เห็นเพื่อนรักกัน มันก็น่ายินดี…
ดีก็เหี้ยละ!
แค่ ‘ยิ้มปลอมๆ’ ผมยังฝืนทำไม่ได้เลย
ปึก!
แก้วในมือถูกกระแทกลงโต๊ะเต็มแรง เสียงดังจนคนรอบข้างหันขวับเป็นตาเดียว …แต่ใครสน
สายตาผมยังตรึงอยู่กับขวดเหล้าเรียงรายหลังเคาน์เตอร์บาร์ แสงไฟส้มอมแดงกระทบกระจก สะท้อนวูบวาบไม่ต่างเปลวเพลิงในใจที่กำลังเผาไหม้ทุกความรู้สึกให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ตอนแรกก็คิดว่าไอ้น้ำบัดซบที่กลืนลงไป คงช่วยเบลอสมองให้ด้านชา หรืออย่างน้อยก็ลดทอนสติสัมปชัญญะให้พอหลุดออกจากความจริงได้บ้าง
แต่ไม่ใช่…
ยิ่งดื่ม แม่งยิ่งชัด!
เหมือนมีใครเอาฟิล์มเก่ามาฉายซ้ำ วนลูปไม่จบไม่สิ้น
ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือต่อให้ผมหนีไปไกลแค่ไหน ภาพคนสองคนกอดกันกลางคลับในเช้าวันนั้น มันก็ยังตามหลอกหลอนราวกับฝันร้าย
เสียงเบสหนักๆ ที่อัดกระหึ่มในหัว ควรจะกลบทุกความคิด ทว่ากลับทำตรงกันข้าม ทุกโน้ต ทุกจังหวะ ดันย้ำเตือนหลายสิ่งที่ผมไม่อยากจำ จนเจ็บไปทั้งอก
ถ้าหลายปีก่อนไอ้หมอกไม่ต้องย้ายไปนอร์เวย์…
บางทีผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างจันทร์เจ้า คงไม่ซบหน้าร้องไห้บนไหล่ผมเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย
‘ไฟ… หมอกมันไปแล้ว’
และผมก็คงไม่ต้องมารับรู้ว่าใคร… ที่อยู่ในใจเธอมาตลอด
จู่ๆ เสียงสะอื้นของเธอก็กลายเป็นเข็มนับร้อยที่ปักลงกลางอกผม ตลกร้ายกว่านั้นคือผมรู้สึกว่ามีบางอย่างค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างมิอาจปฏิเสธได้
ตั้งแต่นั้นมา… ผมก็เริ่มอยากเข้าใกล้เธอมากขึ้น อยากทำเกินหน้าที่ของความเป็นเพื่อน อยากดูแล อยากปกป้อง อยากทำให้เธอกลับมายิ้มสดใสเหมือนเดิม
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า… คนเดียวที่ทำได้โดยไม่ต้องพยายามเท่าผมก็คือมัน
ไอ้เพื่อนเวรที่ถึงตัวจะอยู่ไกลเป็นพันๆ ไมล์ ชื่อมันยังแทรกในทุกบทสนทนา ไม่มีวันไหนที่จันทร์เจ้าไม่พูดถึงมัน!
และทุกครั้งที่พูดถึง ดวงตาของเธอก็จะเป็นประกายแบบที่ไม่เคยมีให้ใคร ยิ่งเห็น ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ธาตุอากาศ
…อากาศที่ไม่รู้ว่าเธอต้องการรึเปล่า เพราะผมเสือกอยากยืนตรงนั้นเอง
หึ! ตลกดีว่ะ
มาวันนี้ผมถึงได้เข้าใจว่า ทิ้งขยะไว้ในกาลเวลา มันเป็นยังไง
ไร้ประโยชน์
ไร้ค่า
พอๆ กับของเหลวในแก้วตรงหน้า มีติดไว้แทบจะทุกสถานการณ์ แต่ถ้าวัดระดับความสำคัญ มันก็ยังรั้งท้าย
ความจริงผมลองมาเยอะนะ ตั้งแต่แพงหูฉี่ยันเป๊กละไม่กี่สิบ แต่ไม่เคยเจอรสชาติที่ห่วยแตกขนาดนี้มาก่อน
ขมฉิบหาย … ขมจนแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือความจริงที่ต้องเผชิญกันแน่
“เธอเลือกแล้ว” แม้จะพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ พยายามผลักไสความรู้สึกโง่เง่านี่ออกไป อยากถอย อยากหลุดพ้น แต่ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ป่านนี้ผมคงเข้านอนหลับฝันดีไปแล้ว
ไม่มานั่งหมดอาลัยตายอยากแบบนี้หรอก จริงไหม…?
ผมหลุดหัวเราะขื่นๆ มือกำแก้วแน่นขึ้นจนข้อนิ้วซีดขาว ก่อนจะกระดกมันรวดเดียวจนหมด จากนั้นก็พาร่างที่ยังพอมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แหงนหน้ามองแสงไฟที่สั่นไหวราวกับโลกหมุนช้าลงในพริบตา แล้วตบต้นคอเบาๆ ไล่ความมึนจากหัว พร้อมกับขาที่ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า
ถึงจะไม่มั่นคงนัก ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ตัวเองเน่าเปื่อยอยู่ตรงนี้
แต่พอลงบันไดมาได้สักครึ่งทาง พื้นใต้ฝ่าเท้าก็เหมือนจะยวบยาบผิดปกติ อาจเป็นเพราะผมมัวจมอยู่กับเรื่องราวแย่ๆ นานเกินไป หรือไม่… พิษร้ายจากแอลกอฮอล์ที่สะสมมาหลายชั่วโมงก็เริ่มแผลงฤทธิ์
และในจังหวะที่หยุดพักเพื่อปรับสมดุล…
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงส้นรองเท้ากระทบขั้นบันไดเหล็กจากด้านบนดังก้อง เรียกให้ผมหันกลับไป แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
ร่างเล็กของใครบางคนเสียหลักพุ่งโถมลงมา มันเร็วเกินกว่าสายตาจะจับโฟกัสได้ มีเพียงแรงดันในอกที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ
“อ๊า!”
ปึก! ลมหายใจผมสะดุดกลางอากาศ ไม่ทันประมวลผล เราทั้งคู่ก็ปลิวคล้ายถูกเหวี่ยงจากที่สูงพร้อมกัน มือผมควานหาของใกล้ตัวเพื่อยึดเหนี่ยว แต่เจอแค่ความว่างเปล่า สุดท้ายก็ต้องวาดแขนปกป้องร่างของคนที่บอบบางกว่าไว้ตามสัญชาตญาณ ก่อนที่…
ตึง! อึก!
ข้อมือข้างซ้ายของผมฟาดเข้ากับราวบันได แรงสั่นสะเทือนไล่ขึ้นถึงหัวไหล่ ขณะที่ร่างไถลลงกระแทกพื้นอย่างจัง จนสะท้านทั้งแผ่นหลัง พานให้ทุกส่วนในร่างพากันร้องประท้วง แต่ไม่มีแม้เสียงจะหลุดออกจากปาก เพราะช่วงที่ปลายจมูกเย็นๆ เฉียดกันเพียงเสี้ยวนิ้ว ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอก็ทาบทับลงมา…
สิ่งที่แล่นเข้ามาทันทีคือความเจ็บแปลบ แทรกด้วยรสสนิมเหล็กที่แตะปลายลิ้น กลิ่นเลือดคละคลุ้งจนน่าเวียนหัว
เหอะ! คำว่าซวยมันต้องไปสุดที่ตรงไหนวะ นึกอยากขำก็ขำไม่ออก
ไม่ต้องไปพูดถึงการลุกนั่งหรือยืน แค่การขยับตัวขั้นเบสิก ยังยาก… เหมือนข้อต่อแม่งพร้อมจะหลุดจากกันทุกเมื่อ
บรรยากาศวุ่นวายและเสียงคนร้องแตกตื่นรอบๆ เริ่มเบาลง เหมือนพวกเขากำลังห่างออกไป
แว่นสายตาของผม… มันคงกระเด็นไปตกอยู่ตรงไหนสักแห่ง ส่งผลให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นเงาเลือนพร่ามัว ทุกอย่างดูคล้ายสูญเสียการควบคุมไปซะหมด เหมือนโลกค่อยๆ จมหายสู่ความมืด…
… แล้วมันก็ดับวูบไป
Part’s Fiฟึบ!ตำรากฎหมายเล่มหนาถูกปิดเสียงดัง ผมถอนหายใจแรงอย่างคนที่สมองเริ่มตื้อ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับ สายลม ไอ้หนุ่มสถาปัตย์สายติสต์ตัวพ่อที่นั่งเท้าคางมองอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนฝั่งตรงข้ามมันจ้องผมมาเกือบครึ่งชั่วโมง… ด้วยสีหน้าราวกับกำลังจับพิรุธผู้ต้องหา“มีอะไรก็พูดมาดิ จ้องอยู่ได้ กูท้องแล้วมั้งเนี่ย”ความจริงผมไม่ได้อารมณ์ดีถึงขั้นจะเล่นมุกออกหรอกนะ แต่ที่พูดก็เพราะรำคาญ…ให้มันถามซะ… จะได้จบๆ อยากไล่ให้มันไปพ้นๆ และแน่นอนว่าคนที่ไร้ความเกรงใจอย่างมันไม่อ้อมค้อม ยิงตรงเข้าเป้าแบบเต็มๆ“มึงกับไอ้หมอกยังไม่เคลียร์กันเหรอ”คำถามมันไม่ได้หนักหนาอะไร แต่กลับเหมือนมีใครสักคนโยนหินลงไปในบ่อน้ำลึกที่พยายามสงบ… และมันกระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง“เอาจริงๆ นะ” ผมกระตุกยิ้มฝืนๆ “ในกลุ่มเนี่ย มีแค่ไอ้พายุตัวเดียวกูก็ปวดหัวจะแย่แล้ว มึงปล่อยให้ความขี้เสือกเป็นหน้าที่ของมันคนเดียวไม่ได้เหรอ”“เอ้า! ไอ้สัส… แล้วให้กูพูดทำเพื่อ?”ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจาะจงตรงประเด็นขนาดนี้ผมส่ายหน้าน้อยๆ พลางพ่นลมยาวเหยียด ราวกับจะยกอะไรทั้งหลายแหล่ที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมาให้หมด แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน…
กริ๊ง…กริ๊ง!เสียงนาฬิกาปลุกแผดลั่นราวกับไซเรนเตือนภัยในสนามรบ ทำฉันสะดุ้งเฮือกจนเผลอปัดไอโฟนที่แหกปากน่ารำคาญข้างหูแทบร่วงพื้น ก่อนจะนิ่งอยู่สักพักเพื่อรวบรวมสติ แล้วถึงพลิกตัวโก่งก้นขึ้นนั่งเปลือกตาค่อยๆ เปิดรับแสงอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาวันใหม่…ที่น่าจะสดใสถ้าไม่นับตาแพนด้าและวิญญาณที่ยังล่องลอยอยู่กลางมิติความฝันอะนะฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ขณะลากร่างโงนเงนลงไปยืนข้างเตียงปกติหากมีเรียนเช้าก็จะตื่นประมาณเจ็ดโมงครึ่ง แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันต้องลุกก่อนตั้งหนึ่งชั่วโมง นี่มันไม่ต่างจากการเฉือนหัวใจคนรักการนอนเลยว่าไหม?แต่ทำไงได้ ‘พันธสัญญาปีศาจ’ ที่ให้ไว้กับเฮียพายุยังค้างคาอยู่ ฉันต้องไปซื้ออาหารเช้าให้ เฮียไฟ ผู้ซึ่งไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าดันรับเคราะห์หนักสุดและแน่นอน… ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่า ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ถึงทุกวันจะไม่เคยได้คำชื่นชมกลับมาเลยก็ตามไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเช้าเกินไป หรือเขาแค่ไม่อยากเปิดประตูให้นั่นแหละ… จะอะไรก็ช่าง ฉันแค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ด้วยการเอาของบำรุงทุกอย่างไปแขวนไว้หน้าประตู พร้อมกับแปะโน้ตที่มีข้อความว่า‘อาหารเช้ามาส่งแล
“...ชำระแบบไหนดีคะ”เสียงสุภาพจากคุณพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ดังขึ้น ช่วยดึงฉันกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เปลือกตาฉันกะพริบปริบๆ ก่อนจะรีบควานหามือถือที่หน้าจอแตกร้าวจากอุบัติเหตุนั่นออกมาสแกนจ่าย“โอนค่ะ”ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเฮียพายุเดินมาหยุดยืนข้างๆ พอดี“เท่าไหร่อะ?”“ไม่เป็นไรค่ะ รันจ่ายแล้ว”เขาพยักหน้าเบาๆ แต่สายตา… กลับเหลือกขึ้นมองเพดานอย่างใช้ความคิดเงียบๆ ผ่านไปไม่ถึงนาที ริมฝีปากหยักก็ขยับถามอีกครั้ง“รันอยู่คอนโดบีแอลใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”เพราะพ่อกับแม่ต้องเดินทางไปดูบริษัทขนส่งของครอบครัวที่เบลเยียมบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงหลังๆ มานี่แทบไม่ได้กลับไทยเลย ซ้ำยังมีแพลนให้ฉันไปเรียนต่อที่นู่นด้วยนะ ดีที่ได้ญาติผู้ใหญ่หลายคนช่วยออกตัวแทน ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงกลายเป็นเด็กนอกไปแล้วก่อนหน้านี้ฉันอยู่กับปู่ย่า บางวันก็สลับไปนอนบ้านยาย แต่พอจบม.ปลาย ฉันก็เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัว เลยเลือกคอนโดใกล้มหา’ลัยไว้เป็นทางออก…แม้สุดท้ายจะต้องขอร้องให้เม็ดทราย เพื่อนซี้สุดที่รัก มาอยู่เป็นรูมเมตเพื่อคลายความห่วงของผู้ใหญ่ก็ตามส่วนอีกทีมที่ค่อยซัปพอร์ต ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างราวกับฉันเป็นเจ้าหญิงน้อ
Part’s Rirunฟู่ว์…ทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง ฉันก็ปล่อยลมหายใจยาวอย่างคนที่อั้นมานาน รู้สึกได้เลยว่าอวัยวะที่อยู่ใต้ฝ่ามือมันเต้นแรงผิดปกติยิ่งหลับตา ภาพจำก็ยิ่งชัดขึ้น ริมฝีปากของเขา... ไออุ่นที่แนบชิดเพียงชั่วอึดใจ กลับทิ้งร่องรอยไว้มากกว่าที่คิดถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น… ไม่ใช่เฮียไฟ เราจะรู้สึกแบบนี้ไหมนะฉันสะบัดหน้าแรงๆ พยายามเขย่าความคิดบ้าๆ ออกไป ไม่สิ! ไม่ควรคิดแบบนี้… มันเป็นแค่อุบัติเหตุ และมันต้องเป็นแค่นั้น!หลังมือถูกยกขึ้นมาถูปากซ้ำไปซ้ำมา ด้วยหวังว่าทุกอย่างอาจจางลง แต่มันดันกลายเป็นยิ่งหลอมรวมสิ่งเหล่านั้นเข้ามาในความรู้สึกของฉันทีละนิดสามชั่วโมงก่อน…เสียงดนตรีและแสงไฟสลัวช่วยขับบรรยากาศในร้านนั่งชิลยามค่ำคืนให้ครึกครื้น แม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกสนุกเท่าที่ควรก็ตามเม็ดทราย เพื่อนสาวคนสนิทในชุดสีเข้มสุดเซ็กซี่กำลังโยกสะโพกพลิ้วไหวอย่างเอ็นจอย ไม่แคร์สายตาใคร ส่วนอีกคนที่นั่งตรงข้ามคือ นิกซ์ หนุ่มหล่อดีกรีทายาทห้างทองตระกูลดังประจำจังหวัด ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการชงเครื่องดื่มราวกับผสมสีในถาดหลุมเราสามคนโตมาด้วยกันตั้งแต่ประถม แม้ว่าไลฟ์สไตล์จะแตกต่างสุดขั้ว แต่ก็ม
ติ๊ด … ติ๊ด~เสียงแรกที่เจาะเข้าโสตประสาทหลังฟื้นตัวก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่แล้วเปลือกตาผมกะพริบถี่ๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากห้วงว่าง แต่แสงไฟสว่างจ้าบนเพดานกลับสาดเข้ามาแทน และมันยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งอยู่กลางทะเลของแสงสีขาว ที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและแอมโมเนียจนแสบจมูก เสียงกระซิบเบาๆ ของพยาบาล ตอกย้ำว่าผมไม่ได้ฝันไป และกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาแบบสุดๆอึก!แค่ขยับตัวนิดเดียว ความปวดแปลบก็แล่นจากหัวไล่ลงมาถึงบ่า จนผมต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเห็นว่าข้อมือซ้ายถูกพันด้วยผ้ายืดหนาแน่นทุกอย่างมันเตือนว่ามีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นก่อนหน้า…แต่ตอนนี้ สมองกับร่างกายยังเชื่อมกันไม่สมบูรณ์ การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเลยค่อนข้างยากสิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเงาร่างของใครบางคนล้มลงมาทับ เสียงลมหายใจแรงๆ และ...มือผมเลื่อนแตะปากโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกปวดหนึบยังคงอยู่ มันไม่ใช่แค่สัมผัส แต่เป็นการกระแทกเต็มแรง“...แม่ง”เจ็บใจไม่พอ ยังมาเจ็บตัวอีกพระเจ้าไม่คิดจะเข้าข้างกูบ้างเลยรึไง?บัดซบสัส! เจอแบบนี้เมาแค่ไหน ก็สร่างเหอะ…“ไงครับ พ่อหนุ่มนิติฯ คนเก่ง”เสียงน่ารำคาญที่ดังม
เห็นเพื่อนรักกัน มันก็น่ายินดี…ดีก็เหี้ยละ!แค่ ‘ยิ้มปลอมๆ’ ผมยังฝืนทำไม่ได้เลยปึก!แก้วในมือถูกกระแทกลงโต๊ะเต็มแรง เสียงดังจนคนรอบข้างหันขวับเป็นตาเดียว …แต่ใครสนสายตาผมยังตรึงอยู่กับขวดเหล้าเรียงรายหลังเคาน์เตอร์บาร์ แสงไฟส้มอมแดงกระทบกระจก สะท้อนวูบวาบไม่ต่างเปลวเพลิงในใจที่กำลังเผาไหม้ทุกความรู้สึกให้กลายเป็นเถ้าถ่านตอนแรกก็คิดว่าไอ้น้ำบัดซบที่กลืนลงไป คงช่วยเบลอสมองให้ด้านชา หรืออย่างน้อยก็ลดทอนสติสัมปชัญญะให้พอหลุดออกจากความจริงได้บ้างแต่ไม่ใช่…ยิ่งดื่ม แม่งยิ่งชัด!เหมือนมีใครเอาฟิล์มเก่ามาฉายซ้ำ วนลูปไม่จบไม่สิ้นไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือต่อให้ผมหนีไปไกลแค่ไหน ภาพคนสองคนกอดกันกลางคลับในเช้าวันนั้น มันก็ยังตามหลอกหลอนราวกับฝันร้ายเสียงเบสหนักๆ ที่อัดกระหึ่มในหัว ควรจะกลบทุกความคิด ทว่ากลับทำตรงกันข้าม ทุกโน้ต ทุกจังหวะ ดันย้ำเตือนหลายสิ่งที่ผมไม่อยากจำ จนเจ็บไปทั้งอกถ้าหลายปีก่อนไอ้หมอกไม่ต้องย้ายไปนอร์เวย์…บางทีผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างจันทร์เจ้า คงไม่ซบหน้าร้องไห้บนไหล่ผมเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย‘ไฟ… หมอกมันไปแล้ว’และผมก็คงไม่ต้องมารับรู้ว่าใคร… ที่อยู่ในใจเธอมา