“อีกทีได้นะติณณ์..
แต่มิณท้องเพิ่มไม่ได้แล้ว :)" พอฉันพูดจบติณณ์ก็ทำหน้าอึ้งออกมาแบบเห็นได้ชัด แล้วถอดท่อนเอ็นของเขาออกจากร่างกายของฉันแบบรีบร้อนและตกใจ “พูดใหม่มิณ.. พูดอีกที” ติณณ์จ้องหน้าฉันและพูดซ้ำๆ อย่างคาดหวังในคำตอบ แม้เขาจะดูตกใจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ดูตื่นเต้นมากจนฉันหลุดยิ้มให้กับท่าทางนั้น และชี้นิ้วไปที่ติณณ์ช้าๆ “...นี่พ่อ” ก่อนจะย้อนกลับมาชี้ตัวฉัน… “...นี่แม่” และจบลงด้วยการชี้ไปที่หน้าท้องแบนราบของตัวเองที่ด้านในมีบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น โดยที่ฉันเองก็เพิ่งจะรู้ตัว ซึ่งเขาก็มองมาอย่างตั้งใจฟัง “นี่ลูก” “หึ...” พรึ่บบบ! พอฉันพูดจบติณณ์ก็ทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็วและกอดฉันไว้แน่นมาก แถมยังมุดหน้าหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างดีใจ จนฉันอดแซวทั้งที่ยังขำกับท่าทางแบบนั้นไม่ได้ >_< “งื้อออ กอดแน่นไปแล้วนะ ฮ่ะๆ” “ทำไมเพิ่งบอกตอนนี้ แล้วเมื่อกี๊ติณณ์...” เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ติณณ์รีบลุกพรวดแล้วสำรวจร่างฉันที่เปลือยเปล่าอยู่อย่างรีบร้อน ฉันเลยส่งเสียงเรียกสติเขาออกไป “ใจเย็นติณณ์ มิณก็ไม่เป็นไรนะ ไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหน แค่จุก -_-” เออแฮะ ก็อารมณ์มันพาไปอ่ะตอนนั้นเลยลืมคิด >_< มัวแต่ดีใจ คิดจะแกล้งเขาแล้วบอกความจริงทีหลังจนโดนกระแทกเอา กระแทกเอาแบบนั้น.. แต่ดุจัดเหมือนกันนะเขาน่ะ >///< “ห้ามทำงี้อีก ใจหายหมด เกิดลูกเป็นไรขึ้นมาก็แย่ดิ” ติณณ์ทำหน้าเครียด แล้วบ่นอุบอิบออกมาค่อนข้างจะยาวอยู่ ฉันเลยส่งเสียงแซวออกไปอีก “โว้ววว ว่าที่คุณพ่อพูดยาวจังนะคะวันนี้ >_<” ได้ยินแบบนั้นเขาก็หลุดยิ้มออกมา แถมยังเอามือปิดหน้านิดหน่อยอย่างลืมตัว แล้วโน้มตัวมุดหน้าลงมาตรงหน้าท้องของฉัน “นี่ลูกติณณ์ไง ในนี้มีลูกติณณ์ ^_^” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี แถมยังจุ๊บหน้าท้องฉันรัวๆ จนจั๊กกะจี๋ไปหมด จุ๊บ! จุ๊บ! จุ๊บ! จุ๊บ! จุ๊บ! “งื้อออ เปล่าซะหน่อย >_<! เอาลูกคนอื่นมาสวมรอย” พอเห็นเขาดูตื่นเต้นมากจนเก็บอาการไม่อยู่ ฉันเลยแกล้งพูดออกไป แล้วติณณ์ก็มองตาขวางขึ้นมาทันตา “ว่าไงนะ?” ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้นก็ยิ่งขำ ฉันเลยเลื่อนมือไปยีผมเขาที่ยังมุดหน้าอยู่ตรงหน้าท้องบ้าง แล้วตอบกลับไปแบบยิ้มกรุ้มกริ่ม “ล้อเล่น! นอนอยู่ด้วยกันทุกวัน แถมติณณ์ดุจะตายใครจะไปกล้าเล่า” เอาจริงเห็นฉันท้าทายเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่ทุกครั้งที่ติณณ์โมโห แม้จะเป็นคนเข้าไปห้ามเขาเอง แต่มือฉันก็สั่นเองทุกทีเหมือนกันนะจะบอกให้ “กลัวผัวด้วย?” ติณณ์เลิกคิ้วถามกลับมาเหมือนแปลกใจ เหอะๆ ถามอะไรแบบนั้น.. ในความรั้นของฉันมันก็ต้องมีความรักตัวกลัวตายอยู่บ้างสิเฟ้ย! “กลัวดิ.. เวลาโกรธยิ่งกลัวมาก แค่เก็บอาการเฉยๆ -_-” พอฉันพูดจบปุ๊บเขาก็ยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วเลื่อนตัวขึ้นมากอดฉันไว้ แถมยังเอามือมาลูบหัวแล้วส่งเสียงปลอบใจออกมาแบบกวนประสาทได้อีก “โอ๋ๆ ไม่เคยพาลเมียเลยครับ กับเมียติณณ์เชื่องเป็นลูกหมาเลย เมี๊ยวๆ” “หรอ เมี๊ยวๆ นั่นแมวรึเปล่า โทษที?!” ฉันกัดฟันตอบกลับไป แล้วติณณ์ก็ลอยหน้าลอยตาขำออกมา “เอ้าหรอ ฮ่ะๆๆ” แล้วฉันก็เห็นเขายิ้มกว้างไม่หุบอยู่อีกพักใหญ่ๆ แถมยังเอามือลูบท้องฉันไปมาอยู่ได้ไม่หยุด ฉันเลยถามออกไปแบบงงๆ ในท่าทางที่ดูแปลกไป “เดี๋ยวดิ อารมณ์ดีขนาดนั้นเลย?” คือฉันท้องเอง..ยอมรับว่าก็ตกใจ มีตื่นเต้นบ้าง หรือตอนนั้นสถานการณ์มันไม่อำนวยหรืออะไรเลยไม่ดี๊ด๊าเท่าติณณ์ตอนนี้ แล้วติณณ์ก็มองมาแบบยิ้มๆ แถมยังพยักหน้ารัวๆ “อือ ตื่นเต้นฉิบหาย -/////-” พูดจบติณณ์ก็มุดหน้ามาซุกซอกคอฉันอีก แถมยังขยับตัวกระชับอ้อมกอดยุกยิกๆ อยู่แบบนั้นจนฉันจั๊กกะจี๋แล้วจั๊กกะจี๋อีก >.< “งื้อออ~ ไหนคุยกันหน่อยซิ พูดเยอะก็ได้ แล้วทำไมชอบเงียบ” ที่ถามแบบนี้เพราะวันนี้เขาก็พูดเยอะจริงๆ ไม่ใช่แค่บนเตียงตอนนี้ แต่ตอนอธิบายเงื่อนไขของ Emergency Privilege เขาก็พูดกับฉันออกมายาวเหยียดด้วยท่าทางธรรมดา แต่เพราะมันดูจะผิดวิสัยของเขาไปสักหน่อย ฉันเลยแอบสงสัย “พูดเยอะเมื่อยปาก” ติณณ์ตอบกลับมาเสียงอู้อี้เพราะมุดหน้าอยู่ข้างหูฉัน ฉันเลยส่งเสียงดุออกไป “อย่ากวน!” พอโดนดุเข้าหน่อย เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะอ้อน.. “ก็อยากคุยกับเมียคนเดียว” หึ.. พอได้ฟังแบบนั้น ยอมรับว่าฉันหลุดยิ้มกว้างออกมาในคำตอบที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่พลังทำลายล้างสูงมากจนหน้าฉันร้อนผ่าว “แน่ใจว่าคนเดียว?” ฉันถามออกไปเพื่อความแน่ใจ แล้วเขาก็ส่ายหน้าออกมาจนฉันเริ่มขมวดคิ้วเบาๆ “ไม่ใช่แล้วดิ ตอนนี้มีลูก ก็มีเพื่อนคุยเพิ่มขึ้นอีกคน” ติณณ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงระรื่น และเหมือนจะเขินจริงจังจนกอดฉันไม่ปล่อยสักที บอกตรงๆ ในความนิ่งที่ผ่านมา พอมาเทียบกับการมุดหน้าตอบอู้อี้ข้างหูฉันเขินๆ อย่างตอนนี้ คือหักลบกันได้แบบพอดีเป๊ะเลยแฮะ >////< “เฮ่อตาย..ต่อไปคงหนวกหูแย่” ฉันแกล้งส่ายหัวตอบกลับไป เขาก็ส่งเสียงขัดใจออกมา “อืมมม.. อดทนหน่อยดิ แต่อย่าแพ้ท้องแล้วพาลติณณ์เหมือนเมียไอ้พายเชียว” ติณณ์บ่นอู้อี้แล้วพูดดักฉันเอาไว้ คิดถึงนิลลากับพายุแล้วขำจะตาย โมเม้นต์คุณแม่เอาแต่ใจจนคุณพ่อหน้าหงอยไปเลย ช่วงแรกๆ ก็แอบเห็นมาบ้าง แต่พอตัดภาพไปนึกถึงอีกคู่ที่มีเบบี๋ ฉันเลยรีบพูดดักติณณ์กลับไปทันทีเหมือนกัน “อืม แต่ถ้าติณณ์เป็นแบบเวย์ ได้มีเรื่องแน่ๆ บอกไว้เลย” พอฉันพูดจบติณณ์ก็เงยหน้าที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม แถมหน้าแดงก่ำที่ฉันเพิ่งจะเห็นออกมา “หึ.. ไม่เกรี้ยวกราดแน่นอนฮะ สัญญาเลย >///<” “อื้ม >///<” แล้วเขาก็ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองมาให้ ฉันเลยพยักหน้าแล้วเลื่อนนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวไว้ ก่อนที่ติณณ์ค่อยๆ ลุกขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนและพลิกตัวฉันขึ้นไปอยู่บนตัวเขาแล้วกอดฉันเอาไว้แน่น “รักนะครับ..ทั้งแม่ทั้งลูก” จุ๊บ! น้ำเสียงอบอุ่นพูดขึ้นมาเบาๆ ข้างหูฉัน แล้วเขาก็กดจูบลงมาบนหน้าผากของฉันอย่างแผ่วเบา ยิ่งทำให้หน้าฉันร้อนผ่าวเพราะเขินกับการกระทำที่แสนจะอ่อนโยนแบบนั้น “อื้อ แต่มิณไม่บอกกลับแล้วนะ เพราะบอกไปแล้ว >///<” ฉันตอบกลับไปแล้วมุดหน้าลงที่อกติณณ์ทันที แล้วเขาก็เลื่อนมาลูบหัวฉันเบาๆ “มิน่า วันนี้อารมณ์ดีจัด เล่นเอาซะติณณ์งงเลย” เหอะๆ กว่าจะอารมณ์ดีได้เท่านี้ ฉันน่ะก็เจอมาหนักอยู่นะ ไอ้ความกดดันในตอนนั้น.. “รู้เรื่องลูกตอนแรก มิณใจจะขาดเลยเหอะ ไปขอบคุณท่านปู่ด้วยนะ..” ฉันตอบกลับไปแล้วนึกถึงหน้าท่านปู่ที่ลอยมาอย่างให้สติ จนติณณ์ออกอาการแปลกใจ “ท่านปู่?” พอเห็นสีหน้าที่ดูสงสัยของเขา ฉันเลยตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น บางอย่างที่เกิดขึ้น..ก่อนที่ฉันจะไปเยือนเกาะแห่งสงครามนั่นออกไปทันที “อืม ก็ตอนนั้น...”ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อน..
“งั้นหนูขอเปิดใช้ Emergency Privilege!” ฉันโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วท่านปู่ก็ตอบกลับมาด้วยโทนเสียงเรียบดูไม่สะทกสะท้านอะไรเหมือนเดิม [คำขอคืออะไร?] “ยกเลิกข้อแลกเปลี่ยน จากคำขอ Emergency Privilege ของติณณวัชร์ ภัทรเดชา!” ฉันพูดมันออกไปด้วยความโกรธจัด ทางเดียวที่จะปกป้องติณณ์คือต้องมีใครสักคนเซฟชีวิตเขา ซึ่งแน่นอนมันควรเป็นฉันที่ยังหลงเหลือคำขอนั้น แม้ติณณ์จะน้อมรับหากว่าฉันจะเลือกรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ เขาทำให้รู้ว่าสำหรับเขา..ฉันสำคัญ! แต่กลับกันสำหรับฉันในความรู้สึกที่ชัดเจนเหมือนจะเป็นจะตายตอนนี้..ติณณ์ก็สำคัญไม่ต่างกัน! [คิดให้ดี มิณรฎา] น้ำเสียงเรียบของท่านปู่ตอบกลับมาเหมือนยังดูชะล่าใจ ทั้งที่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องความเป็นความตายของหลานท่านทั้งสองคน! ฉันเลยพูดสวนกลับไปอีกอย่างหัวร้อนจนเผลอกำมือแน่น “ครอบครัวสำหรับท่านสำคัญแค่ไหน?” [.....] แล้วคำที่ได้ก็คือความเงียบ ยิ่งเงียบ..ยิ่งชัดเจนว่าเขาไม่ได้สนใจชีวิตของใคร...แม้แต่หลานในไส้! “ตอบไม่ได้หรอคะ? แต่ครอบครัวสำหรับหนู คือถ้าเขาไม่อยู่ หนูก็ไม่รู้..ว่าจะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน!” ฉันตะคอกออกไปอย่างฟิวส์ขาด สกปรก! Dark Shadow นี่มันสกปรก! เป็นสถาบันครอบครัวที่แสนห่วยแตก! ยิ่งคิดว่าติณณ์ต้องเจอกับอะไร น้ำตาฉันมันก็แทบจะไหลออกมาอีก ใครไม่เป็นฉันตอนนี้จะไปเข้าใจอะไร?! [สามีภรรยาเปรียบเสมือนแขนขาซ้ายกับแขนขาขวา!] ระหว่างที่ฉันกำลังใจสั่นจากสิ่งรอบข้างที่ประเดประดังเข้ามา ท่านปู่ก็พูดขึ้นมาเสียงเข้มเหมือนกำลังเรียกสติกัน ฉันเลยหยุดฟังอย่างเงียบๆ “.....” [ถึงเวลาโดนตัดแขนตัดขา สิ่งที่ต้องคิดไม่ใช่ให้ตัดข้างไหน แต่มันคืออีกข้าง..จะสามารถใช้งานทดแทนกันได้หรือไม่] “.....” คำพูดของท่านปู่ชวนให้ฉันหยุดฟังโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ตอบกลับไป แล้วท่านก็พูดต่อเหมือนรู้ว่าฉันกำลังตั้งใจฟัง [ว่าที่ Leader ผ่านการฝึกมากมายเพื่อวัดผลว่าเหมาะสมมั้ย เช่นเดียวกับ Leader’s Wife ที่ไม่ใช่แค่ใครก็ได้! มันต้องผ่านกระบวนการคิด วัดใจ ทบทวนมาแล้วว่าใช่ ถึงจะเป็นได้ ..ฟัง!!! Leader คือกำลัง Leader’ s Wife คือหัวใจและสมอง มิณรฎา] “ฮึก..” พอได้ยินแบบนั้นฉันถึงกับน้ำตาร่วงออกมาทันทีแบบไม่มีสาเหตุ มันเป็นฉันไง Leader’s Wife คือฉันที่ทำอะไรไม่ได้เลย ฉันแม่งโง่เง่าสิ้นดี! [เป็นเมียไอ้ติณณ์แล้วไง?! แลกชีวิตเพื่อมันแล้วไง?! ถึงจะพูดให้สวยหรูยังไง แต่ถ้าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลในขณะที่มันมีความเชื่อใจว่าเมียจะช่วยให้หลุดพ้นได้ ให้ตายยังไงก็พังอยู่ดี!] ยิ่งฟังน้ำเสียงทีโพล่งสวนกลับมาจากปลายสายแบบนั้น หัวฉันมันยิ่งปวดจี๊ดขึ้นมา ดวงตาพร่ามัว เต็มไปด้วยม่านน้ำตา ภาพตรงหน้าค่อยๆ เลือนราง และตอบกลับไปทั้งน้ำตา “ฮึก..ฮือออ หนูไม่รู้ หนูไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าต้องทำยังงะ...” พรึ่บบบ! “นายหญิงครับ นายหญิง!!!” แล้วภาพสุดท้ายตรงหน้าของฉันคือลูกน้องของติณณ์มากมายกำลังวิ่งเข้ามา ก่อนที่ความมืดจะเข้าครอบงำมีเพียงเสียงเรียกซ้ำๆ พร้อมกับสติของฉันที่ดับวูบไปในทันตา หลังจากนั้นฉันก็ตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาที่ห้องๆ เดิมพร้อมกับทีมแพทย์และลูกน้องมากมายที่มองมาด้วยสีหน้าโล่งใจ รวมถึงเจด้าที่นั่งอยู่ข้างฉันและถามออกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “เจ๊ เป็นไงบะ...” หมับ! ฉันจับมือเจด้าและพยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วพยุงตัวลุกขึ้นทันทีเพราะไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน อีกอย่างพอหันไปอีกมุมหนึ่งของห้อง และเห็นว่ามีใครอีกคนที่นั่งอยู่ในนี้ด้วย ยิ่งเป็นเหตุผลให้ฉันพรวดพราดเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน เพื่อทวงถามคำอนุมัติจากคำขอของฉัน “ท่านคะ…” “ไม่อนุมัติ! Emergency Privilege แลกได้แค่หนึ่งชีวิตเท่านั้น” ฉันยังไม่ทันพูดอะไรออกไป แต่ท่านปู่ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ก็พูดขัดขึ้นมาเสียงเข้ม ซึ่งฉัน..ไม่เข้าใจในความหมายนั้น เลยหันไปรอบๆ ห้องอย่างตั้งคำถามทั้งที่ยังเวียนหัวเหมือนยังประมวลผลอะไรได้ไม่ดีนักแถมยังแอบเซ แล้วเจด้าก็ลุกพรวดมาช่วยประคองฉันเอาไว้ ก่อนจะไขข้อข้องใจของฉันออกมา “เจ๊ท้องค่ะ” แม้จะดูเป็นเรื่องน่ายินดี แต่สิ่งที่เจด้าพูดกลับทำให้ฉันตัวชาอย่างไม่มีสาเหตุ และทวนคำพูดนั้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง ก่อนจะกัดฟันแน่นกับเรื่องราวที่ดูจะแย่ลงไปทุกที “ท้อง?” ฉันยืนอึ้งอย่างคิดไม่ทันกับสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเจออยู่ แต่ก็ไม่วายพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยคนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร และป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้เลย ถ้าฉันไม่มีสิทธิ์ใช้คำขอนี้ในตอนนี้แล้วเขา... “ท่านคะ แต่ว่าติณณ์…” “มิณรฎา! ใครเป็นคนควบคุมกฎ!!!” เฮือก O_O! ฉันยังพูดไม่ทันจบท่านปู่ก็ตวาดออกมาเสียงดังลั่นด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง และจ้องหน้าฉันด้วยแววตาเด็ดขาดมาก จนทุกคนในห้องรวมทั้งฉันต่างก็สะดุ้งเฮือกไปตามๆ กันด้วยความตกใจ อึก.. “สะ..สภากฎค่ะ” ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากและตอบกลับไปเสียงสั่นอย่างนึกกลัวคนตรงหน้าขึ้นมาในพริบตา แล้วเขาก็ตวาดออกมาอีกครั้งด้วยระดับเสียงที่ไม่ต่างกัน! “ถ้าไอ้ติณณ์มันต้องตาย ใครจะเป็นผู้พิพากษา!!!” น้ำเสียงทรงพลังทำให้ฉันประหม่าขึ้นมาจนถึงกับก้มหน้างุด แล้วน้ำตาก็ดันไหลออกมาไม่รู้เวล่ำเวลา จนฉันต้องปาดมันทิ้งและตอบกลับปนเสียงสะอื้นไปอย่างใช้ความคิด “ฮึก สะ..สภากฎค่ะ” “แล้วในฐานะ Leader’s Wife! จะรักษาสิ่งไหนเอาไว้.. หัวใจ! หรือเครื่องมือที่ใช้ควบคุมมัน!” ท่านปู่โพล่งออกมาซ้ำๆ อย่างตั้งคำถาม จนฉันหยุดคิดในคำพูดนั้นแล้วพยักหน้าเข้าใจในความหมายของมันรัวๆ ทั้งน้ำตา เข้าใจแล้วล่ะ ฮึก.. ฉันเข้าใจความหมายของเขาแล้ว แต่เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบกับทุกชีวิตหากว่าฉันต้องตัดสินใจมันเลยยังลังเลจนต้องถามออกไป “แล้วผลกระทบหลังจากนี้...” “ก็ถ้ามันวุ่นวายมาก ไอ้กฎงี่เง่าพวกนี้น่าจะลองแหกมันดูสักที.. คำนี้ไอ้ติณณ์พูดออกบ่อย” ไม่รอให้ฉันพูดจบท่านปู่ก็สวนกลับมา แล้วลุกจากโซฟากำลังจะเดินออกจากห้อง ฉันเลยตะโกนตามหลังท่านไปอย่างตัดสินใจได้ในทันที “หนูขอเปิดใช้ Emergency Privilege อีกครั้งได้มั้ยคะ?!” “หึ...ว่ามา” ท่านปู่ตอบกลับมาอย่างพอใจและหยุดฟังในสิ่งที่ฉันกำลังจะพูด ฉันเลยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้มและมั่นใจว่านี่คือการตัดสินใจที่สิ้นสุดแล้วโดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ “หนูขอเพิกถอนอำนาจควบคุมหนึ่งเดียวของสภากฎ! ให้อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดตกเป็นของ...ท่าน” เพราะคิดว่าในฐานะ Leader คนปัจจุบัน และญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของลูกหลานที่กำลังทะเลาะกัน ฉันเลยมองว่าท่านปู่นี่แหละที่เหมาะสมที่จะเป็นคนพิพากษาไอ้เหตุการณ์บ้าๆ นี่ แต่ท่านก็หันหลังกลับมาตอบฉันอย่างตั้งคำถามภายในแววตาที่ดูใจดีขึ้นมานิดหน่อย “ตกเป็นของฉัน..ที่อีกสองวันจะหมดวาระ?” “ค่ะ อย่างน้อยถ้าคนที่มีอำนาจลงโทษเป็นท่าน ท่านก็คงไม่ใจร้าย.. ทำร้ายพวกเราได้ลงคอหรอกใช่มั้ยคะ” ฉันถามกลับไปอย่างลองเชิง และแอบอมยิ้มออกมาบางๆ อย่างคาดหวังในคำตอบนั้น แต่ท่านก็ไม่ตอบอะไรนอกจาก… “สีหน้าแบบนั้น เอาไว้ทำตอนเจอมันแบบที่ยังมีชีวิตไม่ดีกว่ารึไง” น้ำเสียงที่ดูใจดีพูดขึ้นมาจนฉันโล่งใจ ก่อนจะกลายเป็นน้ำเสียงทรงพลังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางเหล่า Member มากมาย “เตรียมฮอ! ขอไปดูหน้าไอ้สองแสบหน่อยว่าทำเรื่องไว้บรรลัยแค่ไหน!”กลับมาที่ปัจจุบัน...
ฉันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกไปให้ติณณ์ที่ตอนนี้ดูเงียบไปอย่างตั้งใจฟัง แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเขาอีกครั้งพร้อมกับพูดออกไป “เรื่องทั้งหมดก็เป็นงี้อ่ะ แล้วท่านปู่ก็เปลี่ยนคำขอของมิณนิดหน่อย ให้อำนาจการตัดสินใจของท่านตกไปเป็นของติณณ์แทน ซึ่งตรงนี้มิณก็รู้พร้อมติณณ์ที่เกาะ” ใช่.. ตอนนั้นฉันแอบงง แต่ท่านก็คงคิดมาแล้วนั่นแหละ แล้วติณณ์ก็พยักหน้ารับ แถมยังส่งยิ้มบางๆ พร้อมกับทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้ออกมา “มันเป็นคำพูดของท่านย่าน่ะ” พอติณณ์พูดแบบนั้นฉันก็มองเขาแบบงงๆ แต่จาก Dark Shadow Fundamental สถานะของท่านย่าของติณณ์ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว.. ติณณ์เลยตอบกลับมาอย่างไขข้อสงสัยให้ “เมื่อถึงเวลาต้องเลือกให้ดี Leader คือกำลัง Leader’s Wife คือหัวใจและสมอง.. ท่านย่าเคยพูดเอาไว้ ตอนนั้นทั้งติณณ์กับไอ้คิระก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะมารู้จักคำว่ามาเฟียอีกทีก็ตอนพ่อแม่เสียไปแล้ว” ทั้งติณณ์และคิระงั้นหรอ..? “นี่แปลว่าติณณ์กับคิระก็เคยมีช่วงเวลาวัยเด็กร่วมกันน่ะสิ” ฉันถามออกไปอีกแล้วเขาก็พยักหน้า “(- -)(_ _) ถ้าสมัยที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่มีเรื่องบาดหมาง..ก็ใช่ ..อ่าหะ อย่างน้อยก็เคยเป็นพี่น้องที่สนิทกันมา ถ้างั้นหรือว่า..ทุกครั้งที่ติณณ์มีโอกาสจะลั่นไก... “เพราะงี้ใช่มั้ย..ถึงไม่ทำพี่? ” แต่พอฉันพูดจบเขาก็ส่ายหัวออกมาทันที ก่อนจะพูดต่อให้ฉันเข้าใจทั้งที่ยังกอดฉันไว้อยู่แบบนี้ “น้อง.. ถึงมันจะเป็นลูกผู้พี่ แต่ติณณ์แก่กว่ามันตั้งสามนาที” หื้ม? ความรู้ใหม่เลยแฮะ นี่สองคนนี้.. “เกิดวันเดียวกันเลยหรอ?” “อืม แต่ตั้งแต่เด็กมันก็เรียกแทนตัวเองว่าพี่ทุกที ขนาดมาถึง Ztudio แม่งยังบอกไอ้ฟิวส์ว่าเป็นพี่ติณณ์เลย เลอะเทอะฉิบ!” ติณณ์ตอบกลับมาแบบแอบฉุนเล็กๆ ซึ่งฉันมองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นนะ ที่ผ่านฉันไม่เคยสังเกตเลยสักที แต่กับครั้งนี้ทุกประโยคที่เขาพูดถึงคิระ มันดูไม่ได้เลวร้ายมากมายขนาดนั้น “แล้วติณณ์..รักคิระมั้ย?” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงพูดไปแบบนั้น แต่ความเป็นพี่น้องแม้จะบาดหมางกัน มันก็น่าจะมีอะไรที่ปรับจูนให้กลับมาเข้ากันได้อยู่นะ.. นี่เดาเอาล้วนๆ อ่ะพอดีไม่เคยมีพี่น้อง -.- “ถามทำไม?” ติณณ์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย เหมือนไม่สนใจ แต่เขาก็ดูสนใจ.. “ก็อีกไม่กี่วันต้องพิพากษาน้อง ติณณ์จะทำยังไง?” ฉันเงยหน้าไปจ้องหน้าเขาและถามออกไปอย่างเดาใจไม่ถูก ที่คิระทำไว้มันก็มากมาย ให้นับตามกฎ..ก็ผิดไปหลายข้อ แล้วแบบนี้ว่าที่ Leader อย่างเขาจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ท่ามกลางอารมณ์ฉุนเฉียวที่คิระมาล้ำเส้น Nightshade ที่เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับติณณ์ยังไง “ไม่รู้ดิ.. ถ้ามันยอมให้ติณณ์เป็นพี่ ติณณ์อาจจะใจดีก็ได้ล่ะมั้ง” ติณณ์ตอบกลับมาแบบทีเล่นทีจริงและทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อะไร แล้วดึงผ้าห่มผืนใหญ่มาห่มให้ฉัน ก่อนจะกระชับอ้อมกอดของเขาเอาไว้ แต่แอบเห็นท่าทางของเขาตอนนี้ก็เหมือนกำลังคิดตามสิ่งที่ฉันพูดต่อไปแบบนั้นอีกสักพัก..หลังจากประทับตราเสร็จ ติณณ์ก็ให้ฉันเข้ามารอเขาในห้องๆ หนึ่ง ก่อนจะเดินแยกไปทำธุระแล้วตามเข้ามาทีหลัง พอติณณ์เดินมาทิ้งตัวลงทั้งข้างฉันปุ๊บ ฉันเลยถามถึงเรื่องวันนี้ออกไปอย่างสงสัยทันที“ถามได้มั้ย? ติณณ์รู้ได้ยังไงว่าสภากฎ....”“ท่านปู่บอก”ฉันยังพูดไม่ทันจบติณณ์ก็ตอบกลับมาอย่างรู้ทัน คำถามนี้ฉันว่าใครๆ ก็สงสัยอ่ะ เพราะดูเหมือนเขาจะมารู้เรื่องนี้ทีหลังเหมือนกัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็คงไม่เสียเวลาทะเลาะกับคิระตั้งนานหรอก จริงมั้ย…“แล้ว..ท่านปู่ได้บอกมั้ยว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”ฉันทำหน้าสงสัยออกไปเพราะลึกๆ ก็อยากรู้... มันจะด้วยเหตุผลอะไรกันนะ ถึงทำให้สภากฎที่ดูจะน่าเคารพนับถือทำเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ Make sense เอาซะเลยแฮะ แล้วติณณ์ก็พยักหน้าและเริ่มเล่าเรื่องที่ได้รับฟังจากท่านปู่ออกมา“แม่ติณณ์ไปรู้มา..ว่าสภากฎจะยึดอำนาจ Dark Shadow เลยจำเป็นต้องกำจัดทายาททุกคนเพื่อให้ไม่มี Leader อีกต่อไป ซึ่งตอนนั้นว่าที่ Leader และ Leader’s Wife คือพ่อแม่ติณณ์และลุงกับป้า ...หรือพ่อแม่คิระ”พรึ่บบบ!พูดจบติณณ์ก็เอื้อมแขนมาคว้าเอวฉันอุ้มขึ้นไปนั่งตักเขาเบาๆ แล้วมุดหน้าของเขาลงมาใช้คางเกยไหล่ฉันเอาไว้“ท่
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!“.....”เสียงปืนดังสนั่นอยู่นานกว่าจะหยุด ฉันเลยใช้จังหวะนี้คว้ามือเลโอออก ก่อนจะหันไปเห็นโศกนาฏกรรมที่ทั้งติณณ์และคิระที่น่าจะเพิ่งเข้าใจอะไร กราดกระสุนรัวใส่ตัวแทนสภาฯ จนไม่หลงเหลือลมหายใจ แถมเลือดสีแดงฉานยังเปื้อนไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น แล้วเลโอก็รีบยื่นมือมาจะปิดตาฉันอีกแต่ยังคว้ามือเขาเอาไว้ และพูดออกไปเสียงเรียบหมับ!“นั่นติณณ์นะเลย์…”ฉันพูดออกไปพร้อมกับจ้องเข้าไปในตาของเลโออย่างต้องการให้เขาเข้าใจ คือภาพตรงหน้ามันน่ากลัวน่ะใช่ แต่นั่นติณณ์ไง! จะให้ฟังแต่เสียงโดยไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไงก็ใช่เรื่อง!พอฉันพูดจบเลโอก็พยักหน้าแล้วยอมเอามือออกทั้งที่ยังส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ แถมยังไม่ยอมถอยออกห่างจากฉันแม้แต่ก้าวเดียวแล้วอยู่ๆ Member กว่าครึ่งหอประชุมที่ไม่เห็นด้วยกับการพิพากษาที่ดูจะป่าเถื่อนแบบนั้น ก็ถึงกับวิ่งวุ่นลงมาและคว้าปืนขึ้นมาจ่อไปที่ติณณ์และคิระแบบไม่เกรงกลัวอะไร เท่าที่ดูคนพวกนั้นน่าจะเคารพในอำนาจของสภาฯ กันมากมายแบบที่ยอมตายแทนได้เลยด้วยซ้ำ“ไอ้พวกสวะ!”เสียงผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวขึ้นเหมือนตั้งตัวเป็นอร
@ DARK SHADOW CASTLE (JAPAN)ผลัวะ!เสียงฝ่ามือของรันเวย์กระทบเข้าที่หัวของติณณ์อย่างแรงพร้อมกับสีหน้าหงุดหงิดหลังจากที่รู้ข่าวว่าฉันท้อง ตามมาด้วยเสียงบ่นอุบอิบอย่างเอาแต่ใจจน Nightshade คนอื่นๆ ถึงกับส่ายหน้าให้กับความพาลหาเรื่องคนนั้นคนนี้ไปทั่วของพ่อลูกอ่อนขี้เหวี่ยงตรงหน้าฉัน“ไวนัก! ไม่ต้องเสือกคลอดก่อนล่ะ”พูดจบรันเวย์ก็ถลึงตาใส่ติณณ์ คือต้องใช้คำนี้จริงๆ อ่ะ เขาถลึงตาแบบจริงจังมาก! เดี๋ยวนี้หมอนี่อาการหนักน่าดู คือกลัวขั้นสุด กลัวว่าลูกตัวเองจะเป็นน้อง ซึ่งมันตลกชะมัด!“หึ..ก็ไม่แน่”แล้วติณณ์ก็ตอบกลับไปแบบกวนๆ จนรันเวย์ยิ่งหงุดหงิดหนัก เดินไปตบหัวบรรดาพ่อลูกอ่อน Nightshade ทั้งหมดแบบเรียงตัวอีกทีอย่างหมั่นเขี้ยวผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!“ไอ้พวกเวร!”เขาบ่นอุบอิบออกมาแบบพาลๆ แล้วเดินกลับมานั่งหน้าบูดต่อจนเจด้าถึงกับออกอาการเอือมๆแต่ก็แอบขำในท่าทางนั้น แล้วติณณ์ก็ยังไม่วาย..พูดออกมาแบบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกครั้ง แถมยังลอยหน้าลอยตาใส่รันเวย์อย่างอารมณ์ดีว่าใครในตอนนี้“เห็นแก่เพื่อนเหอะ ให้ลูกกูเป็นพี่”พอติณณ์พูดจบเท่านั้นแหละ รันเวย์ก็ชี้หน้าติณณ์กลับมาแบบเกรี้ยวกราดมาก แล้วโพล่งออกม
“อีกทีได้นะติณณ์..แต่มิณท้องเพิ่มไม่ได้แล้ว :)"พอฉันพูดจบติณณ์ก็ทำหน้าอึ้งออกมาแบบเห็นได้ชัด แล้วถอดท่อนเอ็นของเขาออกจากร่างกายของฉันแบบรีบร้อนและตกใจ“พูดใหม่มิณ.. พูดอีกที”ติณณ์จ้องหน้าฉันและพูดซ้ำๆ อย่างคาดหวังในคำตอบ แม้เขาจะดูตกใจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ดูตื่นเต้นมากจนฉันหลุดยิ้มให้กับท่าทางนั้น และชี้นิ้วไปที่ติณณ์ช้าๆ“...นี่พ่อ”ก่อนจะย้อนกลับมาชี้ตัวฉัน…“...นี่แม่”และจบลงด้วยการชี้ไปที่หน้าท้องแบนราบของตัวเองที่ด้านในมีบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น โดยที่ฉันเองก็เพิ่งจะรู้ตัว ซึ่งเขาก็มองมาอย่างตั้งใจฟัง“นี่ลูก”“หึ...”พรึ่บบบ!พอฉันพูดจบติณณ์ก็ทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็วและกอดฉันไว้แน่นมาก แถมยังมุดหน้าหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างดีใจ จนฉันอดแซวทั้งที่ยังขำกับท่าทางแบบนั้นไม่ได้ >__มัวแต่ดีใจ คิ
พรึ่บบบ พลั่กกก “อื้อออ~”ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องน้ำ ติณณ์ก็วางร่างฉันลงแล้วดันตัวฉันให้ถอยไปติดกับผนังห้องน้ำอย่างรีบร้อน ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดน้ำฝักบัว และประกบริมฝีปากของเขาลงมาอย่างรวดเร็วและร้อนแรงผ่านม่านน้ำจากฝักบัวตรงหน้าติณณ์แทรกลิ้นของเขาเข้ามาไล่ต้อนลิ้นฉันอย่างช่ำชอง พร้อมกับกระชากเสื้อผ้าของฉันจนขาดวิ่นหลุดติดมือ แล้วโยนมันออกไปแบบสนใจทิศทางใดๆ สักพักเขาก็ผละจูบออกแล้วโน้มตัวลงมาทิ้งรอยมากมายบนตัวฉันในพริบตา“อื้อออ อ๊ะ!”ฉันร้องครางออกไปอย่างเสียวซ่านกับสัมผัสที่ติณณ์มอบให้ และเลื่อนมือไปขยำกลุ่มผมของติณณ์เอาไว้อย่างระบายอารมณ์ พร้อมกับเงยหน้ารับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ…แล้วติณณ์ก็เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมากอบกุมหน้าอกของฉันเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ บีบเคล้นมันเบาๆ จนแรงขึ้น..แรงขึ้นตามลำดับ ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้ไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายฉัน จนฉันเคลิบเคลิ้มล่องลอยตามรสสัมผัสของเขาไปอย่างกู่ไม่กลับ“อย่าอ่อยบ่อยได้มั้ย…”ติณณ์พูดออกมาเบาๆ พร้อมกับหายใจถี่ขึ้นตามระดับความรุนแรงของการกระทำ และเลื่อนมือไปปลดกระดุมกางเกงตัวเองอย่างรีบร้อน แต่ฉันกลับปัดมือเขาออกแล้วเป็นฝ่ายปล
::: TECHO :::หลังจากเสร็จภารกิจทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน รวมถึงผมกับมิณที่กำลังขับรถกลับคอนโด ส่วนเรื่องคำพิพากษาไอ้คิระกับคำอธิบายเรื่องข้อตกลงของ Emergency Privilege ทั้งของผมและมิณ จะมีการเรียกประชุม Member ทั้งหมดที่ Dark Shadow Castle (JAPAN) ในอีกสองวัน ซึ่งก็จะตรงกับวันสถาปนาพอดี และ Nightshade ที่มีเอี่ยวด้วยวันนี้จะต้องไปฟังคำพิพากษาร่วมกันทั้งหมด“ยิ้มไรคนเดียว”พอหันไปเห็นใบหน้าเล็กกำลังนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีและดูจะแฮปปี้เกินเรื่องไปหน่อยทั้งที่วันนี้เจอเรื่องหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ผมเลยถามออกไปแบบงงๆ ในท่าทางที่แปลกไป แล้วมิณก็ตอบกลับมา“เปล่าหนิ”ใบหน้าเล็กทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ดูจะปกปิดรอยยิ้มในแววตานั่นไม่มิด หน้าผมมีไรติดหรอวะ -.-? หรือมิณไปกินไรผิดมาตั้งแต่ที่เกาะละ วันนี้เมียแลอารมณ์ดีจัด“มีไรบอกมา”ผมส่งเสียงเข้มออกไป แล้วเอามือไปยีหัวมิณซ้ำๆ อยู่หลายที หึ..เกือบจะไม่ได้กลับมาเห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้วมั้ยกู มีเมียเก่งแม่งโคตรน่าภูมิใจ เปิดใช้คำขอทีเล่นเอาตัวแทนสภากฎเหวอไปเลย บอกตามตรงใจผมตอนนั้นแม่งกระตุกวูบ เวลามิณทำอะไรแม่งเหนือความคาดหมายของผมตลอด แล้วมิณก