เสียงอึกทึกครึกโครมทำให้หลินที่กำลังยืนงงด้วยความจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะจู่ ๆ หลังจากเธอลืมตาขึ้นมาจากแสงสว่างเจิดจ้าสถานที่รอบตัวก็เปลี่ยนไป ในขณะเดียวกันนั่นเองได้มีเด็กนักเรียนชายหัวเกรียนกลุ่มหนึ่งวิ่งใกล้เข้ามาทางด้านหลัง
“เฮ้ย! ไอ้ใช้เอ็งอย่าหนีนะ” เสียงตะโกนทำให้หลินที่ยังไม่รู้สถานการณ์หันหน้าไปมองและเมื่อเห็นว่าหนึ่งในนั้นกำลังตั้งท่าโกยหน้าตั้งวิ่งหนีคนที่ชี้นิ้วเรียกตัวเองหลินก็รู้สึกทนไม่ได้ที่คนมากรังแกคนน้อย
“ไอ้เด็กพวกนี้” เธอกัดฟันกรอดก่อนที่จะพุ่งสวนทางไปทางเด็กวัยมัธยมกางเกงขาสั้นสี่ห้าคนโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับร่างกาย
“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้จักไปโรงเรียนมาไล่ตีกัน แม่จะฟาดเสียให้เข็ด” คนพูดหันซ้ายแลขวาเพื่อหาอาวุธ
เมื่อดวงตากลมของเธอปะทะเข้ากับไม้ท่อนหนึ่ง เจ้าตัวก็วิ่งไปทางไม้ท่อนนั้นทันที
“แหมกำลังเหมาะมือทีเดียว” หล่อนพูดโดยที่ไม่ได้สังเกตสิ่งใด
หลินถือไม้ท่อนนั้นมาทางนักเรียนสี่คนที่กำลังวิ่งไล่ชี้มือมาทางเด็กชายผมเกรียนอีกคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
เฟี้ยว! “เฮ้ย!” “เชี่ย!” ไม้ท่อนนั้นปลิวหวือมาตรงหน้าของมันสี่คนแบบพอดิบพอดี “ไม้? มาจากไหนวะ” พวกมันหยุดฝีเท้ากะทันหันจึงทำให้ร่างกายซวนเซ
ส่วนคนที่กำลังยืนปัดมือของตนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว กำลังผงะเมื่อในตอนนี้มองเห็นมือของตนทั้งสองข้าง
(เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมมือถึงได้หดเล็กเหลือแค่นี้) และในขณะที่หลินกำลังตกอยู่ในอาการสับสน
“ไอ้ใช้ มึงลอบกัดพวกกู” หนึ่งในสี่คนชี้นิ้วโวยวายพร้อมกับตั้งท่าจะวิ่งมาต่อยตีคนที่หยุดฝีเท้าลงเหมือนกัน
(ใช้เหรอ?) หลินละจากมือของตัวเองหันไปตามต้นเสียงและเมื่อสองตามองเห็นเด็กชายคนหนึ่งอย่างชัดเจนร่างกายของเธอก็ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
เด็กเจ้าของชื่อคนนั้นกำลังยกมือโบกไปมาสีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรน “กูเปล่า” เขารีบปฏิเสธส่ายหัวไปมาพลางกวาดตามองไปโดยรอบเพื่อหาคนก่อเรื่อง
ซึ่งเด็กหญิงก็กำลังมองเขาอยู่ด้วยความตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะโผมาทางเด็กชายหน้าขาวคนนี้
“ป๊า!” เจ้าตัวน้อยตะโกนเสียงดังพร้อมกับฝีเท้าของเธอก็วิ่งเข้ามาทางเด็กชายที่กำลังหันซ้ายมองขวา
ลูกกระสุนเล็ก ๆ ก้อนนั้นปะทะเข้ากับร่างผอมบางของเด็กชายจนก้นกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง
“โอ้ย! เจ็บ” เขาเอามือยันพื้นร้องโอดโอยท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึงของพวกคู่ปรับ
“เฮ้ย! นั่นอะไรวะ” หนึ่งในสี่ชี้นิ้วพูดเสียงดัง
“ไอ้ใช้ เมื่อตะกี้กูได้ยินว่าเด็กคนนั้นเรียกมึงว่าป๊า เชี่ย! มึงเป็นพ่อคนตอนไหนวะ” พวกมันพากันหัวเราะอย่างขบขัน
เด็กชายเจ้าของชื่อใบหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย (แม่งเอ๊ย! อั๊วเพิ่งสิบสี่) เขาสบถในใจ
“ไอ้เปี๊ยก ลุกได้หรือยังอั๊วเจ็บ” มือของเขาพยายามดันร่างเล็กจ้อยที่ทับขาของตนออก
แต่แล้ว “ฮือ ๆ ๆ ” เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยทำให้มือของเขาชะงักค้าง ส่วนเด็กชายอีกสี่คนที่เมื่อสักครู่ยังวิ่งไล่ล่าเขาอย่างเอาเป็นเอาตายก็มีใบหน้าไม่ชวนมองเหมือนกัน
“ไอ้ใช้! มึงรังแกเด็กทำไมวะ” หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นหัวหน้าของเด็กอีกสามรีบสาวเท้าเข้ามาทางเด็กน้อยตวาดเจ้าของชื่อเสียงดัง
“ไอ้เชี่ยทูน มึงช่วยเอาตาดูให้ดี ๆ ได้ไหมกูยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ผู้ถูกกล่าวหาเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเอง
“ไม่ทำแล้วเด็กจะร้องได้ยังไงวะ แม้พวกเราจะเป็นนักเลงแต่เด็กกับผู้หญิงคนแก่ห้ามรังแกนะโว๊ย” เด็กชื่อทูนพูดอย่างโมโหโดยที่มือของเขาได้เอื้อมไปยกตัวของเด็กน้อยขึ้นจากพื้น
ทว่า... มือของเด็กน้อยยังคงเกาะขาของคนเป็นพ่อไม่ยอมปล่อย
(เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราแล้วทำไมป๊าถึงกลายมาเป็นนักเรียน โอ้ย! แล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย) หลินกำลังอยู่ในอารมณ์สับสนจึงไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำให้เด็กวัยซนห้าคนนี้กำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก
“หนูน้อยปล่อยขาไอ้ใช้มันก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาไปกินหนม” ทูนพูดหลอกล่อ
“ลูกพี่ ผมคิดว่าคำพูดแบบนี้ฟังดูแม่ง ๆ นะ” เด็กชายผมเกรียนสวมแว่นตาที่ไม่น่าจะเข้ามารวมกลุ่มท้วง
“เชี่ย! แล้วกล่อมเด็กต้องพูดแบบไหนวะ ไม่งั้นมึงลองดูดิ” ถึงเจ้าตัวจะพูดแบบนั้นก็ยังไม่ได้ปล่อยมือจากเด็กน้อยด้วยกลัวเจ้าตัวเล็กจะหน้าคะมำ
“หนูน้อยบอกพี่มาว่าบ้านอยู่ไหนพวกเราจะพาไปส่งดีไหมครับ” คนใส่แว่นตาดูท่าทางเรียบร้อยถามอย่างนุ่มนวล
หยาดน้ำตาของเด็กหญิงยังคงคลอหน่วยยามเมื่อเงยหน้าสบตากับเหล่าเด็กชายวัยทโมน
พวกมันพากันเกิดความเอ็นดูเจ้าตัวน้อยขึ้นมาทันที “ฉันไม่ใช่เด็ก” เสียงน้ำนมทำให้เจ้าตัวนิ่งงันอีกคำรบ
ความรู้สึกน่ากลัวผุดขึ้นในจิตใจและยิ่งเมื่อเธอมองมือเล็กป้อมอันสกปรกมอมแมม ปากก็เบะออกก่อนตามมาด้วยน้ำตาเม็ดโต
“ไม่จริง!! แง ๆ ๆ” เจ้าตัวเล็กยกมือปิดหน้าร้องไห้ทั้งที่ความจริงเธอไม่ได้อยากจะหลั่งน้ำตาแต่คล้ายกับว่าในตอนนี้หลินไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป
(มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันแล้วทำไมจะต้องร้องไห้ด้วย)
“เชี่ยไอ้กิ่งมึงทำเด็กร้องไห้” เด็กผมเกรียนเจ้าของชื่อใบหน้าเหลอหลา “กูเปล่า น้องร้องเองต่างหาก” เขาปล่อยมือจากเด็กหญิงทำให้ร่างน้อยกำลังจะล้มลงกับพื้น
“แม่งมึงระวังหน่อยสิวะ” มือของใช้เอื้อมไปจับร่างเล็กนั้นเอาไว้ได้ทัน ในตอนนี้เจ้าตัวหาได้กลัวเด็กรุ่นเดียวกันทั้งสี่อีกต่อไป
ในระหว่างที่หลินกำลังควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้อยู่นั้นเสียงเป่านกหวีดจากใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างอันอวบอ้วนของเขา
“พวกมึงนี่นะให้เรียนไม่เรียน ไปเลยกลับไปรับโทษ แล้วนั่นเด็กที่ไหนร้องไห้อย่าบอกนะว่าพวกมึงรังแกเด็ก” ใบหน้าอวบอูมของคนพูดแดงก่ำ เขาไล่เรียงชี้หน้าเด็กหัวเกรียนลูกศิษย์ทีละคนอย่างคาดโทษ
“พวกผมเปล่ารังแกนะครับครู จู่ ๆ เด็กคนนี้ก็โผล่มาจากนั้นก็เอาแต่ร้องไห้” ใช้อธิบาย
“มึงหยุดเลย เอ็งนั่นแหละตัวดีเพิ่งจะอยู่ม.ศ.2 ก็ไม่รักเรียนทำให้ม๊ามึงร้องไห้ไม่หยุดไม่หย่อนยังจะแก้ตัวอีก” ชายคนนั้นชี้หน้าเจ้าของชื่อด้วยความเดือดดาล
ในบัดนี้เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงเบาบางลงไปมากแล้วทั้งนี้เป็นเพราะเจ้าตัวค่อนข้างตระหนกเมื่อได้ยินคำกล่าวของคนร่างอ้วน
(ม.ศ.2 นี่มันเรื่องบ้าอะไร อย่าบอกนะว่าเรื่องนาฬิกานั่นเป็นจริง) ปิ่งป่อง! เด็กน้อยเธอเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว เมื่อได้กลับมาจงใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าล่ะ เสียงนั้นดังขึ้นในหัวเพียงเสี้ยววิก่อนจะหายไป
ใบหน้าของหลินเต็มไปด้วยเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากร่างกายของเธอเริ่มโอนเอนก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะดับลง
“เฮ้ย!” ทั้งลูกศิษย์และครูต่างพากันร้องเสียงหลง
ในความฝันของหลินเจ้าตัวได้พบกับหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งใบหน้าของหล่อนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มชวนมอง
“อาหลินลื้อมาแล้ว” น้ำเสียงของคนพูดแม้จะฟังไม่ชัดแต่เธอก็ฟังเข้าใจ
“อาม่าหรือคะ” เธอย้อนถามอย่างไม่แน่ใจเนื่องจากภาพของหญิงสูงวัยในความทรงจำนั้นไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร
“จะว่าใช่ก็ได้จะว่าไม่ก็ได้ อั๊วเป็นเจี่ยเจี่ยของอาม่าลื้อ” คนผู้นั้นเฉลย “เอ๋! ไม่ใช่ว่า..” เธอหยุดคำพูดของตน
“ใช่อั๊วตายไปนานแล้ว” ใบหน้านั้นยังคงยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นหนูตายแล้วหรือคะ” น้ำเสียงของคนพูดฟังดูหมองหม่น หญิงชราหัวเราะ
“ยัง อั๊วแค่อยากให้ลื้อได้ทำตามคำพูดของตนก่อนหน้าก็เลยพามาที่นี่” น้ำเสียงเจือแววเอ็นดูของคนพูดทำให้หลินเงยหน้ามองด้วยสีหน้ามึนงงแฝงความสับสน
“เอาเถอะ เอาไว้ลื้อก็เจอคำตอบเองนั่นแหละ เดินมานี่อั๊วมีอะไรจะให้” หญิงวัยกลางคนกวักมือก่อนจะนำถุงสีแดงปักด้วยด้ายสีทองมีเชือกแดงเส้นยาวคล้องคอให้เด็กหญิงที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“นี่คืออะไรหรือคะ” หลินจับถุงใบนั้นถามด้วยความอยากรู้ระคนสงสัย
“เงิน ถือว่าเป็นของขวัญมีอยู่ไม่มากจงใช้ให้เกิดประโยชน์เล่า ถึงเวลาที่ลื้อต้องไปแล้วอย่าลืมแก้ไขพฤติกรรมของป๊าลื้อให้ดีนะ”
สิ้นสุดคำพูดนี้เด็กหญิงผู้กำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลก็ค่อย ๆ ขยับเปลือกตาก่อนจะเปิดขึ้นทั้งหมด
“ฟื้นแล้ว!” น้ำเสียงนี้นำพาความยินดีมาให้กับครูผู้ชายรูปร่างท้วมไม่น้อย
“ครูปรีดาคะ ใจเย็น ๆ ค่ะเดี๋ยวเด็กก็ตกใจจนเป็นลมไปอีกหรอก” น้ำเสียงกึ่งหยอกเย้าของครูประจำห้องพยาบาลทำให้เจ้าของชื่อรู้สึกกระดากอาย
“แหะ ๆ ผมลืมตัวไปหน่อยครับ”
โครก!! เสียงท้องร้องทำให้ครูทั้งสองในห้องพากันมองมาทางคนตัวเล็กพร้อมกัน “คือ...หนู” หลินรู้สึกอายเป็นอย่างมาก
“หิวใช่ไหมจ๊ะ หนูรอครูสักครู่นะ ครูจะไปหาของกินมาให้” น้ำเสียงอันอ่อนโยนทำให้หลินตอบรับอย่างว่าง่าย “ค่ะ”
เมื่อครูผู้หญิงเดินออกไปเธอก็มองเห็นครูร่างท้วมที่จำได้ว่าเป็นครูที่ตวาดใส่กลุ่มของเด็กหัวเกรียนเจ้าตัวจึงได้เผลอยิ้มออกมายามเมื่อเห็นท่าทางของเด็กพวกนั้น
ดวงตากลมโตของเธอกวาดมองไปทั่วห้องจนกระทั่งเจอเข้ากับตู้กระจก ครูปรีดารู้สึกเป็นห่วงเด็กน้อยยามเมื่อเห็นว่าเธอนั่งนิ่งผิดปกติ
“หนู! เกิดอะไรขึ้นเหรอลูกหรือว่าเจ็บตรงไหน” น้ำเสียงของเขาผิดกลับที่พูดกับเด็กจอมซนทั้งห้าลิบลับ
แม้หลินจะเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนหน้าว่าในตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่โลกเดิม เพียงแต่รูปลักษณ์ที่เธอเห็นในตอนนี้ทำให้เธอช็อกไปแล้ว (แม่เจ้าฉันตัวเล็กแค่นี้แล้วจะไปจัดการกับปะป๊าจอมแสบได้ยังไง)
เธอคิดเพียงแค่นี้น้ำตากับเสียงที่เจ้าตัวพยายามควบคุมก็ดังลั่นห้องพยาบาล (ฉันไม่ได้อยากจะร้องไห้สักหน่อย) ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล
ครูปรีดาผู้ปราบเด็กเกเรมามากมายถึงกับมีอาการแตกตื่นยามเมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์เฉกเช่นในตอนนี้
“ครูปรีดาคะ เด็กเป็นอะไร” เสียงอันอ่อนโยนทำให้หลินเริ่มสงบอาการของตนลง
“โอ๋ ๆ นะคะลูก ไม่ร้องแล้วนะหิวมากเลยหรือคะ ดูสิครูเอาอะไรมาให้หนูกิน” คุณครูประจำห้องพยาบาลรีบสาวเท้าเดินเข้าไปทั้งกอดและปลอบโยกตัวเด็กน้อยไปมา
(ครูคนนี้ใจดีเหลือเกิน) หลินคิดพลางเงียบเสียงของตนลงคงเหลือเพียงเสียงสะอื้นบางเบา
“เด็กท่าจะหิว” ครูปรีดาพูดยามเมื่อมองเด็กน้อยที่มือหนึ่งถือกล่องนมส่วนมืออีกข้างถือขนมปังก้อน
“นั่นสิคะ ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าใคร ครูปรีได้แจ้งตำรวจหรือยังคะ” คุณครูสาวบ่ายหน้าไปถามครูวัยเดียวกัน
“แจ้งแล้วครับแต่เขาบอกว่าในเมื่อไม่มีเบาะแสก็ขอฝากพวกเราเอาไว้ก่อน หากว่าไม่มีใครมาแจ้งว่าเด็กหายเห็นทีว่าคงต้องส่งเด็กเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” ครูวัยสามสิบกลางถอนหายใจหลังจากพูดตามที่เจ้าหน้าที่บอก
ส่วนหลินในคราบของเด็กน้อยแม้จะได้ยินแต่เธอก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเคี้ยวขนมปังในมือจนแก้มป่อง
“แกน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ใครกันหนอทิ้งได้ลงคอ”
ผกาผู้มีหลานสาวในวัยเดียวกันกับเด็กหญิงเอ่ยด้วยความสงสาร “บางทีอาจจะไม่มีอะไรเลวร้ายนักก็ได้ครับ ผมขอฝากเด็กเอาไว้ก่อนนะครับ เจ้าตัวเล็กเดี๋ยวครูกลับมานะอยู่กับครูผกาอย่าดื้อล่ะ” คนพูดบอกเพื่อนร่วมงานก่อนเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยกับเด็กหญิงผู้ที่กำลังส่งยิ้มตาปิดมาให้ตน