Share

บทที่ 2

เสียงอึกทึกครึกโครมทำให้หลินที่กำลังยืนงงด้วยความจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะจู่ ๆ หลังจากเธอลืมตาขึ้นมาจากแสงสว่างเจิดจ้าสถานที่รอบตัวก็เปลี่ยนไป ในขณะเดียวกันนั่นเองได้มีเด็กนักเรียนชายหัวเกรียนกลุ่มหนึ่งวิ่งใกล้เข้ามาทางด้านหลัง

“เฮ้ย! ไอ้ใช้เอ็งอย่าหนีนะ” เสียงตะโกนทำให้หลินที่ยังไม่รู้สถานการณ์หันหน้าไปมองและเมื่อเห็นว่าหนึ่งในนั้นกำลังตั้งท่าโกยหน้าตั้งวิ่งหนีคนที่ชี้นิ้วเรียกตัวเองหลินก็รู้สึกทนไม่ได้ที่คนมากรังแกคนน้อย

“ไอ้เด็กพวกนี้” เธอกัดฟันกรอดก่อนที่จะพุ่งสวนทางไปทางเด็กวัยมัธยมกางเกงขาสั้นสี่ห้าคนโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับร่างกาย

“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้จักไปโรงเรียนมาไล่ตีกัน แม่จะฟาดเสียให้เข็ด” คนพูดหันซ้ายแลขวาเพื่อหาอาวุธ

เมื่อดวงตากลมของเธอปะทะเข้ากับไม้ท่อนหนึ่ง เจ้าตัวก็วิ่งไปทางไม้ท่อนนั้นทันที

“แหมกำลังเหมาะมือทีเดียว” หล่อนพูดโดยที่ไม่ได้สังเกตสิ่งใด

หลินถือไม้ท่อนนั้นมาทางนักเรียนสี่คนที่กำลังวิ่งไล่ชี้มือมาทางเด็กชายผมเกรียนอีกคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย

เฟี้ยว! “เฮ้ย!” “เชี่ย!” ไม้ท่อนนั้นปลิวหวือมาตรงหน้าของมันสี่คนแบบพอดิบพอดี “ไม้? มาจากไหนวะ” พวกมันหยุดฝีเท้ากะทันหันจึงทำให้ร่างกายซวนเซ

ส่วนคนที่กำลังยืนปัดมือของตนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว กำลังผงะเมื่อในตอนนี้มองเห็นมือของตนทั้งสองข้าง

(เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมมือถึงได้หดเล็กเหลือแค่นี้) และในขณะที่หลินกำลังตกอยู่ในอาการสับสน

“ไอ้ใช้ มึงลอบกัดพวกกู” หนึ่งในสี่คนชี้นิ้วโวยวายพร้อมกับตั้งท่าจะวิ่งมาต่อยตีคนที่หยุดฝีเท้าลงเหมือนกัน

(ใช้เหรอ?) หลินละจากมือของตัวเองหันไปตามต้นเสียงและเมื่อสองตามองเห็นเด็กชายคนหนึ่งอย่างชัดเจนร่างกายของเธอก็ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

เด็กเจ้าของชื่อคนนั้นกำลังยกมือโบกไปมาสีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน “กูเปล่า” เขารีบปฏิเสธส่ายหัวไปมาพลางกวาดตามองไปโดยรอบเพื่อหาคนก่อเรื่อง

ซึ่งเด็กหญิงก็กำลังมองเขาอยู่ด้วยความตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะโผมาทางเด็กชายหน้าขาวคนนี้

“ป๊า!” เจ้าตัวน้อยตะโกนเสียงดังพร้อมกับฝีเท้าของเธอก็วิ่งเข้ามาทางเด็กชายที่กำลังหันซ้ายมองขวา

ลูกกระสุนเล็ก ๆ ก้อนนั้นปะทะเข้ากับร่างผอมบางของเด็กชายจนก้นกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

“โอ้ย! เจ็บ” เขาเอามือยันพื้นร้องโอดโอยท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึงของพวกคู่ปรับ

“เฮ้ย! นั่นอะไรวะ” หนึ่งในสี่ชี้นิ้วพูดเสียงดัง

“ไอ้ใช้ เมื่อตะกี้กูได้ยินว่าเด็กคนนั้นเรียกมึงว่าป๊า เชี่ย! มึงเป็นพ่อคนตอนไหนวะ” พวกมันพากันหัวเราะอย่างขบขัน

เด็กชายเจ้าของชื่อใบหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย (แม่งเอ๊ย! อั๊วเพิ่งสิบสี่) เขาสบถในใจ

“ไอ้เปี๊ยก ลุกได้หรือยังอั๊วเจ็บ” มือของเขาพยายามดันร่างเล็กจ้อยที่ทับขาของตนออก

แต่แล้ว “ฮือ ๆ ๆ ” เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยทำให้มือของเขาชะงักค้าง ส่วนเด็กชายอีกสี่คนที่เมื่อสักครู่ยังวิ่งไล่ล่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตายก็มีใบหน้าไม่ชวนมองเหมือนกัน

“ไอ้ใช้! มึงรังแกเด็กทำไมวะ” หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นหัวหน้าของเด็กอีกสามรีบสาวเท้าเข้ามาทางเด็กน้อยตวาดเจ้าของชื่อเสียงดัง

“ไอ้เชี่ยทูน มึงช่วยเอาตาดูให้ดี ๆ ได้ไหมกูยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ผู้ถูกกล่าวหาเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเอง

“ไม่ทำแล้วเด็กจะร้องได้ยังไงวะ แม้พวกเราจะเป็นนักเลงแต่เด็กกับผู้หญิงคนแก่ห้ามรังแกนะโว๊ย” เด็กชื่อทูนพูดอย่างโมโหโดยที่มือของเขาได้เอื้อมไปยกตัวของเด็กน้อยขึ้นจากพื้น

ทว่า... มือของเด็กน้อยยังคงเกาะขาของคนเป็นพ่อไม่ยอมปล่อย

(เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราแล้วทำไมป๊าถึงกลายมาเป็นนักเรียน โอ้ย! แล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย) หลินกำลังอยู่ในอารมณ์สับสนจึงไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำให้เด็กวัยซนห้าคนนี้กำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก

“หนูน้อยปล่อยขาไอ้ใช้มันก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาไปกินหนม” ทูนพูดหลอกล่อ

“ลูกพี่ ผมคิดว่าคำพูดแบบนี้ฟังดูแม่ง ๆ นะ” เด็กชายผมเกรียนสวมแว่นตาที่ไม่น่าจะเข้ามารวมกลุ่มท้วง

“เชี่ย! แล้วกล่อมเด็กต้องพูดแบบไหนวะ ไม่งั้นมึงลองดูดิ” ถึงเจ้าตัวจะพูดแบบนั้นก็ยังไม่ได้ปล่อยมือจากเด็กน้อยด้วยกลัวเจ้าตัวเล็กจะหน้าคะมำ

“หนูน้อยบอกพี่มาว่าบ้านอยู่ไหนพวกเราจะพาไปส่งดีไหมครับ” คนใส่แว่นตาดูท่าทางเรียบร้อยถามอย่างนุ่มนวล

หยาดน้ำตาของเด็กหญิงยังคงคลอหน่วยยามเมื่อเงยหน้าสบตากับเหล่าเด็กชายวัยทโมน

พวกมันพากันเกิดความเอ็นดูเจ้าตัวน้อยขึ้นมาทันที “ฉันไม่ใช่เด็ก” เสียงน้ำนมทำให้เจ้าตัวนิ่งงันอีกคำรบ

ความรู้สึกน่ากลัวผุดขึ้นในจิตใจและยิ่งเมื่อเธอมองมือเล็กป้อมอันสกปรกมอมแมม ปากก็เบะออกก่อนตามมาด้วยน้ำตาเม็ดโต

“ไม่จริง!! แง ๆ ๆ” เจ้าตัวเล็กยกมือปิดหน้าร้องไห้ทั้งที่ความจริงเธอไม่ได้อยากจะหลั่งน้ำตาแต่คล้ายกับว่าในตอนนี้หลินไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

(มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันแล้วทำไมจะต้องร้องไห้ด้วย)

“เชี่ยไอ้กิ่งมึงทำเด็กร้องไห้” เด็กผมเกรียนเจ้าของชื่อใบหน้าเหลอหลา “กูเปล่า น้องร้องเองต่างหาก” เขาปล่อยมือจากเด็กหญิงทำให้ร่างน้อยกำลังจะล้มลงกับพื้น

“แม่งมึงระวังหน่อยสิวะ” มือของใช้เอื้อมไปจับร่างเล็กนั้นเอาไว้ได้ทัน ในตอนนี้เจ้าตัวหาได้กลัวเด็กรุ่นเดียวกันทั้งสี่อีกต่อไป

ในระหว่างที่หลินกำลังควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้อยู่นั้นเสียงเป่านกหวีดจากใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างอันอวบอ้วนของเขา

“พวกมึงนี่นะให้เรียนไม่เรียน ไปเลยกลับไปรับโทษ แล้วนั่นเด็กที่ไหนร้องไห้อย่าบอกนะว่าพวกมึงรังแกเด็ก” ใบหน้าอวบอูมของคนพูดแดงก่ำ เขาไล่เรียงชี้หน้าเด็กหัวเกรียนลูกศิษย์ทีละคนอย่างคาดโทษ

“พวกผมเปล่ารังแกนะครับครู จู่ ๆ เด็กคนนี้ก็โผล่มาจากนั้นก็เอาแต่ร้องไห้” ใช้อธิบาย

“มึงหยุดเลย เอ็งนั่นแหละตัวดีเพิ่งจะอยู่ม.ศ.2 ก็ไม่รักเรียนทำให้ม๊ามึงร้องไห้ไม่หยุดไม่หย่อนยังจะแก้ตัวอีก” ชายคนนั้นชี้หน้าเจ้าของชื่อด้วยความเดือดดาล

ในบัดนี้เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงเบาบางลงไปมากแล้วทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวค่อนข้างตระหนกเมื่อได้ยินคำกล่าวของคนร่างอ้วน

(ม.ศ.2 นี่มันเรื่องบ้าอะไร อย่าบอกนะว่าเรื่องนาฬิกานั่นเป็นจริง) ปิ่งป่อง! เด็กน้อยเธอเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว เมื่อได้กลับมาจงใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าล่ะ เสียงนั้นดังขึ้นในหัวเพียงเสี้ยววิก่อนจะหายไป

ใบหน้าของหลินเต็มไปด้วยเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากร่างกายของเธอเริ่มโอนเอนก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะดับลง

“เฮ้ย!” ทั้งลูกศิษย์และครูต่างพากันร้องเสียงหลง

ในความฝันของหลินเจ้าตัวได้พบกับหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งใบหน้าของหล่อนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มชวนมอง

“อาหลินลื้อมาแล้ว” น้ำเสียงของคนพูดแม้จะฟังไม่ชัดแต่เธอก็ฟังเข้าใจ

“อาม่าหรือคะ” เธอย้อนถามอย่างไม่แน่ใจเนื่องจากภาพของหญิงสูงวัยในความทรงจำนั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร

“จะว่าใช่ก็ได้จะว่าไม่ก็ได้ อั๊วเป็นเจี่ยเจี่ยของอาม่าลื้อ” คนผู้นั้นเฉลย “เอ๋! ไม่ใช่ว่า..” เธอหยุดคำพูดของตน

“ใช่อั๊วตายไปนานแล้ว” ใบหน้านั้นยังคงยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นหนูตายแล้วหรือคะ” น้ำเสียงของคนพูดฟังดูหมองหม่น หญิงชราหัวเราะ

“ยัง อั๊วแค่อยากให้ลื้อได้ทำตามคำพูดของตนก่อนหน้าก็เลยพามาที่นี่” น้ำเสียงเจือแววเอ็นดูของคนพูดทำให้หลินเงยหน้ามองด้วยสีหน้ามึนงงแฝงความสับสน

“เอาเถอะ เอาไว้ลื้อก็เจอคำตอบเองนั่นแหละ เดินมานี่อั๊วมีอะไรจะให้” หญิงวัยกลางคนกวักมือก่อนจะนำถุงสีแดงปักด้วยด้ายสีทองมีเชือกแดงเส้นยาวคล้องคอให้เด็กหญิงที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก

“นี่คืออะไรหรือคะ” หลินจับถุงใบนั้นถามด้วยความอยากรู้ระคนสงสัย

“เงิน ถือว่าเป็นของขวัญมีอยู่ไม่มากจงใช้ให้เกิดประโยชน์เล่า ถึงเวลาที่ลื้อต้องไปแล้วอย่าลืมแก้ไขพฤติกรรมของป๊าลื้อให้ดีนะ”

สิ้นสุดคำพูดนี้เด็กหญิงผู้กำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลก็ค่อย ๆ ขยับเปลือกตาก่อนจะเปิดขึ้นทั้งหมด

“ฟื้นแล้ว!” น้ำเสียงนี้นำพาความยินดีมาให้กับครูผู้ชายรูปร่างท้วมไม่น้อย

“ครูปรีดาคะ ใจเย็น ๆ ค่ะเดี๋ยวเด็กก็ตกใจจนเป็นลมไปอีกหรอก” น้ำเสียงกึ่งหยอกเย้าของครูประจำห้องพยาบาลทำให้เจ้าของชื่อรู้สึกกระดากอาย

“แหะ ๆ ผมลืมตัวไปหน่อยครับ”

โครก!! เสียงท้องร้องทำให้ครูทั้งสองในห้องพากันมองมาทางคนตัวเล็กพร้อมกัน “คือ...หนู” หลินรู้สึกอายเป็นอย่างมาก

“หิวใช่ไหมจ๊ะ หนูรอครูสักครู่นะ ครูจะไปหาของกินมาให้” น้ำเสียงอันอ่อนโยนทำให้หลินตอบรับอย่างว่าง่าย “ค่ะ”

เมื่อครูผู้หญิงเดินออกไปเธอก็มองเห็นครูร่างท้วมที่จำได้ว่าเป็นครูที่ตวาดใส่กลุ่มของเด็กหัวเกรียนเจ้าตัวจึงได้เผลอยิ้มออกมายามเมื่อเห็นท่าทางของเด็กพวกนั้น

ดวงตากลมโตของเธอกวาดมองไปทั่วห้องจนกระทั่งเจอเข้ากับตู้กระจก ครูปรีดารู้สึกเป็นห่วงเด็กน้อยยามเมื่อเห็นว่าเธอนั่งนิ่งผิดปกติ

“หนู! เกิดอะไรขึ้นเหรอลูกหรือว่าเจ็บตรงไหน” น้ำเสียงของเขาผิดกลับที่พูดกับเด็กจอมซนทั้งห้าลิบลับ

แม้หลินจะเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนหน้าว่าในตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่โลกเดิม เพียงแต่รูปลักษณ์ที่เธอเห็นในตอนนี้ทำให้เธอช็อกไปแล้ว (แม่เจ้าฉันตัวเล็กแค่นี้แล้วจะไปจัดการกับปะป๊าจอมแสบได้ยังไง)

เธอคิดเพียงแค่นี้น้ำตากับเสียงที่เจ้าตัวพยายามควบคุมก็ดังลั่นห้องพยาบาล (ฉันไม่ได้อยากจะร้องไห้สักหน่อย) ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล

ครูปรีดาผู้ปราบเด็กเกเรมามากมายถึงกับมีอาการแตกตื่นยามเมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์เฉกเช่นในตอนนี้

“ครูปรีดาคะ เด็กเป็นอะไร” เสียงอันอ่อนโยนทำให้หลินเริ่มสงบอาการของตนลง

“โอ๋ ๆ นะคะลูก ไม่ร้องแล้วนะหิวมากเลยหรือคะ ดูสิครูเอาอะไรมาให้หนูกิน” คุณครูประจำห้องพยาบาลรีบสาวเท้าเดินเข้าไปทั้งกอดและปลอบโยกตัวเด็กน้อยไปมา

(ครูคนนี้ใจดีเหลือเกิน) หลินคิดพลางเงียบเสียงของตนลงคงเหลือเพียงเสียงสะอื้นบางเบา

“เด็กท่าจะหิว” ครูปรีดาพูดยามเมื่อมองเด็กน้อยที่มือหนึ่งถือกล่องนมส่วนมืออีกข้างถือขนมปังก้อน

“นั่นสิคะ ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าใคร ครูปรีได้แจ้งตำรวจหรือยังคะ” คุณครูสาวบ่ายหน้าไปถามครูวัยเดียวกัน

“แจ้งแล้วครับแต่เขาบอกว่าในเมื่อไม่มีเบาะแสก็ขอฝากพวกเราเอาไว้ก่อน หากว่าไม่มีใครมาแจ้งว่าเด็กหายเห็นทีว่าคงต้องส่งเด็กเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” ครูวัยสามสิบกลางถอนหายใจหลังจากพูดตามที่เจ้าหน้าที่บอก

ส่วนหลินในคราบของเด็กน้อยแม้จะได้ยินแต่เธอก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเคี้ยวขนมปังในมือจนแก้มป่อง

“แกน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ใครกันหนอทิ้งได้ลงคอ”

ผกาผู้มีหลานสาวในวัยเดียวกันกับเด็กหญิงเอ่ยด้วยความสงสาร “บางทีอาจจะไม่มีอะไรเลวร้ายนักก็ได้ครับ ผมขอฝากเด็กเอาไว้ก่อนนะครับ เจ้าตัวเล็กเดี๋ยวครูกลับมานะอยู่กับครูผกาอย่าดื้อล่ะ” คนพูดบอกเพื่อนร่วมงานก่อนเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยกับเด็กหญิงผู้ที่กำลังส่งยิ้มตาปิดมาให้ตน

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • OMG!! ฉันย้อนเวลากลับมาเจอปะป๊าตอนเขาอายุ14    บทที่ 180

    ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ อู๋หนิงที่ตอนนี้ได้มีกิจการร้านหม้อไฟใหญ่โตในปักกิ่งก็ก้าวเข้ามาโอบกอดร่างเล็กของหลินไว้ด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างประหลาด น้ำตาไหลรินอาบแก้ม "แม่หนู...ในที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง" ก่อนที่ทุกคนจะหายจากความสับสน เสี่ยวหนิวก็เป็นฝ่ายอธิบาย "คุณย

  • OMG!! ฉันย้อนเวลากลับมาเจอปะป๊าตอนเขาอายุ14    บทที่ 179

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย... จากทารกน้อยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนยิ้มแต้ในเปล บัดนี้ "อาหมวยน้อยหลิน" เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยห้าขวบที่ฉลาดและน่ารักเกินวัย เธอกำลังจะเตรียมตัวเข้าโรงเรียนอนุบาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเด็กหญิงได้เห็นกิจการของครอบครัวเ

  • OMG!! ฉันย้อนเวลากลับมาเจอปะป๊าตอนเขาอายุ14    บทที่ 178

    เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี...ชีวิตของทุกคนในครอบครัวตงและครอบครัวสาขาต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเปี่ยมด้วยความสุข กิจการร้านหมูกระทะขยายสาขาไปอีกหลายแห่งภายใต้การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตามที่อาทิตย์จัดการ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนยิ่งมั่นคง และแล้วข่าวดีที่ทุกคนรอคอยก็มาเยือนครอบ

  • OMG!! ฉันย้อนเวลากลับมาเจอปะป๊าตอนเขาอายุ14    บทที่ 177

    โอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาได้มาเคาะประตูอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว หลังจากได้ปรึกษาหารือกันในครอบครัวอย่างละเอียด ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่านี่คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจจะปล่อยให้หลุดลอยไปได้ เคี้ยงจึงได้ตอบตกลงรับข้อเสนอของคุณสมชายผู้จัดการห้างซิตี้มอลล์ในที่สุด ไม่นานนักทีมงา

  • OMG!! ฉันย้อนเวลากลับมาเจอปะป๊าตอนเขาอายุ14    บทที่ 176

    เวลาผ่านไปอีกหกเดือน... หลินน้อยเติบโตขึ้นเป็นทารกที่จ้ำม่ำน่ารักน่าชัง ผิวขาวผ่องและมีดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส เป็นที่รักและเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ทั้งอากงตงและอาม่าเคี้ยงที่ตอนนี้มีความสุขกับการได้เลี้ยงหลานคนแรกของลูกชายคนเล็กอย่างเต็มที่ รวมถึงลุงชัยและป้าจำปีที่มักจะพ

  • OMG!! ฉันย้อนเวลากลับมาเจอปะป๊าตอนเขาอายุ14    บทที่ 175

    ในสายตาของใครหลายคน ชัยอาจจะดูเป็นลูกชายคนโตที่ทอดทิ้งครอบครัวไปในยามที่ลำบาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวของเขาก็เต็มไปด้วยความรัก ความผิดพลาด และการเรียนรู้ที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ย้อนกลับไปในวันที่ชัยอายุเพียงสิบแปดปี เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ร้อนรนด้วยความรักที่มีต่อ "จำปี" หญิงสาวที

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status