ค่ำคืนที่แสนมืดมิดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สว่างไสว ราวกับชีวิตของเด็กสาวที่กำลังรอคอยวันที่จะได้เห็นแสงสว่างในปลายทางข้างหน้า อีกไม่นานชีวิตที่ไม่อาจเลือกเกิดได้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
ปึง!
“หน้าด้าน! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ก่อนที่ร่างของเด็กสาวแสนบอบบางจะถูกผลักออกมาจากบ้านอย่างรุนแรง เนื้อตัวฟกช้ำและมีแต่แผลเต็มไปหมด
“พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่”
“กล้าดียังไงมายุ่งกับผัวกู มึงอยากลองดีกับกูเหรอ” ความโมโหทำให้อีกฝ่ายหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้คำโกหกของผู้ชาย
“ผัวเจ๊นั่นแหละ มันคิดไม่ซื่อกับฉัน” หญิงสาวรีบเถียงกลับ เธอไม่ยอมรับในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ ตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของเจ๊สร
“ไม่ต้องมากล่าวหาผัวกู มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!”
ต้นหนาวกระตุกยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาดไล่ ก่อนจะปิดประตูบ้านเต็มแรงด้วยความโมโห
คนโง่ก็ยังโง่จนวันยังค่ำ...
เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอจึงรีบหอบร่างกายอันบอบช้ำเดินออกไปจากบ้านซอมซ่อที่เธออยากจะออกไปจนใจจะขาด
ต้นหนาว เธอเติบโตมาในบ้านที่ถูกเรียกว่า ‘ซ่อง’ แม่ของเธอเป็นผู้หญิงที่ทำงานอยู่ที่นี่ แต่เพราะมีบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าจึงถูกใช้ให้ทำงานทั่วไปและรับใช้ทุกคนในซ่อง
เจ๊สรเป็นเจ้าของซ่องที่หลงผัวเด็กจนโงหัวไม่ขึ้น หลังจากที่แม่ของเธอจากไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ต้นหนาวก็ถูกบังคับให้ทำงานทุกอย่างแทนแม่ อีกทั้งยังถูกข่มขู่ว่าเมื่อไรที่อายุครบสิบแปดจะต้องไปขายตัวเหมือนคนอื่นๆ ที่เคยทำมาก่อน
ต้นหนาวจึงวางแผนหนีออกไปจากที่นี่มาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้เธอสบโอกาสแอบเข้ามาภายในบ้านของเจ๊สรและแอบเอาเงินค่าแรงที่เจ๊สรยึดเอาไว้กลับคืนมา
แต่โชคไม่ดีเอาเสียเลย ดันมาเจอกับบอล ผัวเด็กของเจ๊สรคนล่าสุด พยายามจะเข้ามาหวังทำเรื่องชั่วช้าอัปรีย์ จนกระทั่งเจ๊สรเข้ามาเห็นแล้วก็อาละวาดอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
จนต้นหนาวได้แผลใหม่มาเพิ่ม ทั้งที่แผลเก่ายังไม่ทันหายดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องเจอเรื่องแบบนี้
เจ๊สรมักจะเอาอารมณ์โกรธและโมโหมาลงที่เธอเสมอ
“ทำไมไม่มีรถผ่านมาเลยนะ” ต้นหนาวบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
แม้จะเจ็บปวดตามร่างกายแค่ไหน ก็ต้องกัดฟันทนและวิ่งต่อไปข้างหน้า เธอจะไม่ยอมตายตอนนี้โดยเด็ดขาด
“แสงไฟ” เธอเอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังโกดังที่อยู่ริมทางซึ่งมีแสงไฟลอดออกมา
“บอกมาว่าพวกแกคิดจะทำอะไร” เสียงตะคอกดังไปทั่วโกดัง
ต้นหนาวรีบหลบอยู่ที่หลังเสาบริเวณใกล้ๆ พลางเงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าจะวิ่งต่อไปก็คงจะไม่รอด บางทีอาจจะแอบขึ้นรถคนพวกนี้ไปลงที่ไหนสักที่ก็ได้
“ถ้าไม่บอกมึงก็ต้องตาย อยากจะเห็นน้ำหน้าพี่ชายมึงตอนเห็นศพนัก จะยังปากดีได้เหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ให้ตายกูก็ไม่บอก”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็...”
ปัง!
“กรี๊ดดดดด” ต้นหนาวที่แอบมองอยู่ร้องกรี๊ดขึ้นมาด้วยความตกใจทำให้คนพวกนั้นหันมามองเธอกันเป็นตาเดียว
“เฮ้ย! ใครวะ ไปจับตัวมันมา”
“อีหนาวเอ๊ย ซวยแล้วไง” หญิงสาวรีบใส่เกียร์หมาและสับตีนแตกแบกร่างกายที่สะบักสะบอมของตัวเองหนีไปให้เร็วที่สุด
แต่สภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยทำให้ต้นหนาวเริ่มหมดแรงลงเรื่อยๆ ในขณะที่คนพวกนั้นก็ใกล้ตัวของเธอเข้ามามากขึ้นเช่นกัน
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนที่ดังสวนทิศมาจากอีกฝั่งทำให้ต้นหนาวแทบจะไปไหนต่อไม่ถูก ดูเหมือนว่าจะคนละพวกกับที่ตามเธอมา
หนีเสือปะจระเข้ หนีจระเข้ปะฉลามชัดๆ !!!
แม้จะไม่รู้ทิศทางที่ตัวเองกำลังวิ่งไป แต่เป็นตายยังไง เธอก็จะไม่ยอมหยุดวิ่งโดยเด็ดขาด
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนยังคงปะทะข้ามไปมาไม่หยุด กระทั่งมีมือหนึ่งคว้าแขนของเธอเอาไว้และดึงกระชากไปหลบหลังต้นไม้
“โอ๊ยยย เจ็บ~”
“เงียบ!” ต้นหนาวรีบเอามือปิดปากของตัวเองไว้ เมื่อโดนคนตรงหน้าที่ถือปืนเอาไว้ในมือออกคำสั่งด้วยความกลัว
จู่ๆ ทุกอย่างก็เงียบลงผิดปกติ ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจ
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด ก่อนที่คนตรงหน้าจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“เป็นอะไรไหมครับนาย”
“ไม่”
“แล้วนั่นใครครับ”
“ไม่รู้สิ” ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่เธอพร้อมกับตั้งคำถามว่าเธอเป็นใคร
“เธอ... เป็นใคร”
“อะ เอ่อ...” จู่ๆ เธอก็รู้สึกเวียนหัว บริเวณรอบๆ หมุนไปมา ภาพตรงหน้าเบลอลงไปทีละนิด ร่างกายของเธอพลันอ่อนแรงลงไป ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปทันที
“อ้าว แต่ผมว่าสภาพเหมือนถูกทำร้ายมาเลยนะครับ” ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่อะไร หญิงสาวก็เป็นลมตัดหน้าไปก่อนแล้ว
“น่าจะงั้น ก็ถือว่ายังดีที่ช่วยล่อไอ้พวกนั้นออกมาและทำให้เข้าไปช่วยไอ้โคลด์ได้ทัน”
“แล้วจะเอายังไงต่อครับ”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง พวกนายกลับไปพักเถอะ” ชายหนุ่มช้อนร่างบางที่หมดสติไปกลับมาที่รถที่ซ่อนเอาไว้ไม่ไกลจากโกดัง ท่ามกลางสายตาแปลกใจของลูกน้องที่ไม่เคยเห็นเจ้านายยอมทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
“สกปรกชะมัด”
คินน์บ่นขึ้นเมื่อเห็นสภาพร่างกายของคนที่เขากำลังอุ้มอยู่ มีแต่เศษดินเศษฝุ่นและบาดแผลเต็มไปหมด ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง
แม้จะบ่นแบบนี้แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมให้คนอื่นอุ้มผู้หญิงคนนี้เลยแม้แต่น้อย เขาตั้งใจจะช่วยเธอเอาไว้และพากลับมาที่บ้าน
ต้นหนาวนั่งมองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเซ็นเอกสารจนกระทั่งแฟ้มสุดท้ายถูกวางลงบนโต๊ะ ใบหน้าคมเข้มเงยขึ้นมามองเธอแล้วขยับเข้ามานั่งใกล้กว่าเดิม “ขยับมาทำไมคะ” “ตรงนั้นนั่งแล้วเมื่อย” ฟังก็รู้ว่าเป็นข้ออ้างชัดๆ คินน์จงใจเลื่อนมานั่งใกล้กับคนตัวเล็กยิ่งกว่าเดิม จนเธอทำท่าจะลุกหนีแทน แต่เขาก็รีบคว้าตัวของเธอเอาไว้ทันที “ปล่อยนะคะ” “มานอนถึงคอนโดของฉัน แล้วคิดว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆ เหรอ” “พี่คินน์ไม่กล้าหรอก” น้ำเสียงท้าทายของต้นหนาวทำให้คินน์แสยะยิ้มด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะเริ่มกดจมูกลงสูดดมกลิ่นหอมจากหัวไหล่ของเธอ คนท้าทายนั่งตัวเกร็งพลางหดคอหนี เขาจึงยอมปล่อยเธอแต่โดยดี เพราะไม่ได้คิดจะทำจริงๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันยังไม่ถึงเวลานั้น... “ถ้าฉันกลับมาเมื่อไหร่ เธอไม่มีทางรอดไปแบบนี้แน่” คำขู่ที่ไม่ได้ทำให้คนฟังหวั่นเกรงเลยสักนิด กลับยังนั่งยิ้มได้เหมือนเดิมเมื่อเห็นเขาไม่ทำอะไร “พี่คินน์แน่ใจแล้วเหรอคะ?” “หืม?” “ไม่ใช่ว่าไปทำงานแล้วจะไปถูกใจสาวๆ ที่นั่นเหรอคะ” แม้จะพูดแซวคินน์เล่น แต่ลึกๆ ในใจก็
หลังจากที่กลับมาจากทะเล ทุกอย่างก็กลับไปสู่ลูปเดิม คินน์มักจะแอบแวะมารับต้นหนาวไปเที่ยวบ่อยครั้งเมื่อมีเวลาว่างและจากนั้นก็ตบท้ายด้วยของกินแล้วค่อยส่งกลับบ้าน กล้าหาญเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่ค่อยปกติ นานวันเข้าต้นหนาวยิ่งใกล้ชิดกับคินน์ราวกับเป็นแฟนกันมากกว่า “ต้นหนาว” “หืม ว่าไง” “คุยกับใครเหรอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” “อะ...อ๋อ เราคุยกับพี่คินน์น่ะ” สรรพนามที่เรียกใช้แทนกันเปลี่ยนไป เพราะคินน์สั่งให้เธอเรียกเขาว่า พี่ เหมือนที่เรียกควีนและโคลด์ กล้าหาญพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาสนใจงานตรงหน้าที่จะต้องส่งอาจารย์ภายในสัปดาห์นี้ แต่เขากลับทำยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ “วันนี้ไปกินไอติมกันไหม” “ไปสิ มะเหมี่ยวกับสารินไปด้วยกันไหม” “ไปๆ มีคาเฟ่ไอศกรีมเปิดใหม่ข้างมอด้วย” มะเหมี่ยวเอ่ยอย่างตื่นเต้น เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาร้านค่อนข้างจะมีคนแน่นเลยยังไม่ได้ไปลองสักที “ถ้างั้นไปลองกัน” มะเหมี่ยวกับต้นหนาวขึ้นชื่อว่าเป็นนักกินตัวยงกันทั้งคู่และมักจะพากันไปหาของอร่อยกินด้วยกันบ่อยๆ ขณะที่สา
ต้นหนาวนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงต่อ จะเผชิญหน้ากับเขายังไง แล้ววันนี้ก็ต้องกลับแล้วด้วย จะไม่ออกไปเจอหน้าเขาก็คงไม่ได้ ร่างเล็กเดินย่องออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบๆ พลางหันมองรอบตัวเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็รีบวิ่งไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ทันที “ทำอะไร” “ว้ายยย” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงพลางร้องเสียงหลง ถอยหลังหนีคนที่ยื่นหน้าเข้ามาหาจนเกือบหงายหลังล้ม คินน์เห็นต้นหนาวเดินลับๆ ล่อๆ ลงมาจากชั้นสองจึงเดินตามมาเงียบๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าตัวต้องตกใจ “ตกใจฉันทำไม” “ก็คุณมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” “แล้วจะย่องทำไม”
“ฉันกลับก่อนนะต้นหนาว” มะเหมี่ยวเอ่ยบอก ก่อนจะรีบวิ่งไปขึ้นรถของที่บ้านที่มาจอดรอนานเกือบชั่วโมงแล้ว ต้นหนาวมัวแต่ดูหนังและเดินช้อปปิ้งกับมะเหมี่ยวจนเพลิน ลืมโทรศัพท์บอกลุงมิ่งให้มารับ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนขับรถ แต่ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าโทรศัพท์ของต้นหนาวไป “เห้ย! ทะ... คุณคินน์” เสียงหวานอ่อนลงเมื่อเห็นใบหน้าดุของคนตัวสูงที่เป็นคนหยิบโทรศัพท์ของเธอไป “ทำไมไม่อ่านแชทฉัน” “...” “มานี่” คินน์คว้าร่างบางให้เดินตามมา ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน “จะต้นหนาวไปไหนคะ”&nb
เวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย เผลอแป๊บเดียวต้นหนาวก็อายุครบสิบเก้าปี และกำลังจะเรียนจบปีหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอกลับเพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเองความรู้สึกใจเต้นตึกตักเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับใครคนหนึ่ง ทำให้ต้นหนาวกระวนกระวายไม่น้อย จนแม้กระทั่งอรดายังจับได้ว่าต้นหนาวแปลกไป “เป็นอะไรเหรอลูก” อรดาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นต้นหนาวอยู่ไม่สุข เดี๋ยวก็ลุกขึ้นเดิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน “เปล่าค่ะแม่อร” “แล้วทำไมเอาแต่เดินไปเดินมาล่ะ” “หนาวกังวลเรื่องสอบปลายภาคครั้งนี้นิดหน่อยค่ะ” เธอเอาเรื่องสอบมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ปกติแล้วเธอแทบไม่เคยกังวลเรื่องแบบนี้เลย “งั้นเหรอ มีปัญหาตรงไหนมาถามพี่โคลด์ก็ได้นะ&n
ตลอดทั้งสัปดาห์นับตั้งแต่ต้นหนาวได้เจอกับคินน์วันนั้น ทุกวันก็จะเอาแต่ยิ้มและจ้องมองโทรศัพท์ไม่หยุด จนกล้าหาญเริ่มกังวล “ต้นหนาว” “หืม?” “เย็นนี้ไปดูหนังกันอีกไหม” คำชวนของกล้าหาญทำให้ต้นหนาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธทันที “ไม่ล่ะ พอดีว่าฉันมีนัดแล้ว” “เอ่อ...แต่ว่า” หากเอ่ยปากห้ามไปตามตรงก็คงไม่ใช่เรื่องดี กล้าหาญไม่อยากให้ต้นหนาวมองเขาเป็นคนไม่ดี “มีอะไรเหรอ” ท่าทางอ้ำอึ้งของกล้าหาญ ทำให้ต้นหนาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ฉันไปด้วยคนได้ไหม” “ไม่น่าจะดี...มั้ง” หากพากล้าหาญไปด้วย มีหวังโดนคินน์ยำเละแน่ๆ 
กว่าต้นหนาวจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็ปาไปเกือบสัปดาห์ จากตอนแรกที่จะได้แอดมิทเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ดันมีไข้หวัดเพิ่มขึ้นมาระหว่างที่รักษาอยู่ทำให้ต้องแอดมิทต่อ “พี่ควีนคะ หนาวไปแล้วนะคะ” ต้นหนาวในชุดนักศึกษาเอ่ยบอก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถของลุงมิ่งที่กำลังรออยู่ ใช้เวลานานกว่าสามสิบนาทีท่ามกลางการจราจรที่เริ่มจะติดขัด แต่ต้นหนาวกลับมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างทันท่วงที คลาสแรกของวันนี้เริ่มตอนแปดโมงครึ่ง และระหว่างที่ต้นหนาวกำลังวิ่งอยู่นั้นเป็นเวลาแปดโมงยี่สิบนาทีแล้ว “ตายๆๆ ตายแน่ๆ” คนที่ไม่ชอบการเข้าเรียนสายอย่างต้นหนาว เกลียดช่วงเวลานี้มากที่สุด แกรก! หญิงสาวผลักประตูพร้อมกับวิ่งพรวดพราดไปนั่งที่ประจำด้านหลัง โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองเธอเลยสักนิด “ทำไมวันนี้มาสายแบบนี้ล่ะ” มะเหมี่ยวแปลกใจเมื่อเห็นต้นหนาวมาสาย ทั้งที่ปกติแล้วจะมาถึงเป็นคนแรกเสมอ “พอดีนอนเพลินไปหน่อย” “แล้วหายดีหรือยัง” “ก็ยัง แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว” “ฉันจดเลคเชอร์ไว้ให้ ส่วนการบ้านส่งให้ทางอีเมลแล้ว” คนพูดน้อยที่สุดในก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์ แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง “ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ” “ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้” “ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้ “หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็
วันนี้ต้นหนาวได้ไปสอบเทียบเข้ามหาลัย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและต้นหนาวก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะออกมาดีเหมือนที่เธอคิดเอาไว้ คินน์กลับมาบ้านและรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเด็กสาวไปสอบแล้วก็พาเธอไปเดินห้างสรรพสินค้าต่อหลังจากที่สอบเสร็จ อีกทั้งยังพาเธอไปกินโน้นกินนี่แต่ต้นหนาวก็ไม่เอะใจเพราะมัวแต่สนุกสนานกับการกินและเที่ยวจนแทบจะลืมไปว่ามีคินน์มาด้วย “นึกยังไงถึงต้นหนาวมาเที่ยวคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้าน “ไม่ต้องอยากรู้” คินน์ตอบด้วยน้ำเสียงดุๆ ทำให้ต้นหนาวหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเขาส่งสายตาดุดันมาที่เธอ “อ้าว พี่คินน์กลับมาเมื่อไหร่คะ” ควีนที่เป็นห่วงกลัวว่าต้นหนาวอยู่บ้านคนเดียวหลังจากสอบเสร็จแล้วจะเหงาจึงแวะกลับมาพร้อมกับอาหารและขนมเต็มไม้เต็มมือ “เมื่อวานน่ะ” “ต้นหนาวพี่ซื้อของกินมาฝาก” ควีนชูขนมและของกินมากมายในมือให้ต้นหนาวดู ทว่าเจ้าตัวกลับรู้สึกอิ่มจนกินอะไรต่อไม่ลงแล้ว “เอ่อ... พี่ควีนกินอะไรมาหรือยังคะ” “พี่กินมาแล้วจ้ะ” “ถ้างั้นเดี๋ยวหนาวเก็บ