ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง
“มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ...
“นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง”
สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น
“ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ”
“นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา
“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ”
ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ”
อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง”
ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ
ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด ณิชชาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“หวานหวานคะ วันก่อนหนูบอกว่าอยากเจอพ่อใช่ไหมคะ”
เด็กหญิงพยักหน้างงๆ “ค่ะแม่”
“คุณพ่อของหนูมาแล้วไงคะลูก”
เธอพยักหน้าไปทางอังกูรที่มองนิ่งมา เด็กหญิงหันมามองชายหนุ่ม
“นี่คุณลุงคนเมื่อกี้นี่คะแม่”
อังกูรลุกจากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ สองแม่ลูก “พ่อเองลูกไม่ใช่ลุงนะครับ”
“แล้วทำไมลุงเพิ่งมาหาหนูล่ะคะ” เธอยังติดเรียกเขาว่าลุง แต่คำถามนั้นก็ทำเอาชายหนุ่มไปไม่เป็น
“คุณพ่อไปทำงานมาค่ะลูก แม่ก็ช่วยพ่อทำงานที่นี่ไงคะ” ณิชชาช่วยพูด เด็กหญิงพยักหน้าทำเหมือนเข้าใจ แต่ที่จริงคือแม่เธอว่าแบบใดเธอก็เออออตามนั้นเพราะหวานหวานติดแม่มาก
“ขอพ่อกอดหน่อยได้ไหมคะลูก” อังกูรอ้าแขนออกรอรับ เด็กหญิงมองอย่างลังเลเธอหันไปมองมารดาอีกครั้ง เมื่อณิชชาพยักหน้าให้เด็กหญิงจึงโผเข้าหาอ้อมกอดที่รอรับอยู่
ชายหนุ่มกอดร่างเล็กๆ ด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นในหัวใจ นี่เป็นลูกอีกคนที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จึงเริ่มเข้าใจณิชชาว่าเธอเองก็คงอยากกอดลูกชายเช่นกัน
“พ่อรักน้องหวานหวานนะคะลูก”
เธอยอมให้กอดชั่วครู่ก่อนจะขยับตัวยุกยิก ชายหนุ่มจึงปล่อยลูกให้กลับไปหาแม่ของเธอ
“เดี๋ยวผมไปส่งบ้าน ณิชบอกทางด้วยนะ”
บนรถยนต์ที่วันนี้อังกูรเป็นคนขับเอง ชายหนุ่มเลี้ยวรถไปอีกทางที่ไม่ใช่เส้นทางที่หญิงสาวบอก
“ไปรับน้องวินก่อนครับ” เขาบอกสั้นๆ แต่นั่นก็ทำให้ณิชชาดีใจมาก ส่วนหวานหวานเริ่มสงสัยแต่หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มให้
“ณิชยังไม่มีรถใช่ไหม เดี๋ยวผมออกรถให้คันนึงเอาไว้ใช้ขับมาทำงานหรือรับส่งลูกดีไหม” เขาเสนอ
“ไม่ดีกว่าค่ะ แบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว” เธอไม่กล้ารับเงินเขามากกว่านี้ เพราะหกปีที่อังกูรส่งเรียนมันก็หมดเงินไปเยอะมากแล้ว เธอไม่กล้าคิดยอดรวมด้วยซ้ำว่าเขาจ่ายให้เธอไปเท่าไหร่
อังกูรเองก็คิดเรื่องเดียวกัน ยอมรับว่าเขาเองเคยแคลงใจเรื่องณิชชาอยากกลับมาหาลูกเพราะรักน้องวินหรือเป็นเพราะเรื่องเงินกันแน่ เพราะยอดค่าใช้จ่ายของเธอที่อยู่เมืองนอกซึ่งยงธนัทเป็นคนทำเรื่องโอนจ่ายนั้นค่อนข้างสูงทีเดียว เขาเคยเข้าใจว่าเธอเป็นพวกติดหรูอยู่สบายเกินตัว แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะเธอต้องเลี้ยงน้องหวานหวานด้วยอีกคน และถ้าต้องเลี้ยงเด็กเขามองว่าเงินรายเดือนนั่นน้อยไปด้วยซ้ำ
“แล้วณิชเลี้ยงลูกพอได้ยังไง เงินแค่นั้น”
“พอค่ะ ก็กินใช้ประหยัดได้แต่ของลูกณิชก็ไม่เคยประหยัดนะคะ คุณไม่ต้องห่วงว่าณิชเลี้ยงลูกไม่ดี”
“ผมไม่ได้ว่าแบบนั้น” เขาปรายตามองเด็กหญิงที่เคลิ้มหลับที่เบาะหลัง “แต่ผมรู้สึกผิดจริงๆ ถ้าผมใส่ใจมากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องรอให้ลูกอายุแปดขวบค่อยเจอกัน”
“เรื่องมันผ่านมาแล้วค่ะ ณิชเองก็ผิดที่คิดไปเอง” เธอตอบเมื่อเขายอมรับผิดง่ายๆ ณิชชาเองก็เริ่มมองความผิดของตนเองเช่นกัน
เด็กชายรติวัชร์มองคนแปลกหน้าบนรถอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมยกมือไหว้หญิงสาวอย่างเด็กว่าง่าย
“สวัสดีครับ”
“น้องวิน สวัสดีครับลูก” ณิชชาแอบร้องไห้ ในขณะที่เด็กสองคนมองหน้ากันสักพัก ก่อนที่เด็กชายผู้ที่เป็นแฝดพี่จะเป็นคนยิ้มให้ก่อน
อังกูรจอดรถที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียนลูก ชายหนุ่มเรียกเด็กๆ ลงมาทั้งสองคนพร้อมกับณิชชาที่ลงมาด้วย
“น้องวินครับ อยากเจอแม่ใช่ไหมลูก” เขาถามเด็กชายหลังจากที่เราสี่คนนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนกันแล้วเรียบร้อย
“ครับพ่อ” แววตาของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ น้องวินมองไปที่ณิชชาหรือว่าน้าคนสวยๆ จะเป็นแม่ของเขา
“แม่ของลูก แม่ณิชไงครับลูก” อังกูรบอกลูกชายน้องวินมองเธออย่างลังเล
“แม่จริงๆ เลยเหรอครับ แม่เป็นแม่ของวินจริงๆ เลยใช่ไหม” เขาถามย้ำ เด็กแปดขวบค่อนข้างรู้ความมากแล้ว สามารถเข้าใจในเหตุและผลได้ในระดับหนึ่ง
“ใช่ลูก ส่วนนี่หวานหวานก็เป็นน้องสาวของลูก ลูกมีฝาแฝดนะ” อังกูรแนะนำเด็กหญิงและหันไปคุยกับเจ้าตัว
“น้องหวานหวานคะ นี่พี่วินพี่ชายของหนูไงลูก หนูสองคนเป็นพี่น้องเป็นฝาแฝดกันนะคะลูก”
“ฝาแฝดคืออะไรครับ” น้องวินถาม
“ฝาแฝดก็คือคนที่เกิดพร้อมกันค่ะ น้องวินกับหวานหวานอยู่ในท้องแม่พร้อมกัน เกิดมาไล่ๆ กันห่างกันไม่กี่นาทีเองลูก” ณิชชาตอบแทน
น้องวินทำท่าตื่นเต้น “ดีจังเลยครับ วินชอบมีฝาแฝด” เขาเดินไปหาหวานหวานยื่นมือให้เด็กหญิงจับ
“ฝาแฝดมีไว้ทำไมคะแม่” หวานหวานถามบ้างทำให้ทั้งพ่อและแม่หัวเราะ
“ฝาแฝดมีไว้เป็นเพื่อนกันไงลูก ในอนาคตลูกก็จะมีเพื่อนคู่คิด ช่วยดูแลกัน รักกัน ก็เหมือนมีพี่มีน้องแต่ฝาแฝดเราอาจจะสนิทกันมากกว่าพี่น้องทั่วไป” ณิชชาตอบ
“งั้นมีก็ได้” หวานหวานยื่นมือให้น้องวินจับ
“แม่เป็นแม่วินจริงๆ ใช่ไหมครับ” เด็กชายยังคงถาม
“ครับลูก แม่ไปเรียนต่อกับหวานหวาน เลยไม่ได้เจอลูก แม่ขอโทษนะคะ” ณิชชาตอบลูกชายเสียงอ่อน
“แม่ไม่ไปไหนแล้วแน่นะ หวานหวานด้วยใช่ไหม” น้องวินถามย้ำ
“แม่กับน้องจะไม่ไปแล้วลูก เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ” อังกูรตอบแทน ทำให้ณิชชาสะดุดหู
“หมายความว่ายังไงคะ ที่คุณบอกน้องวินแบบนั้น” เย็นนั้นหลังจากที่พวกเขารับประทานอาหารที่บ้านของณิชชาเสร็จแล้ว เด็กๆ เล่นเกมตัวต่อกันในห้องนั่งเล่น ณิชชากับอังกูรช่วยกันเก็บโต๊ะเธอจึงได้โอกาสคุยกับเขาตามลำพัง
“แล้วณิชจะให้ผมตอบลูกแบบไหนล่ะ จริงๆ ผมก็หมายความตามที่พูด เราเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้ไหมช่วยกันเลี้ยงลูก”
“ค่ะก็เห็นด้วย” ณิชชาตอบ
“งั้นต่อไปเดี๋ยวเราตกลงกันเรื่องดูแลลูก ผมอาจจะพาน้องวินมาค้างที่บ้านคุณ หรือบางทีอาจจะพาน้องหวานไปบ้านผมบ้าง”
“ก็ดีค่ะ” เธอคิดตาม “ก็โอนะคะ ถ้าวันไหนคุณต้นมีงานพาน้องวินมาที่นี่ก็ได้ ณิชดูแลลูกได้”
“ดีล” เขาตอบสั้นๆ “แล้วเรื่องของเราล่ะณิช จะให้ผมบอกพ่อแม่ว่ายังไง” เขาถามต่อ
“เราก็เป็นพ่อเป็นแม่ของลูกไงคะ ณิชว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้วนะ หรือคุณต้นคิดว่ายังไง” เธอเลิกคิ้ว
“ผมก็ว่างั้นเหมือนกัน” เขาหันไปมองเด็กๆ
“เราจะช่วยกันเลี้ยงลูก ถ้าวันไหนณิชอยากมีครอบครัวใหม่ หรือมีแฟนที่จริงจังขึ้นมา บอกผมนะ ผมโอเค” เขาตอบยิ้มๆ
“เช่นกันค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณต้น ถ้าคุณเองจะมีใครก็บอกณิชได้เหมือนกัน ณิชจะช่วยดูแลลูกเอง”
สองคนมองตรงไปที่เด็กๆ และหันมายิ้มให้กัน วันนี้เป็นวันที่ณิชชาปลอดโปร่งใจมาก ในที่สุดคนที่เธอรอเจอมานานหลายปี ก็กลับเข้ามาในวงโคจรของกันและกันจนได้ในที่สุด
อันธิกาหยิบโบชัวร์โครงการบ้านหรูที่วางบนโต๊ะทำงานของยงธนัทมาดูอย่างแปลกใจ เขาจะซื้อบ้านหรืออย่างไร เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจึงไม่เคยรู้มาก่อน หญิงสาวถือวิสาสะหยิบแฟ้มเอกสารที่วางด้วยกันขึ้นมาดู เห็นว่าคนรักเตรียมเอกสารสำหรับการซื้อและโอนบ้านเป็นชื่อของหญิงสาวที่เธอไม่รู้จักก็เริ่มขมวดคิ้ว“ณิชชา...ใครน่ะ ใครคือณิชชา แล้วทำไมเฮียย้งต้องซื้อบ้านให้ผู้หญิงคนนี้ หรือว่าแอบซุกเมียน้อยเมียเก็บไว้” หญิงสาวยิงคำถามใส่ยงธนัททันทีเพราะเจ้าตัวเข้ามาในห้องพอดี ชายหนุ่มหน้าซีดเมื่อประมวลผลคำถามออกว่าคนรักกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โต“เดี๋ยวๆ แบมจ๋า ใจเย็นนะคะ คือว่าเฮียไม่ได้ซื้อบ้านให้ผู้หญิงที่ไหนเลย” “อย่ามาตอแหล แล้วนี่อะไร” แฟ้มบินเฉียดหูเขาไปนิดเดียวเพราะยงธนัทหลบทัน“แบมใจเย็น เฮียอธิบายได้” เขารีบยกมือเป็นเชิงยอมแพ้“ต้องอธิบายอะไรอีก ชัดขนาดนี้” อันธิกาหันรีหันขวางแต่ไม่รู้จะโยนอะไรที่มีน้ำหนักพอใส่หัวคนเจ้าชู้อีก“แบมๆๆ เฮียไม่ได้ซื้อ บ้านนี่เฮียต้นเป็นคนซื้อต่างหากไม่เชื่อแบมดูบนโต๊ะมีเช็คที่เฮียต้นเซ็นไว้เป็นค่าบ้านสิ” ยงธนัทรีบพูดเมื่อเห็นสาวเจ้าหยิบที่ทับกระดาษที่
หลังจากที่ณิชชากลับลงไปทำงานแล้ว บรรดาทีมผู้ช่วยเลขาของอังกูรก็เกิดเสียงซุบซิบว่าอังกูรเรียกหญิงสาวขึ้นมาทำไมเป็นนานสองนาน“ทำงานกันได้แล้วจ้ะพวกเธอ ถ้าคุณย้งหรือบอสมาเจอระวังจะเป็นเรื่อง” สุพรรษาเดินมาปรามเมื่อมองมายังเห็นสาวๆ สามสี่คนจับกลุ่มคุยกันไม่เริ่มทำงานสักที“คุณสุคะ เมื่อกี้ณิชขึ้นมาทำอะไรเหรอคะ” เมลินดาเป็นตัวแทนหมู่บ้านถามเรื่องที่อยากรู้ สรรพนามที่หล่อนใช้เรียกณิชชาทำให้สุพรรษาชะงักมองหน้าเจ้าตัว“ทำไมเรียกคุณณิชชาเขาสั้นๆ แบบนั้น รู้จักกันเหรอจ๊ะ” “ใช่ค่ะ เมลกับณิชเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็คนที่ตอนนั้นเมลบอกคุณสุว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ออฟฟิศข้างล่างไงคะ ที่ว่าจะชวนมาสมัครงานข้างบนแต่ว่าณิชเขาบอกว่าไม่ถนัด” “อ้อ คุณณิชเองหรอกเหรอที่เราบอกพี่ตอนนั้น” “ค่ะคนนี้ละ เมลเลยไม่เซ้าซี้เพราะว่าณิชอาจจะมีวุฒิไม่ถึงก็ได้ เจ้าตัวเขาคงรู้เลยบอกว่าไม่ถนัด” เมลินดาพูดต่อสุพรรษาขมวดคิ้ว “คุณณิชเนี่ยนะ วุฒิไม่ถึง” เท่าที่เธอรู้ข้อมูลมาคือณิชชาจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารองค์กรจากต่างประเทศด้วยซ้ำแล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าวุฒิไม่ถึง เธอคิดว่าตำแหน่งปัจจุบันท
ณิชชาไปทำงานในเช้าวันต่อมา เธอได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายว่าให้ขึ้นไปที่ฝ่ายบริหารชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นที่พนักงานรู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของประธานกรรมการบริหารคืออังกูรและทีมผู้ช่วย เลขานุการของเขาทำงานที่ชั้นนั้น“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะพี่หยง” “พี่ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณสุเลขาของคุณอังกูรโทรลงมาเองเลย บอกว่าถ้าณิชมาแล้วให้ขึ้นไปพบท่านข้างบน” ตันหยงหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของณิชชาแจ้ง เธอมองลูกน้องสาวอย่างเป็นห่วงเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในแผนกที่ถูกอังกูรเรียกขึ้นไปเช่นนี้ณิชชาตรงไปยังลิฟต์ตัวพิเศษที่เป็นตัวเดียวที่จะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้า พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านหน้ารีบกดลิฟต์ให้เธอทันทีเมื่อหญิงสาวแจ้งชื่อตัวเอง“สวัสดีค่ะ” สุพรรษารีบลุกขึ้นเมื่อเห็นเธอก้าวออกจากลิฟต์“ดิฉันมาพบคุณอังกูรตามที่มีแจ้งลงไปน่ะค่ะ” ณิชชาบอกจุดประสงค์ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้ว“บอสรอคุณณิชอยู่ค่ะ เชิญทางนี้เลย” เลขานุการสาวรีบเปิดประตูห้องทำงานของเจ้านายหลังจากที่เคาะให้สัญญาณแล้ว จากนั้นเธอปิดประตูให้ความเป็นส่วนตัวกับคนในห้องเต็มที่ณิชชาเดินเข้าไ
รับประทานอาหารแล้วอังกูรพาหวานหวานกับณิชชาออกไปข้างนอก โดยที่แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากไปแต่ก็ขัดไม่ได้ เมื่อเขาบอกว่าจะพาไปรับน้องวินที่โรงเรียนเรียนพิเศษแล้วเลยไปดูบ้านใหม่ ท่าทางดีอกดีใจของลูกที่จะได้ไปไหนมาไหนกับพ่อทำให้หญิงสาวอดทนเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ “สวัสดีฮะพ่อ แม่ หวานหวานด้วย” เด็กชายรติวัชร์เปิดประตูรถด้านหลังขึ้นนั่งหลังจากที่สวัสดีบิดามารดาและทักทายน้องสาวฝาแฝดแล้ว หวานหวานจึงยุกยิกเดินข้ามจากเบาะหน้าจะนั่งกับคู่แฝด“ณิชมานั่งหน้าดีกว่าครับ ข้างหลังให้เด็กๆ นั่งด้วยกัน” ณิชชาถอนใจ ไม่อยากโต้เถียงกับเขาต่อหน้าลูกจึงทำตามเงียบๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไร แต่อาการถอนใจแรงก็ทำให้อังกูรรู้ว่าเธอไม่พอใจ หรือว่าเธออาจจะยังโกรธเรื่องที่เขาพูดไม่ดีตอนก่อนกินข้าวก็ได้“เรื่องโรงเรียนลูก ผมว่าถามลูกก่อนก็ได้ว่าอยากย้ายไหม ลูกว่ายังไงเราก็ค่อยว่ากันมันยังมีเวลากว่าจะปิดเทอม” ณิชชาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูด หญิงสาวหันหน้ามองไปทางนอกตัวรถสนทนาโต้ตอบกับเด็กๆ บ้างเวลาคู่แฝดมีคำถามอะไร อังกูรเห็นอาการนั้นก็ถอนใจแต่เขาไม่ได้พูดอะไรอีกจนไป
เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้ณิชชาชะงักมือจากการเตรียมทำอาหาร วันนี้เป็นวันหยุดทั้งเธอและลูกสาวต่างก็ตื่นสายกว่าทุกวันเป็นเรื่องปกติ และเธอเองก็ไม่ได้มีแพลนจะพาลูกไปไหนในวันนี้ด้วยจึงตั้งใจจะทำอะไรกินกันง่ายๆ ที่บ้านสองแม่ลูก“หนูไปดูเองค่ะแม่” เด็กหญิงรติชาหรือน้องหวานหวานวัยแปดขวบลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปดูยังหน้าบ้าน“คุณพ่อ...” นาทีต่อมาเสียงของหวานหวานดังขึ้นลั่นบ้านทำให้ณิชชาขมวดคิ้ว อังกูรมาหรือ? แล้วเหตุใดไม่เห็นเขาบอกล่วงหน้าว่าจะมาอังกูรจอดรถที่หน้าบ้านชายหนุ่มลงจากรถพอดีกับที่หวานหวานเดินไปถึงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วให้ “คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปทางด้านหลังของเขา เผื่อว่าจะเห็นคู่แฝดของตัวเองมาด้วย“วินไปเรียนพิเศษน่ะลูก พ่อไปส่งเขามาแล้วเลยมาหาลูกที่บ้าน หนูกับแม่กินอะไรหรือยังคะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเอ็นดูพลางถามถึงมารดาของแก“แม่ทำกับข้าวอยู่ค่ะ” หวานหวานเข้าไปในครัวบอกมารดาว่าคุณพ่อมา เด็กหญิงรินน้ำใส่แก้วจะยกไปให้คุณพ่อแต่อังกูรตามเข้ามาพอดี “ไม่ต้องยกไปให้พ่อหรอกลูก เดี๋ยวพ่อช่วยแม่ทำกับข้าวดีกว่า หนูออกไปดูทีวีข้างนอ
ในระหว่างที่ณิชชาอึ้งกับคำพูดของชายหนุ่ม ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ สามครั้งและเปิดเข้ามา เป็นยงธนัทที่พาเด็กหญิงรติชาขึ้นมาตามคำสั่งของอังกูรนั่นเอง “มาแล้วครับเฮีย” ยงธนัทเตรียมล้างหูฟังอังกูรบ่นเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจจะด่าด้วยก็ได้แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อ... “นายไปทำเรื่องย้ายตำแหน่งณิชขึ้นมาทำงานบนนี้ทีย้ง” สองคนที่ได้ยินหน้าตาตื่น “ไม่นะคะคุณต้น ณิชไม่ย้ายงานค่ะ” “นั่นสิฮะ แล้วจะให้ณิชทำงานตำแหน่งอะไรละเฮีย บนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลย” ยงธนัทถึงกับเกาศีรษะแกรก ในขณะที่เด็กหญิงวิ่งมาหามารดา“แม่ขาเสร็จงานหรือยังคะ” ณิชชาอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตัก “ค่ะ หนูจะกลับบ้านแล้วเหรอ” อังกูรทำมือโบกไล่ให้ยงธนัทออกไปจากห้อง “นายออกไปก่อนย้ง มีไรเคลียร์กันวันหลัง” ประโยคว่าเคลียร์กันวันหลังทำให้ยงธนัทรีบออกไปอย่างรวดเร็ว นึกขอบใจที่วันนี้มีเด็กหญิงรติชาอยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างนุ่มนวลลงมาก เขาสังเกตสีหน้าของทั้งอังกูรและณิชชาพบว่าไม่ได้แย่มากนัก จึงปลีกตัวออกมาอย่างโล่งใจ ยงธนัทออกไปแล้ว เหลือเพียงอังกูรที่จ้องสองแม่ลูก จนเด็กหญิงเริ่มขยับตัวอย่างอึ