ซามูเอลมองเด็ก ๆ ดวงตาสีฟ้าของเขาแม้มันจะดูเป็นประกายมีแววใจดี แต่เด็ก ๆ ก็อดที่เกรง ๆ ไม่ได้เพราะมันดูไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
“จะจ้องหน้าข้าอีกนานมั้ยเนี่ย บอกรายละเอียดของงานมาสิ” ซามูเอลถาม จางสะดุ้งแล้วพูดว่า “หมู่บ้านของเราโดนโจรปล้นครับ มาเรื่อย ๆ พวกเราจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว” “เจ้าเป็นชาวเทียนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่แจ้งทางการ ทหารของเทียนน่าจัดการกับโจรได้นี่” ซามูเอลถาม จางเริ่มไม่พอใจ และพูดว่า “ก็พวกเราเป็นชนกลุ่มน้อย อีกอย่างหนึ่งพวกเราอยู่ห่างกับเมืองหลวงมาก กว่าจะมาถึงก็ตายหมดแล้ว ทำไมต้องถามแบบเดิมซ้ำด้วย” “นี่อย่ามาใช้อารมณ์กับข้า เรายังไม่ตกลงจ้างงานกัน อีกอย่างข้าจะไปรู้เหรอ เจ้าเจออะไรมาบ้าง” ซามูเอล พูดด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ จางเงียบ มิก้าเลยพูดว่า “ตกลงเจ้าจะช่วยมั้ย มันเสียเวลานะเนี่ย” “นี่ข้าต้องถามรายละเอียดงานก่อนสิ จะได้ตัดสินใจถูก เอาล่ะ ไอ้โจรที่ว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า” ซามูเอลถาม จางนิ่งไปเขาไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่ามิก้าจะเปลี่ยนใจไม่ช่วย แต่ตากลับรีบพูดว่า “มันเป็นพวกเอลฟ์ค่ะ และก็มีโทรลผัวเมียตามมาด้วย” มิก้ากับซามูเอลไม่ได้ตกใจมาก เพราะสำหรับคนที่เป็นนักผจญภัยนั้น จะเจอกับพวกอมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร “เอาจริงดิ ! แน่ใจนะว่าโทรล” ซามูเอลถาม โทรลนั้นคือ สัตว์ประหลาดที่เกิดมาในช่วง ที่เกิดกระแสวิวัฒนาการ พวกมันวิวัฒนาการมาจากลิงกอริล่า มีผิวแข็งเหมือนหิน แม้จะมีสติปัญญาค่อนข้างน้อย แต่มันก็ยังมีพละกำลังที่แข็งแกร่งขนาดหักกระดูกมนุษย์ได้ง่าย ๆ เหมือนหักกิ่งไม้แห้ง “พวกเอลฟ์ที่ตามมามีลักษณะยังไง” ซามูเอลถามต่อ “ก็หูแหลม ตาเหมือนแมว” ตาตอบซื่อ ๆ ซามูเอลเอามือจับหน้าผากแล้วพูดว่า “ขอโทษ ข้าผิดเอง มันแต่งตัวยังไง” “อ๋อ ! พวกมันไม่สวมเสื้อ และมียางไม้ทาตัว ทาหน้า” จางบอก “เอาจริงดิ ! พวกเอลฟ์ฟอร์แคร์ นี่เองพวกเจ้าคงไปขยายที่ทำกิน ไปล้ำแดนมันเข้าล่ะมั้ง” ซามูเอลพูด จางไม่พอใจมาก “ไม่ใช่นะ สัตว์เลี้ยงของเราหลุดเข้าไปในเขตของมัน พอพวกมันรู้ว่ามีหมู่บ้านเลยมาปล้น” “นี่เจ้านะเลิกมาถามอะไรได้แล้วตกลงจะช่วยหรือไม่ช่วย” มิก้าเริ่มไม่พอใจ ซามูเอลหันมามองเธอแล้วพูดว่า “นี่เจ้าน่ะ เป็นพวกสมองกล้ามหรือไง ทำงานไม่ถามข้อมูล เอาล่ะไอ้หนู ที่บ้านทำงานอะไร” ซามูเอล ถาม มิก้าเริ่มไม่พอใจแต่ก็เก็บอาการไว้ “พวกเราทำนาครับ” “ทำนา ได้ข้าวแยอะมั้ย” ซามูเอลถาม จางกับตานิ่งไป แต่เมื่อเจอสายตากดดันของซามูเอล ตาจึงตอบไปว่า “เราเหลือไม่แยอะแล้วคะ พวกมันปล้นไปแยอะมาก” ซามูเอลพยักหน้ารับรู้ เขาคิดสักพักก่อนจะถามว่า “แล้วนี่ใช้อะไรไถน่ะ” “ใช้ควายคะ” ตาตอบ ซามูเอลนิ่งไปพักใหญ่แล้วเขาก็พูดว่า “นั่นคือ ค่าจ้าง ไม่ตกลงก็ไปซะ” เด็ก ๆ ตกตะลึง นี่มันปล้นกันชัด ๆ มิก้าทนไม่ไหวเลยตะโกนใส่หน้าซามูเอล “นี่เจ้าไม่ได้ยินที่เด็ก ๆ เล่าหรือไงกัน เขาก็บอกอยู่นี่ว่า ตัวพวกเขาแทบจะไม่มีกินแล้ว เอาควายพวกเขาไป ก็เหมือนฆ่าพวกเขานะ” “นี่ฟังนะแม่ผมแดง ให้ไปจัดการพวกเอลฟ์ฟอร์แคร์โดยไม่มีค่าตอบแทนนี่ มันฆ่าตัวตายชัด ๆ เอาล่ะพวกหนู ๆ จะตกลงมั้ย” ซามูเอลพูดน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปกันดีกว่าตากับจาง ข้าจัดการเรื่องนี้ได้” มิก้าพาเด็ก ๆ เดินออกไป ซามูเอลส่ายหน้าเขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “เถ้าแก่ สงสัยต้องทำความสะอาดหน้าร้านหน่อยนะ” “เออ ๆ อย่าให้เข้ามาในร้านก็แล้วกัน” เถ้าแก่พูดเสียงเรียบเฉย มิก้าพาตา กับ จางออกมา ก็เจอโดโนแวนเอานักธนูมาจำนวนมาก และจ่อธนูไปทางทั้งสาม มิก้ากังวลถ้าเป็นเธอคนเดียว คงจัดการพวกนี้ได้ไม่ยาก แต่นี่มีเด็กด้วย เธอเลยต้องระวัง “นังตัวดีหาแกเจอจนได้ อย่าคิดต่อสู้นะโว้ย ถ้าไม่อยากกลายเป็นหมอนปัก...” โดโนแวนพูดยังไม่ทันจบเขารู้สึกว่ามาอะไรแหลม ๆ มาจ่อคอของเขา มันเป็นมีดปลายแหลม ที่ด้ามมีวงแหวนสำหรับควง ซามูเอลนั่นเอง ทุกคนตกตะลึง นินจาไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมไม่มีใครเห็นด้วย ! “เอาล่ะ ไอ้อ้วนเรามาประหยัดเวลาและคำพูดกันนะ แกให้พลธนูของแกถอยไป ไม่งั้นคงไม่ต้องบอกมั้ง” “ได้ ๆ ลดธนูลงแล้วไปไกล ๆ เลย” โดโนแวนสั่ง พวกพลธนูทำตาม ซามูเอลฟาดโดโนแวนสลบไปทันที เด็กสองคนมองหน้ากันแล้วพูดว่า “ก็ได้เราจ้างท่าน ซามูเอล” ซามูเอลพยักหน้า มิก้าแม้จะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับในฝีมือของซามูเอล การเดินทางไปหมู่บ้านของเด็ก ๆ แม้จะไม่ได้ลำบากแต่ก็เป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร ซามูเอลกับมิก้าก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่าเด็ก ๆ เดินทางมาได้ไง มิก้าจึงตัดสินใจถามว่า “พวกเจ้าเดินทางมาได้ไงเนี่ย มันไม่ใช่ใกล้ ๆ เลยนะ” “ข้าเอาของมาขายกับพ่อบ่อย ๆ เลยจำทางได้ครับ” จางตอบอย่างภูมิใจ การเดินทางใช้เวลาสามวัน เต็ม ๆ ระหว่างทางมิก้าเริ่มสนิทกับเด็ก ๆ มากขึ้น ผิดกับซามูเอลเขาเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรเด็ก ๆ มากนัก เวลากิน เขาจะเอาหน้ากากมาปิดหน้าช่วงบน ทำให้รู้ว่าจริง ๆ เขามีปากที่ค่อนบางและจมูกค่อนข้างโด่ง แต่กระนั้นก็ยังบอกไม่ได้ว่าหน้าตาเขาเป็นไงกันแน่เมื่อเจอพายุทะเลทรายคณะเดินทางต้องรีบหาที่กำบังโดยด่วนเพราะขืนฝืนเดินทางต่อไปก็จะเป็นอันตราย เพราะมองอะไรแทบไม่เห็น แต่ จู่ ๆ ก็มีคนถูกสังหารไปที่ล่ะคนทุกต้องตั้งท่าเต็มเตรียมพร้อม แต่ไม่รู้เลยว่าศัตรูจะมาทางไหน ซามูเอลรู้สึกถึงบางอย่างโดยสัญชาตญาณ เขาเอามีดขว้างออกมาและซัดไปปักที่พื้น พื้นมีร่างหนึ่งกระโดดออกมา ซามูเอลซัดมีดบินไปอีกแต่ร่างนั้นมุดดินหนีไปต่อหน้าตาเขา“นินจาทะเลทราย ทุกคนระวังที่พื้นเอาไว้ !” ซามูเอลตะโกนขึ้นมา อาลีและเฉินกวงได้ยินก็สั่งให้ทหารแทงอาวุธลงที่พื้นทันที ก็มีหลายคนที่พลาดถูกลอบสังหารไปเหมือนกันนินจาทะเลทรายคือ ลูกหลานนินจากลุ่มที่ข้ามมิติมาในช่วงต้นยุคเคออส แล้วตัดสินใจมาอยู่ที่ดินแดนบักกรียะ พวกนี้ใช้ชีวิตร่วมกับหลายเผ่า เชี่ยวชาญการใช้เวทย์มนตร์สายดินและลม ไฟ การใช้พิษ คำสาปชนิดต่าง ๆ การใช้สัตว์มีพิษ การฝึกนก แต่เหนือกว่าสำนักอื่นคือ พวกนี้เชี่ยวชาญวิชามุดดิน เป็นพิเศษ เรียกได้พวกนี้สามารถแอบตัวอยู่ในพื้นดินทรายได้เป็นวัน ๆ โดยไม่ต้องกินอาหารหรือน้ำเลย รวมทั้งทุกรู้เรื่องเกี่ยวกับทะเลทราย พวกนี้รับงานประเภทปล้นมากกว่างานชนิดอื่น และไม่สนด้วยว่าใครจะจ้า
เหล่าชาวบ้านกรีดร้องและรีบหาที่ซ่อนทันที ไซคอร์ปมีรูปร่างอ้วนสูงใหญ่เหมือนกับช้าง มีตาเพียงดวงเดียว แต่ใหญ่พอ ๆ กับแตงโม ปากกว้าง ผิวของมันเป็นสีน้ำตาลย่น ๆ มันถือต้นไม้ทั้งต้นเป็นอาวุธ และแย่ก็คือมีก็อปลินตามมันด้วยฝูงใหญ่ เพราะมันรู้ว่าตามมาก็จะมีอาหารกินแน่ ๆ เหล่านักผจญและทหารเข้าต่อสู้ แต่ก็ถูกมันใช้ต้นไม้ฟาดกระเด็น และหากมีใครโจมตี ก็อปลินจะโจมตีซ้ำทันที แต่ซามูเอลกลับเห็นจุดเล่นงานมัน เขาวิ่งไปนิ้วก้อยเท้าของมัน ชูอาวุธด้านที่เป็นค้อนและทุบไปเต็มแรง ทำให้เล็บของมันถึงกับร้าว เจ้าไซคอร์ปร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ซามูเอลรีบถอยออกมา ซึ่งที่ซามูเอลทำถือว่าแปลกมากในสายตานักผจญภัยเพราะ ปกติการล่าไซคอร์ปนั้นจะเล่นงานที่มุมสูงแต่ซามูเอลกลับเล่นงานที่มุมต่ำ แต่เหมือนเฉินกวงจะเข้าใจเลยออกคำสั่งกับเหล่าทหารว่า“ไปโจมตีที่เล็บเท้ามัน อย่าเล็งมุมสูง”เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าทหารก็ทำตาม ซึ่งได้เหมือนจะได้ผล เล็บเท้าทุกเล็บของมันถูกลาย เลยทำให้มันล้มไป ถูกเหล่าทหารกระหน่ำอาวุธฆ่าตายไปทันที เมื่อเจ้าไซคอร์ปตายแล้ว พวกก็อปลินก็หนีไปเช้าวันต่อมา พวกทหารและชาวบ้านช่วยกันกำจัดซากไซคอร์ป ซึ่งการฆ่า
ที่แนวหลัง พวกทหารต้องเจอกับเจ้าก็อปลินตัวหนึ่ง มันเกาะอยู่บนตัวหมีขนาดยักษ์ และมันยังควบคุมหมีให้โจมตีเหล่าทหารและยังมีก็อปลินขี่หมาป่ามาร่วมด้วยอีก เมื่อเจ้าพวกนี้ขี่สัตว์แล้ว มันจะมีพลังมากขึ้นอีก แจนพยายามยิงกระสุนหิน สร้างโกเล็มมาสกัดเอาไว้ และเสกเถาวัลย์มาจับร่างของพวกมัน แต่เจ้าหมียักษ์นั้นแข็งแรงมาจนต้านได้ทุกอย่าง มิก้าเลยออกไปต่อสู้และฟาดขวานใส่ร่างของมัน แต่หนังของมันหนากว่าที่คิด เจ้าหมียักษ์ตบกรงเล็บมา แต่มิก้าหลบได้ อย่างหวุดหวิด มีก็อปลินสามตัวเข้าใกล้รถม้าได้แล้ว แต่ว่าพวกมันกลับกระเด็นและล้มลงไป แจนเห็นก็แปลกใจแต่ไม่มีเวลามาใส่ใจมากนักเธอตัดสินใจใช้เวทย์ “ธรณีสูบ !” เธอฟาดคราดไปที่พื้นดินเต็มแรง ดินที่พวกก็อปลินที่อยู่ใกล้ ๆ เธอกลายเป็นโคลนดูดร่างของพวกมันลงไป ส่วนมิก้าเธอกำลังลำบากเพราะเธอ ทำอะไรเจ้าหมีแทบไม่ได้ เลยตัดสินใช้เวทมนตร์เสริมพลัง ร่างของเธอเปล่งแสงออกมา และกระโดดฟันเจ้าหมีที่หัวพร้อมกับก็อปลินที่บังคับมันอยู่ พวกก็อปลินหนีไปแล้ว เหตุสงบลง แจนมาดูซากของก็อปลินสามตัวพบว่า พวกมันตายเพราะโดนพิษ ทำให้รู้เลยว่าในร
“ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเจ้าอยู่กับน้องหญิงข้ามานานแล้ว ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะมีอันตราย”โมลี่ฮัวมองพี่ชายน้ำตาเริ่มคลอเป้า“เป็นอะไรไปเหรอ” องค์ชายหู่ถาม“ยังจะมาถามอีก เจ้าพี่หม่อนฉันกำลังจะไปต่างแดน นะจะให้ดีใจหรือไง” โมลี่ฮัวพูด องค์ชายหู่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า“มันเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าเลี่ยงไม่ได้หรอก ทำใจให้ชิน มันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดก็ได้”“ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวมาก่อน จะรักเขาได้เยี่ยงไร”“เจ้าไม่ได้แต่งงานด้วยอารมณ์เจ้าแต่งเพราะหน้าที่ จำไว้และอีกอย่างเขาคงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกไม่งั้น เสด็จพ่อไม่มีทางยกเจ้าให้เขาหรอก” องค์ชายหู่พูด โมลี่ฮัวไม่อยากเถียงอะไรด้วยอีก เลยกินข้าวร่วมกับทุกคน“เจ้าสี่คนจะตามไปด้วยสินะ” องค์ชายหู่ถามนางกำนัลคนสนิททั้งสี่ โมลี่ฮัวรีบพูดว่า“ข้าขอเสด็จพ่อแล้ว” องค์ชายหู่พยักหน้า และร่วมกินอาหารกับน้องสาว ที่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เช้าวันต่อมา คณะเดินก็พร้อม หัวหน้าการเดินทางนี้ คือ ขุนพลนามวาส เฉินกวง เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ หน้าเข้ม ไว้หนวด ดูเคร่งขรึมและจริงจังตลอดเวลา เขามองไปที่กลุ่มนักผจญภัยแล้วก็ถอนใจ ก่อนจะประกาศว่า“ข้าไม
“ก็แน่ล่ะ งานต้องผ่านดินแดนบัคกรียะ พวกข้าถนัดนักล่ะ” อาลีพูด จริงอยู่ในงานปราบมนุษย์หนูพวกของอาลีอาจจะทำได้ไม่ดีนัก แต่เรื่องความเชี่ยวชาญในการเดินทางไปทะเลทรายนี่จัดว่าชำนาญมากก็ไม่แปลกเลยที่จะถูกจ้าง สักพักมีประกาศดังขึ้นมา“ให้เหล่านักผจญภัยไปรายงานตัวสนามกลางในวังได้”ประตูวังเปิดออกมา ทุกคนเดินเข้าไป สนามกลางนั้นเป็นสนามขนาดใหญ่จุดคนได้เป็นร้อยคน และมีทหารยืนคุ้มกันอยู่เต็มไปหมด พื้นถูกปูด้วยหิน มีบันไดหินสูงชันมองตามขึ้นไปเห็นวังที่เป็นศิลปะแบบชาวเทียน ที่ดูยิ่งใหญ่และงดงาม เสียงประกาศดังลั่น “ฮ่องเต้ไป่เทียน เสด็จ” สิ้นเสียงประกาศเหล่าทหารก็คุกเข่า กาย กับซามูเอลก็เช่น มิก้าทำตาม แจนตอนแรกจะไม่ทำเพราะไม่อยากคุกเข่าให้มนุษย์ แต่กายสะกิดนางแล้วพูดว่า “ไม่คุกเข่าหัวขาดนะ รีบทำเข้า อย่าเอาชีวิตมาทิ้งแบบนี้”แจนเลยต้องทำตาม ฮ่องเต้ไป่เทียนนั่งอยู่บนรถเข็นที่เข็นโดยขันที เขาเป็นชายวัย 60 เศษ ร่างผอมสูง ไว้หนวดเคราสีดำหน้าขาวซีด ถ้าไม่ใช่เพราะชุดสีทองที่สวมอยู่ เขาจะดูเหมือนคนป่วยคนหนึ่งเท่านั้น มีชายเดินตามมาสามคน คนแรกเป็นชายวัยสามสิบต้น ๆ หน
ซามูเอลไม่ตอบเขาเอาลูกธนูออกมาดู แล้วพยักหน้า เรือไวกิ้งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เหล่านักผจญภัยที่เก่งเรื่องการโจมตีระยะไกลรีบยิงอาวุธเข้าไปสกัด แต่เรือไวกิ้งก็ยังพุ่งเข้ามา แถมโยเรสยังสั่งให้ พวกของตนเองยิงหน้าไม้สวนกลับแต่สิ่งที่พวกมันยิงมาหาใช้ลูกศรไม่ แต่เป็น ลูกเหล็กมันพุ่งมาโดนนักผจญภัยบาดเจ็บไปหลาย แจนรีบเสกกำแพงหินมาสกัดเอาไว้ ซามูเอลขว้างลูกศรไปมันพุ่งไปปักร่างของไวกิ้งคนหนึ่ง และขวางต่อไปไม่หยุด ซึ่งทุกดอกที่ขว้างออกไปนั้น ต้องมีไวกิ้งได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายทุกครั้ง ความแม่นยำของเขาไม่ธรรมดาเลย มิก้าเห็นดังนั้นเธอก็เก็บลูกเหล็กมาลูกหนึ่งและขวางไปบ้าง เฉียดหูของโยเรสไปนิดเดียว มันโกรธตะโกนร้องสั่งลูกน้องทันที “เข้าไปเทียบเรือของมันให้ได้ รีบไป!”เรือไวกิ้งพุ่งมาด้วยความเร็วชนเรือของตงจี่ สั่นไปทั้งลำพวกไวกิ้งเหวี่ยงโซ่ติดตาขอมา มาเกี่ยวเรือเอาไว้และพวกมันก็บุกขึ้นเรือมาแล้วเสียงอาวุธกระทบกัน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ดังไปทั้งลำ เมื่อเหล่าไวกิ้ง เผชิญหน้ากับเหล่านักผจญภัย ย่อมเป็นสงครามย่อย ๆ แน่นอน ซามูเอลใช้วิธีต่อสู้ที่ผิดกับคนอื่น คือ หลบแล้วหาจังหวะมาโจมตีพวกไวกิ้ง