจ้าบนเพดานกลับสาดเข้ามาแทน และมันยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งอยู่กลางทะเลของแสงสีขาว ที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและแอมโมเนียจนแสบจมูก เสียงกระซิบเบาๆ ของพยาบาล ตอกย้ำว่าผมไม่ได้ฝันไป และกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาแบบสุดๆ
อึก!
แค่ขยับตัวนิดเดียว ความปวดแปลบก็แล่นจากหัวไล่ลงมาถึงบ่า จนผมต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเห็นว่าข้อมือซ้ายถูกพันด้วยผ้ายืดหนาแน่น
ทุกอย่างมันเตือนว่ามีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นก่อนหน้า
…แต่ตอนนี้ สมองกับร่างกายยังเชื่อมกันไม่สมบูรณ์ การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเลยค่อนข้างยาก
สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเงาร่างของใครบางคนล้มลงมาทับ เสียงลมหายใจแรงๆ และ...
มือผมเลื่อนแตะปากโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกปวดหนึบยังคงอยู่ มันไม่ใช่แค่สัมผัส แต่เป็นการกระแทกเต็มแรง
“...แม่ง”
เจ็บใจไม่พอ ยังมาเจ็บตัวอีก
พระเจ้าไม่คิดจะเข้าข้างกูบ้างเลยรึไง?
บัดซบสัส! เจอแบบนี้เมาแค่ไหน ก็สร่างเหอะ…
“ไงครับ พ่อหนุ่มนิติฯ คนเก่ง”
เสียงน่ารำคาญที่ดังมาพร้อมรอยยิ้มกวนตีนระดับพรีเมียมของ ไอ้พายุ หรือ ไอ้ตี๋หิด ชื่อที่ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่ด้วยความจังไรล้วนๆ ฉุดให้ผมค้อนมองมันอย่างหัวเสีย
เพื่อนรักแสนรู้ยืนยิ้มกริ่มอยู่ข้างเตียงพร้อมกับยื่นแว่นมาให้
“… แดกเหล้ายังไง ให้มาฟื้นอยู่ในห้องฉุกเฉิน หืม?”
นี่แหละ…มิตรแท้ ถ้าล้มก็พร้อมซ้ำให้จมตีน เรื่องช่วยเอาไว้ทีหลัง
ผมรับแว่นมาสวม แล้วยันตัวขึ้นนั่งด้วยแขนข้างเดียวที่ใช้งานได้อย่างทุลักทุเล โดยมีไอ้คนที่ปกติครบสามสิบสองกอดอกด้วยสีหน้าสบายใจ แถมปากมันก็ยังแพล่มไม่หยุด
“นี่ดีนะที่แค่มือซ้น ถ้าตกสูงกว่านี้คอคงหักตาย ลำบากพวกกูต้องไปตั้งวงตีดัมมี่อยู่เป็นเพื่อนมึงอีก”
“...!” ดูมัน! ดูมันพูด…ปากดีจนอยากตบให้ฟันร่วง
“มีคลับให้แดกดีๆ ก็ไม่ชอบ เสือกไปหาแดกที่อื่น แล้วดูสภาพดิเนี่ย”
“เลิกเหอะ”
“เลิกแดกเหล้า?”
“เลิกคบกับมึงนั่นแหละ ไอ้สัส! พูดมากฉิบหาย”
“ถ้ามึงเลิกคบกับกู แล้วกูจะไปคบกับใคร...ฮะ!? พูดไม่คิด”
นี่คงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความอดทนที่พระเจ้าสรรหามาให้โดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ
แค่ฟื้นมาก็ปวดหัวสัสๆ แล้ว ยังต้องมาเจอไอ้ห่านี่อีก
ผมถอนหายใจยาว แล้วเอนหลังพิงหัวเตียงพร้อมยกมือขึ้นบีบขมับ หวังไล่ความมึนให้จางลงบ้าง แต่แล้วความสงสัยก็แล่นเข้ามาในหัว
“…แล้วทำไมมึงรู้ว่ากูอยู่นี่”
ถ้าเป็นปกติ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะในกลุ่มเราแทบจะรู้การเคลื่อนไหวของกันตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่โผล่หน้าไปที่คลับเลย แถมยังเมินไลน์พวกมันด้วย ก็ตั้งแต่ทะเลาะกับไอ้ห่าหมอกนั่นแหละ…
ใช่ว่าอยากจะงี่เง่านะ คือมันไม่ง่ายจริงๆ ที่ผมจะทำใจยอมรับได้ในทันที มันคงต้องใช้เวลาสักพัก และตอบไม่ได้ด้วยว่าเมื่อไหร่
…เมื่อไหร่ที่ผมจะกล้ากลับไปยืนตรงนั้นโดยไม่รู้สึกอะไร
“ก็รู้จากนู้นไง … คู่กรณีมึงอะ”
เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงชวนให้หงุดหงิดของเพื่อนตัวดีดึงผมออกจากความคิด ก่อนมองตามสายตามันไปยังประตูทางเข้า
คิ้วผมขมวดแน่นทันที เมื่อเห็นว่าสาวน้อยในชุดเกาะอกยีนสีซีดที่เปิดประตูเข้ามาคือน้องคนสนิทของจันทร์เจ้าและไอ้ตะวัน ซึ่งคุ้นเคยกับทุกคนในดิซานเตอร์เป็นอย่างดี
“ริรัณย์?”
ทำไมถึงเป็นน้อง?!
บังเอิญ… เกินไปเปล่าวะ?
ผมปรายตามองไอ้เด็กศิลป์สายชิลที่ไหวไหล่คล้ายไม่รู้ไม่ชี้แวบหนึ่ง แล้วดึงสายตากลับมาจับร่างเล็กที่เดินมาหยุดยืนข้างเตียง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“เฮีย ยังเจ็บอยู่ไหม…” เสียงหวานสั่นแผ่ว ขณะเอื้อมมือแตะแขนผมเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะเผลอทำให้เจ็บไปมากกว่านี้ “ขอโทษนะคะ ที่รันวิ่งไม่ดูทาง…”
ทีแรกก็หงุดหงิดแหละ ที่ต้องมาลงเอยในสภาพนี้เพราะความประมาทเลินเล่อของคนอื่น แต่พอรู้ว่าเป็นริรัณย์ ผมกลับรู้สึกโมโหมากกว่า
มันอันตรายมากนะ ลองนึกสิ… ถ้าผมไม่อยู่ตรงนั้น สถานการณ์มันคงแย่กว่านี้หลายเท่า คนที่ต้องอยู่บนเตียงนี่อาจเป็นเธอก็ได้
ขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังล้มทั้งยืน แล้วร่างบางๆ แบบน้องล่ะ จะเป็นยังไง…
“เมาเหรอ?”
“เปล่าค่ะ” เธอยกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“แล้ว…”
คำถามที่ว่าจะตามไปว่า ‘ไปกับใคร’ ถูกกลืนกลับลงคอทันที เมื่อจู่ ๆ ร่างเล็กโน้มหน้าเข้ามาใกล้แบบไม่ให้ตั้งตัว
“ไม่เมาจริงๆ นะคะ เนี่ย…ไม่มีกลิ่นเหล้าเลย”
ลมหายใจอุ่นๆ เฉียดผิวแก้ม กลิ่นแอลกอฮอล์เจือจางผสมกับกลิ่นหอมละมุนจากน้ำหอมทำให้สมองผมค้างไปชั่วครู่
…เด็กนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ากินแค่คอกเทลแล้วจะไม่ทิ้งหลักฐานมัดตัว แต่นั่นตกเป็นประเด็นรองไปแล้ว เพราะมันมีเรื่องอื่นที่ดึงความสนใจผมได้มากกว่า
เมื่อก่อนเวลามองเธอ ผมมักจะคิดถึงเด็กน้อยแสนซน คอยเดินตามพวกผมต้อยๆ แต่ตอนนี้…ไม่ใช่ ผมเริ่มรู้สึกว่าเราควรมีระยะห่างตามเพศสภาพ แบบที่มันควรจะเป็น
ผมหลุดกระแอมเบาๆ ก่อนจะรีบใช้ปลายนิ้วดันหน้าผากเธอออกห่าง
“แล้วทำไมถึงวิ่งลงบันไดแบบนั้น มันอันตรายมากนะ ไม่รู้รึไง”
น้ำเสียงที่ฟังดูเข้มกว่าที่ตั้งใจ ส่งผลให้รอยยิ้มสดใสของคนฟังจางหายไปในพริบตา
“…ขอโทษค่ะ”
เธอหลุบตาลงมองมือตัวเอง ก่อนจะเขี่ยไปมาอยู่ข้างเตียงแบบไม่รู้จะทำอะไร จนผมเองยังรู้สึกผิดแทน
ใครจะไปกล้าดุต่อวะ แบบนี้…
“ช่างเถอะ แล้วนี่… รันเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ…” เสียงใสตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมรู้ดีว่า มันยังมีบางอย่างหลงเหลืออยู่ เพราะตรงริมฝีปากเล็กๆ มีรอยแตกจากอุบัติเหตุนั่นชัดเจน
แต่ทำไมน้องถึงบอกว่าโอเคล่ะ?
หรือเธอจะคิดมาก…
ไม่สิ! มันไม่ใช่จูบ! ไม่มีใครตั้งใจให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น แล้วน้องจะคิดมากทำไม
ผมควรพูดอะไรสักอย่างไหม?
ต้องอธิบายให้เธอสบายใจรึเปล่า?
ในขณะที่ผมมัวแต่คิด สายตายังเผลอจ้องอยู่ที่เดิม จนอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวเหมือนไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน สุดท้ายก็เลือกกำสายกระเป๋าตัวเองเอาไว้ น้องเม้มปากแน่นพลางหลุบตามองต่ำแบบคนที่เริ่มรู้ตัวว่าโดนมองมากเกินไป
และผมเองก็เพิ่งรู้… ว่าเผลอมองน้องนานเกินไปจริงๆ
แต่ยังไม่ทันได้พูดหรือทำอะไร เสียงไอ้พายุก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“กูไปเคลียร์ค่ารักษาดีกว่าเนอะ”
“อ้อ…!” เธอแทรกทันควัน เหมือนรอให้ใครเปิดช่องมานาน “เดี๋ยวรันจัดการเองค่ะ”
แล้วก็รีบหันหลังเดินออกไปทันที ไม่รอฟังคำทักท้วงใดๆ ทิ้งไว้แค่ผมกับสายตาประหลาดของไอ้พายุ
“ควยไร!” ผมหันไปจ้อง
“น้องโตขึ้นเยอะเลยเนาะ น่ารักด้วย”
ถ้าไม่ติดว่าเจ็บอยู่นะ ผมคงลุกไปตบกระบาลมันให้หัวหมุนแล้ว แต่ตอนนี้ทำได้แค่คาดโทษด้วยสายตา
“หยุดความคิดจังไรของมึงไว้ตรงนั้นเลยนะ!”
ความที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล แค่คิ้วมันกระตุก ผมก็รู้แล้วว่าในหัวมันคิดอะไร ไอ้เรื่องที่จะมาชมเฉยๆ น่ะ … ฝันไปเหอะ ถ้าไม่หวังผล ก็ต้องแอบแฝงความคิดชั่วๆ
“กูก็แค่ชมปะ ยังไม่ทันว่าอะไรเลย ทำไม … หรือว่ามึงคิด”
ไอ้เวรนี่!
“ใครเขาจะไปจังไรเหมือนมึง”
“อ้อ…เรอะ” เกลียดการลอยหน้าลอยตาทำเป็นอ้อล้อล่อตีนของแม่งฉิบหาย และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมานั่งเถียงกับมันให้เสียเวลาชีวิต
“จะไปไหนก็รีบไป… ปะ”
ผมพ่นลมผ่านปลายจมูกแรงๆ ยกมือเสยผมลวกๆ ก่อนจะกดนิ้วคลึงขมับอยู่พักใหญ่ แล้วปล่อยสายตามองรอบห้องอย่างเผลอไผล ราวกับหวังว่าจะเห็น… ใครบางคน
ทั้งที่รู้แก่ใจว่าความเป็นไปได้แทบจะไม่มี
เฮ้อ… ต้องใช้เวลานานแค่ไหนนะ ถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้ได้สักที?
“เดี๋ยวนะ คืออะไร ยังไง แล้วทำไมกูถึงพลาดเรื่องนี้” ไอ้พายุรัวคำถามใส่“แล้วมึงคิดว่าตัวเองเป็นนักข่าวของซีเอ็นไอรึไงถึงต้องรู้ทุกเรื่อง”มาถึงตอนนี้ผมพอเดาออกแล้วว่าต้นสายปลายเหตุมันมาจากอะไร“ก็นี่มันเรื่องใหญ่ไง!” เสียงมันเริ่มดังและแหลมจนแสบหู“แล้วมึงจะแหกปากทำเหี้ยไร?!”ผมตวาดปราม ก่อนจะเริ่มอธิบาย“กูก็แค่ ...ช่วยกันไอ้กาย ไม่ให้มันมายุ่งกับน้องแค่นั้นเอง”“ฮะ?! ไอ้ห่านั้นมันไปขี้หลี่กับรันเหรอ ทำไมน้องไม่เคยบอกกู”“น้องคงรู้แหละ ว่าพี่ส้นตีนอย่างมึงคงช่วยอะไรไม่ได้”“เอ้า กูโดนด่าเฉย…” แล้วมันก็สะบัดหน้าเซ็งๆ ขณะที่ไอ้ลมขมวดคิ้วแน่น สายตาเพ่งมองผมราวกับเครื่องจับเท็จเคลื่อนที่“แค่นั้นจริงดิ?”“ก็เออดิ!”คือแม่งจะให้มีเหตุผลอื่นแอบแฝงให้ได้เลย ปวดหัวกับเพื่อนแต่ละตัวจริงๆ“แต่ถ้าข่าวกระจายเร็วแบบนี้ คนที่เสียหายก็… น้องรันไหมอะ” ใบชาเอ่ยอย่างเป็น
สัมผัสของมือเขาอุ่นมาก...จนไม่อยากให้ปล่อยกระทั่งเราหยุดเดิน ห่างออกมาพอประมาณ เขาหันกลับมาพลางเลื่อนมือขึ้นขยับกรอบแว่นเล็กน้อย“ทีนี้รู้รึยังว่ามันเป็นตัวอันตรายขนาดไหน ตามไม่เลิกเลย”เปลือกตาฉันกะพริบถี่ๆ พยายามรวบรวมสติ สุดท้ายก็ยังมีแต่คำพูดเขาวนเวียนอยู่ในหัว…“ทำไมเฮียถึงพูดแบบนั้นคะ ป่านนี้พวกเขาคงคิดว่ารันกับเฮีย…” ริมฝีปากฉันเม้มแน่น ละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกัน“แล้วจะให้เฮียหักหน้ารันเหรอ รันเป็นคนพูดออกไปก่อนเองนะ”จริงด้วย... แล้วนี่ฉันกำลังคาดหวังคำตอบอะไรจากเขาอยู่นะ?ฉันหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง ไม่กล้าสบตาเขาเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่า… ตัวเองกำลังเผลอคิดอะไรไปไกลกว่านั้น“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วย…” ฉันบังคับเสียงตัวเองให้เป็นปกติที่สุด แม้ในใจจะเจ็บจี๊ดๆ “แต่ข่าวนี้ต้องแพร่ไปทั่วมอแน่ๆ”“งั้น… ถ้ารันไม่สบายใจ เฮียไปแก้ข่าวให้ก็ได้”“ไม่ค่ะ!” ฉันโพล่งออกไปพร้อมมือที่โบกปัดแบบเร็วๆ ก่อนจะดึ
ฉันชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น…เฮียไฟ…เขาจะรอข้าวจากฉันไหมนะ? เขาจะทำหน้านิ่ง ๆ แล้วพูดว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ’ แบบนั้นรึเปล่า หรือมีแค่ฉันคนเดียวที่กังวลไปเอง…จะอะไรก็ช่างก่อนเหอะ ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องโฟกัสคือกิจกรรมสำคัญตรงหน้าทว่าความวุ่นวายยามเช้าของนางสาวริรัณย์ยังไม่จบแค่นั้น“อยู่ไหนเนี่ย…” ฉันขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้กระเป๋าฉันดูเหมือนหลุมดำที่กลืนทุกอย่างเข้าไปไม่เว้นแม้แต่ดินสอประจำตัว! “นี่ฉันต้องเริ่มวันด้วยความซวยอะไรอีก…ให้ตายเถอะ!”ตายแน่… มันต้องตกอยู่ที่คอนโดเฮียไฟชัวร์ฉันพ่นลมฟู่ใส่หน้าม้าตัวเองอย่างหงุดหงิดปนสติแตก ก่อนจะหันไปหาที่พึ่งสุดท้าย“นิกซ์ ยืมดินสอหน่อย”“มีแต่ของกราฟเกียร์นะ”“อือ ๆ เอามาใช้ก่อน”ปกติฉันไม่ถนัดดินสอแบบกด ถึงยี่ห้อนี้มันจะดีมากก็เถอะ ฉันพยายามลองแล้วแต่มันไม่ค่อยเข้ามือเท่าไหร่ไม่เหมือนดินสอไม้ชุดชาร์โคลเซตที่ฉันใช้อยู่ แต่ทำไงได้ล่ะ……คงต้องแก้ขัดไปก่อนเหมือนวันนี้ฉันก้าวขาออกจากคอนโดผิดข้างเลยแฮะ...นึกว่าจะได้พักหายใจหลังเทสหนักห
Part’s Fi06:30 น.ความจริงช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเรียนเช้า แต่ก็ต้องตื่นเหตุผลมันไม่ได้ซับซ้อน… แค่เพราะผม ‘ชิน’ กับการต้องมารอกินมื้อเช้าของเด็กดื้อคนนั้นไปแล้วถึงจะไม่ได้แสดงออกมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอมีริรัณย์เข้ามา ทุกวันของผมมันไม่เงียบเหงาเหมือนเก่า อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่คอยยุ่งวุ่นวายเรื่องอาหารการกินของผมกับคุณจุกหึ! บ่อยครั้งที่ผมเผลอยิ้มให้ความสดใสของเธอโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้ว่าวันนี้ที่จะต้องไปตามนัดหมอ ข้อมือจะกลับมาใช้งานได้ปกติรึยัง มันน่าอึดอัดนะ… ทั้งรำคาญ ทั้งรู้สึกไร้ประโยชน์แต่อีกใจดันรู้สึกแปลกๆ มีวูบหนึ่งที่ผมคิดว่าแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ คล้ายกับตัวเองเพิ่งค้นพบว่าการมีคนคอยดูแล คอยใส่ใจมันดียังไงเด็กนั่นคงไม่รู้ว่ามีกล้องตรงมุมห้อง ที่ผมตั้งใจติดไว้ดูคุณจุกเวลาไม่อยู่คอนโด เธอถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา ไหนจะภาพสเกตช์พวกนั้นอีก ผมไม่ได้โง่จนดูไม่ออก และมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอก แต่ผมแค่... ยังไม่ได้รู้สึกกับเธอมากขนาดนั้นผมค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนออกม
สุดท้ายก็แค่… เปิดให้ฉันเข้ามา เพราะตัวเองจะไม่อยู่ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วเบนความสนใจไปยังผลไม้ของคุณจุกเงียบๆ ทั้งที่ในใจ มันมีคำพูกมากมาย แต่ก็เอาเถอะ! นี่มันก็ดีกว่าหลายวันที่ผ่านมาแล้ว ริรัณย์“หวัดดีคุณจุก”“หวัดดีจันทร์เจ้า”เสียงสูงปรี๊ดตอบกลับมาทันควันอย่างภูมิใจนักหนา เหมือนเจ้าตัวกำลังอวดเต็มที่ว่าจำชื่อได้เป๊ะเป๊ะแต่ก็ผิด! ผิดจนน่าโมโห!ผิดจนฉันต้องแยกเขี้ยวใส่เจ้านกตัวแสบให้ตายสิ ทั้งนกทั้งเจ้านาย น่าจับมัดรวมกันแล้วเอาไม้ฟาดสักทีเป็นไง!“ใช่ที่ไหนเล่า ริรัณย์ พูดสิ ริ…รัณย์”สอนไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่เคยจำ สงสัยจะหลงชื่อเจ๊จ้าวเข้ากระดูกดำเหมือนเจ้านายตัวเองสินะ… แล้วถ้าเจ้านกแสบนี่ยังเรียกแต่ จันทร์เจ้า แบบนี้… เฮียไฟจะตัดใจได้ยังไงกันล่ะ“ไอ้จ้าว”“ยังอีก! ไม่ต้องกินซะดีมั้ง” ความหงุดหงิดทำให้วอลลุ่มเสียงปรับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ“กิน กินสิ” เจ้าตัวสีสดใสเริ่มขยับเท้าตามท่อนไม
ยากมาก…เมื่อก่อนก็เคยมีนะ ไอ้ความรู้สึกที่แบบ เพื่อนคนนี้หล่อจังหรือหุ่นรุ่นพี่คนนั้นมันทำให้ใจสั่นสุดๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดเก็บมาเพ้อทุกวัน เหมือนอย่างตอนนี้ถ้าจะบอกว่าไม่คิดอะไร ก็ดูจะเป็นการทรยศความรู้สึกตัวเองเกินไปแต่ถ้าจะให้สารภาพออกไปตรงๆ ก็กลัวเจ็บหนักไม่หรอกมั้ง! คงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกแค่… เวลาที่มองตาเขาทีไร มันเหมือนหัวใจโดนฉุดลงไปในอะไรบางอย่าง และฉันไม่ชอบเลยที่ช่วงนี้แววตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเศร้าเกินจะเป็นเพียงความเงียบงันธรรมดาอีกอย่างถ้ามันง่ายแบบที่เม็ดทรายพูด ทำไมเฮียไฟถึงยังจมอยู่กับมันล่ะ“ถามว่าง่ายไหม มันก็ไม่ง่ายหรอก” น้ำเสียงโค้ชเลิฟจำเป็นของฉันเริ่มอ่อนลง แต่สีหน้ากลับจริงจังมากขึ้น “แต่ก็มูฟออนได้ดีกว่าตอนอยู่คนเดียวอะ ยิ่งอยู่คนเดียว ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน แล้วก็จะออกมาจากตรงนั้นไม่ได้สักที”บรรยากาศจวนจะอึมครึมเต็มที ถ้าไม่ติดว่างเจ้าของน้ำเสียงทะเล้นสอดปากเข้ามาซะก่อน“นี่สินะ… คำแนะนำจากคนมีประสบการณ์ตรง” นิกซ์ลากปลายพู่กันในถาดสีด้วยท่







