ตลอดทั้งสัปดาห์นับตั้งแต่ต้นหนาวได้เจอกับคินน์วันนั้น ทุกวันก็จะเอาแต่ยิ้มและจ้องมองโทรศัพท์ไม่หยุด จนกล้าหาญเริ่มกังวล
“ต้นหนาว”
“หืม?”
“เย็นนี้ไปดูหนังกันอีกไหม” คำชวนของกล้าหาญทำให้ต้นหนาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธทันที
“ไม่ล่ะ พอดีว่าฉันมีนัดแล้ว”
“เอ่อ...แต่ว่า” หากเอ่ยปากห้ามไปตามตรงก็คงไม่ใช่เรื่องดี กล้าหาญไม่อยากให้ต้นหนาวมองเขาเป็นคนไม่ดี
“มีอะไรเหรอ” ท่าทางอ้ำอึ้งของกล้าหาญ ทำให้ต้นหนาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฉันไปด้วยคนได้ไหม”
“ไม่น่าจะดี...มั้ง” หากพากล้าหาญไปด้วย มีหวังโดนคินน์ยำเละแน่ๆ
“มีนัดกับผู้ชายคนนั้นเหรอ”
“อืม”
“แต่ว่าเขาดูไม่ใช่คนดีเลยนะ แล้วอายุมากกว่าหนาวไปตั้งเท่าไหร่”
“เขาเป็นพี่ชายหนาว” ต้นหนาวไม่รู้จะอธิบายกับกล้าหาญยังไง จึงตัดบทบอกกับอีกฝ่ายไปแบบนั้นเพื่อให้จบประเด็น
“หา! พ...พี่ชาย”
“ก็...ประมาณนั้น”
“อ๋อ” ถ้าเป็นพี่ชาย ก็แสดงว่าเขาก็มีโอกาสที่จะจีบหนาวได้อยู่ แต่ทำไมความรู้สึกของเขาถึงบอกว่าไม่ใช่กันนะ
“เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ”
“อืม” กล้าหาญยอมถอยไปอย่างง่ายดาย
มะเหมี่ยวนั่งมองกล้าหาญที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับต้นหนาว แต่ตอนนี้กลับได้ยินบ่นแว่วๆ ว่ากลัวต้นหนาวจะถูกผู้ชายหลอก แต่ที่ไหนได้ดันเป็นพี่ชายซะงั้น
“เธอมีพี่ชายด้วยเหรอหนาว” ระหว่างที่กล้าหาญเดินไปเข้าห้องน้ำ มะเหมี่ยวจึงเอ่ยถามต้นหนาว
“ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ หรอก แต่นับถือเป็นพี่ชาย”
“อ๋อ ถึงว่าล่ะในประวัติเธอไม่มีเขียนข้อมูลเกี่ยวกับญาติพี่น้องเลย” มะเหมี่ยวเป็นคนช่วยอาจารย์รวบรวมข้อมูลส่วนตัวของนักศึกษาทุกคนในเซคไปให้กับอาจารย์ จึงเคยเห็นประวัติของต้นหนาว
“อืม” ต้นหนาวพยักหน้าเบาๆ
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าหนาวนะ” หญิงสาวรีบขอโทษขอโพย เมื่อตัวเองเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด
“ไม่เป็นไร ฉันได้คิดอะไร แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องปกปิดสักหน่อย”
“ถ้างั้นเดี๋ยวไว้เลี้ยงขนมเธอดีกว่า”
“อืม” ใบหน้าหวานพยักหน้ารับเบาๆ พลางส่งยิ้ม ก่อนจะหันไปสนใจอาจารย์ที่กำลังสั่งงาน
หลังจากเลิกคลาส ยังไม่ทันที่จะได้ออกจากตึกไปไหน ก็ได้ยินเสียงนักศึกษายืนฮือฮาอะไรบางอย่างกันเต็มใต้ตึกไปหมด
เช่นเดียวกับมะเหมี่ยวที่อยากรู้อยากเห็นจึงรีบลากสารินและต้นหนาวมาดูด้วยกัน
รถเฟอร์รารี่สีแดงจอดโชว์หราที่หน้าคณะ ต้นหนาวเพ่งมองคนในรถก่อนที่กระจกรถจะเลื่อนลงทำให้เธอสบตากับคนด้านในพอดี
“ฉันไปก่อนนะ”
“ไปไหนเหรอ”
“พี่ชายฉันมารับแล้ว” ต้นหนาวเอ่ย ก่อนจะเดินไปขึ้นรถเฟอร์รารี่สีแดงที่จอดอยู่ ท่ามกลางสายตาของนักศึกษา
มะเหมี่ยวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่ารถหรูคันนี้จะเป็นของพี่ชายเพื่อนสนิทอย่างต้นหนาว
“สงสัยฉันต้องลองจีบพี่ชายของต้นหนาวแล้วมั้ง”
“เขาจะเอาเธอเหรอ” น้ำสียงเรียบนิ่งของสารินเอ่ยขึ้น คล้ายกับมีมีดแทงเข้ามาที่อกข้างซ้ายของมะเหมี่ยวเต็มแรง
“ไม่ไว้หน้ากันเลยนะ” สารินส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะดึงมะเหมี่ยวให้เดินออกมาจากกลุ่มฝูงชนที่ค่อยๆ สลายตัวลง หลังจากที่รถเฟอร์รารี่ขับออกไปจากมหาวิทยาลัย
“หนาวจองตั๋วไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ หนังผีนะคะ”
“มันสนุกเหรอ เห็นดูแต่หนังพวกนี้” คินน์แทบไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้เลยสักนิด ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน เขาไม่เคยเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เลยสักครั้ง
“สนุกมากค่ะ หลอนดี”
“อืม”
ต้นหนาวอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อมีแผนร้ายในใจที่อยากจะทำให้คนข้างกายกลัวผีจนตัวสั่นหลุดมาดรองประธานบริษัทไปเลย
เมื่อมาถึงโรงหนัง คนตัวเล็กก็จัดแจงซื้อป๊อบคอร์นและน้ำอัดลมพลางยกให้คินน์ไปคนถือทั้งหมด ส่วนตัวเองเดินตัวปลิวนำหน้าเข้าไปด้านใน
ต้นหนาวจองตั๋วแบบวีไอพีไว้เพราะคินน์ไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะสักเท่าไร รวมถึงเขาจะได้ไม่ต้องขายหน้ามากเวลาหลุดทำกรี๊ดหรือร้องออกไป
“หุๆ เสร็จต้นหนาวแน่นอน” สายตาเจ้าเล่ห์ของต้นหนาวจ้องมองไปยังคนตัวสูง
ระหว่างที่รอหนังเริ่มก็นั่งกินป๊อบคอร์นกับน้ำอัดลมไปพลางๆ ท่าทีนิ่งเฉยของคินน์ทำให้ต้นหนาวยิ่งอยากเห็นตอนที่เขากลัวผีจนตัวสั่น
เมื่อหนังเริ่มฉาย ต้นหนาวก็สู่โหมดปิดทุกอย่างที่จะมารบกวนการดูหนังของเธอทันที หนังบนจอฉายไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
กรี๊ดดดดด!!!
ทุกคนในโรงภาพยนตร์พร้อมใจกันกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ผีในหนังพุ่งออกมาอย่างกะทันหันจนต้นหนาวเกือบหัวใจวาย
เธอไม่ลืมที่จะรีบหันไปมองคินน์ที่ต้องหวาดกลัวมากแน่ๆ
“...” ผิดคาดแหะ
ชายหนุ่มนั่งนิ่งเงียบไม่หลุดมาดเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมีผีโผล่ออกมากี่ครั้ง สีหน้าเย็นชาก็ยังคงตึงอยู่เหมือนเดิม
“คุณคินน์ไม่กลัวผีเหรอคะ”
“ทำไม? คิดจะแกล้งฉันเหรอ”
“ปะ...เปล่า นะคะ หนาวไม่ได้คิดแบบนั้น” ปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักจนคินน์จับสังเกตได้
“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้... ระวังจะเจอดี” เสียงทุ้มต่ำโน้มมากระซิบข้างหูพร้อมกับทิ้งท้ายด้วยคำขู่ที่ทำให้ต้นหนาวขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“ค่ะ”
กระทั่งหนังจบลง จึงได้ออกมาข้างนอก ต้นหนาวแทบจะมองหน้าเขาไม่ติด กะจะแกล้งคินน์สักหน่อย แต่ดันมีแค่เธอที่กลัวอยู่คนเดียว ส่วนเขาไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเลยสักนิด ทั้งยังนั่งกินป๊อปคอร์นหน้าตาเฉย
“อยากกินอะไรไหม หรือจะกลับไปทานที่บ้าน”
“เดี๋ยวหนาวขอแวะซื้อหนังสือกับขนมแป๊บหนึ่งค่ะ” คนตัวสูงพยักหน้าตอบ ก่อนจะเดินตามต้นหนาวมายังร้านหนังสือ แล้วจึงไปต่อที่ร้านขนมหวานที่มีขนมหลายสิบอย่างวางเต็มตู้ไปหมด
“เอาสตรอว์เบอร์รีทาร์ตค่ะ”
“แค่อย่างเดียวเหรอ” คินน์ถามย้ำ
“ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วค่อยมาซื้ออีกก็ได้” ปกติต้นหนาวมักจะมาที่นี่กับเพื่อนๆ ทุกเย็น เพราะจะแวะมาหาที่อ่านหนังสือแล้วค่อยกลับบ้านกัน
“ตามใจ”
คินน์ไม่ขัด ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานพร้อมกับรับกล่องขนมมาให้กับต้นหนาว พลางยกมือขึ้นลูบผมของเธอเบาๆ
“ถ้างั้นเดี๋ยวหนาวโทรหาลุงมิ่งก่อนนะคะ”
“อืม”
ต้นหนาวโทรให้ลุงมิ่งมารับเหมือนทุกวัน แล้วจึงค่อยเดินออกไปจากห้างเมื่อลุงมิ่งมาถึง
คินน์ก็ยืนส่งต้นหนาวขึ้นรถไปแล้ว จึงค่อยกลับมาที่รถเฟอร์รารี่หรูที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ
เขารู้ดีว่าการกระทำทุกอย่างของเขาในวันนี้ตกอยู่ในสายตาของใครบางคน แต่เลือกที่จะเมินเฉยเพราะไม่อยากสนใจ
กล้าหาญแอบตามดูต้นหนาวกับคินน์มาตลอดตั้งแต่อยู่ในโรงภาพยนตร์มาจนถึงตอนที่ต้นหนาวออกไปจากห้าง
“พี่ชายเหรอ?” เขาพึมพำกับตัวเองซ้ำอีกครั้ง
หากมองเพียงแค่ผิวเผิน มองยังไงก็เหมือนกับคนที่กำลังจีบกันมากกว่าพี่น้องคุยกัน กล้าหาญยังคงสับสนในตัวเอง แต่ก็เลือกที่เชื่อในสิ่งที่ต้นหนาวบอกมากกว่า
“ต้องหาทางทำให้พี่ชายของต้นหนาวยอมรับให้ได้สินะ”
ชายหนุ่มไม่ย่อท้อ ต่อให้ความรักครั้งนี้จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ต้นหนาวหลุดมือไปโดยเด็ดขาด
“กล้าหาญ กลับมาแล้วเหรอลูก”
“สวัสดีครับแม่” ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะทักทายคนเป็นแม่ แม้จะพยายามแสดงออกว่าไม่อยากเจอหน้าก็ตาม
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ แม่อุตส่าห์มาอยู่ด้วย” อัปสรเอ่ยถาม เมื่อเห็นลูกชายทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเจอเธอ
“เปล่าครับ”
“แม่ขนของพ่อออกไปหมดแล้ว ต่อจากนี้เราจะมีกันแค่สองคนแม่ลูกนะ”
“...” กล้าหาญนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร จนกระทั่งอัปสรต้องรีบเอ่ยขึ้นทำลายความอึดอัดนั้นลง
“มาๆ มากินข้าวดีกว่า แม่เตรียมของโปรดไว้ให้ลูกทั้งนั้นเลย”
“ครับ” ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับอัปสร พลางตักอาหารที่เธอทำให้เข้าปากอย่างเร่งรีบ
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที กล้าหาญก็ทานอาหารที่อัปสรตักให้จนหมดก่อนจะลุกออกจากโต๊ะและตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของตัวเองทันที
“ได้เชื้อพ่อมาเยอะเชียวนะ” น้ำเสียงเย้ยหยันต่างจากในตอนที่กำลังเอาใจลูกชายลิบลับ
อัปสรหันไปมองรูปของอดีตสามีที่ตั้งโชว์หราอยู่กลางบ้าน หากไม่ติดว่าเธอยังไม่สามารถเอาชนะใจลูกชายได้ ป่านนี้คงเก็บเผาทิ้งไปหมดแล้ว
กล้าหาญนอนหมดแรงอยู่บนเตียง แม้จะเพิ่งกินข้าวไปแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกมีแรงขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
พ่อของเขาเพิ่งจะเสียไปเมื่อหลายเดือนก่อน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเขาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม่กลับมาหาเขา
ตลอดเวลาสิบปีตั้งแต่ที่แม่ตัดสินใจทิ้งเขากับพ่อไป ก็ไม่เคยมาดูดำดูดีเลยสักครั้ง ไม่เคยติดต่อมาหาเขา ไม่เคยซื้อของฝากหรืออะไรมาให้เวลาที่แวะมาเยี่ยม
แต่พอพ่อจากไป แม่ก็กลับมาหาเขาพร้อมกับบอกว่าเลิกกับสามีใหม่แล้วและจะกลับมาดูแลเขาแทนพ่อ
“กลับมาเอาเงินล่ะสิ” กล้าหาญอดไม่ได้ที่จะเอ่ยประชดประชันอยู่กับตัวเอง เพราะมรดกที่พ่อทิ้งไว้ให้มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ไม่นับรวมบริษัทและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย
แม้จะอยากไล่แม่ไปขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่คิด เพราะเมื่อไม่นานมานี้น้องสาวของแม่หรือน้า ส่งผลตรวจวินิจฉัยโรคของแม่มาให้ ในนั้นระบุไว้ว่าแม่มีอาการป่วยทางจิต ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
เขาจึงต้องยอมปล่อยให้แม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
“พ่อครับ ผมคิดถึงพ่อ” ในใจได้แต่เฝ้าฝันและภาวนาถึงพ่อ ขอให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อจากนี้ได้ดีเหมือนอย่างตอนที่มีพ่ออยู่
เวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย เผลอแป๊บเดียวต้นหนาวก็อายุครบสิบเก้าปี และกำลังจะเรียนจบปีหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอกลับเพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเองความรู้สึกใจเต้นตึกตักเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับใครคนหนึ่ง ทำให้ต้นหนาวกระวนกระวายไม่น้อย จนแม้กระทั่งอรดายังจับได้ว่าต้นหนาวแปลกไป “เป็นอะไรเหรอลูก” อรดาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นต้นหนาวอยู่ไม่สุข เดี๋ยวก็ลุกขึ้นเดิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน “เปล่าค่ะแม่อร” “แล้วทำไมเอาแต่เดินไปเดินมาล่ะ” “หนาวกังวลเรื่องสอบปลายภาคครั้งนี้นิดหน่อยค่ะ” เธอเอาเรื่องสอบมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ปกติแล้วเธอแทบไม่เคยกังวลเรื่องแบบนี้เลย “งั้นเหรอ มีปัญหาตรงไหนมาถามพี่โคลด์ก็ได้นะ&n
ตลอดทั้งสัปดาห์นับตั้งแต่ต้นหนาวได้เจอกับคินน์วันนั้น ทุกวันก็จะเอาแต่ยิ้มและจ้องมองโทรศัพท์ไม่หยุด จนกล้าหาญเริ่มกังวล “ต้นหนาว” “หืม?” “เย็นนี้ไปดูหนังกันอีกไหม” คำชวนของกล้าหาญทำให้ต้นหนาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธทันที “ไม่ล่ะ พอดีว่าฉันมีนัดแล้ว” “เอ่อ...แต่ว่า” หากเอ่ยปากห้ามไปตามตรงก็คงไม่ใช่เรื่องดี กล้าหาญไม่อยากให้ต้นหนาวมองเขาเป็นคนไม่ดี “มีอะไรเหรอ” ท่าทางอ้ำอึ้งของกล้าหาญ ทำให้ต้นหนาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ฉันไปด้วยคนได้ไหม” “ไม่น่าจะดี...มั้ง” หากพากล้าหาญไปด้วย มีหวังโดนคินน์ยำเละแน่ๆ 
กว่าต้นหนาวจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็ปาไปเกือบสัปดาห์ จากตอนแรกที่จะได้แอดมิทเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ดันมีไข้หวัดเพิ่มขึ้นมาระหว่างที่รักษาอยู่ทำให้ต้องแอดมิทต่อ “พี่ควีนคะ หนาวไปแล้วนะคะ” ต้นหนาวในชุดนักศึกษาเอ่ยบอก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถของลุงมิ่งที่กำลังรออยู่ ใช้เวลานานกว่าสามสิบนาทีท่ามกลางการจราจรที่เริ่มจะติดขัด แต่ต้นหนาวกลับมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างทันท่วงที คลาสแรกของวันนี้เริ่มตอนแปดโมงครึ่ง และระหว่างที่ต้นหนาวกำลังวิ่งอยู่นั้นเป็นเวลาแปดโมงยี่สิบนาทีแล้ว “ตายๆๆ ตายแน่ๆ” คนที่ไม่ชอบการเข้าเรียนสายอย่างต้นหนาว เกลียดช่วงเวลานี้มากที่สุด แกรก! หญิงสาวผลักประตูพร้อมกับวิ่งพรวดพราดไปนั่งที่ประจำด้านหลัง โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองเธอเลยสักนิด “ทำไมวันนี้มาสายแบบนี้ล่ะ” มะเหมี่ยวแปลกใจเมื่อเห็นต้นหนาวมาสาย ทั้งที่ปกติแล้วจะมาถึงเป็นคนแรกเสมอ “พอดีนอนเพลินไปหน่อย” “แล้วหายดีหรือยัง” “ก็ยัง แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว” “ฉันจดเลคเชอร์ไว้ให้ ส่วนการบ้านส่งให้ทางอีเมลแล้ว” คนพูดน้อยที่สุดในก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์ แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง “ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ” “ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้” “ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้ “หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็
วันนี้ต้นหนาวได้ไปสอบเทียบเข้ามหาลัย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและต้นหนาวก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะออกมาดีเหมือนที่เธอคิดเอาไว้ คินน์กลับมาบ้านและรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเด็กสาวไปสอบแล้วก็พาเธอไปเดินห้างสรรพสินค้าต่อหลังจากที่สอบเสร็จ อีกทั้งยังพาเธอไปกินโน้นกินนี่แต่ต้นหนาวก็ไม่เอะใจเพราะมัวแต่สนุกสนานกับการกินและเที่ยวจนแทบจะลืมไปว่ามีคินน์มาด้วย “นึกยังไงถึงต้นหนาวมาเที่ยวคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้าน “ไม่ต้องอยากรู้” คินน์ตอบด้วยน้ำเสียงดุๆ ทำให้ต้นหนาวหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเขาส่งสายตาดุดันมาที่เธอ “อ้าว พี่คินน์กลับมาเมื่อไหร่คะ” ควีนที่เป็นห่วงกลัวว่าต้นหนาวอยู่บ้านคนเดียวหลังจากสอบเสร็จแล้วจะเหงาจึงแวะกลับมาพร้อมกับอาหารและขนมเต็มไม้เต็มมือ “เมื่อวานน่ะ” “ต้นหนาวพี่ซื้อของกินมาฝาก” ควีนชูขนมและของกินมากมายในมือให้ต้นหนาวดู ทว่าเจ้าตัวกลับรู้สึกอิ่มจนกินอะไรต่อไม่ลงแล้ว “เอ่อ... พี่ควีนกินอะไรมาหรือยังคะ” “พี่กินมาแล้วจ้ะ” “ถ้างั้นเดี๋ยวหนาวเก็บ
ต้นหนาวก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หลังจากที่คินน์ตกลงให้หญิงสาวมาทำงานที่นี่ วสันต์และอรดาที่เป็นเสาหลักของบ้านต่างก็เอ็นดูต้นหนาวตามๆ กัน เพราะเหมือนได้ลูกสาวมาเพิ่มอีกคน ควีนโล่งใจขึ้นและเข้าใจว่าคินน์เสนอจ้างงานต้นหนาวเพื่อให้เด็กสาวไม่ยึดติดว่าเป็นหนี้บุญคุณต่อครอบครัวของเขา ปล่อยให้ต้นหนาวได้ใช้ชีวิตอย่างดีเสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จะเป็นงานแต่ก็เป็นงานที่มีความสุขที่สุด ส่วนโคลด์ก็เอ็นดูต้นหนาวเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งไม่ต่างจากควีนเช่นกัน หลังจากผ่านความตายมาได้อย่างเฉียดฉิวก็ต้องขอบคุณต้นหนาวที่เบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นจนทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นศพไปเสียก่อน แต่ก็อาการสาหัสเอาเรื่อง “ต้นหนาว พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหม” ควีนเอ่ยชวนเด็กสาวที่กำลังช่วยจัดเอกสารภายในห้องทำงานของเธอ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ควีนเลยถือโอกาสจะพาต้นหนาวไปเที่ยวสักหน่อย ถ้าได้พาเด็กสาวออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็น่าจะดีกว่าอยู่แต่ในบ้าน “ไปสิคะพี่ควีน เอ่อ... ว่าแต่คุณคินน์เขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ” ตลอดเวลาที่ต้นหนาวตกลงทำงานอยู่ที่นี่มานานเกือบห้
คินน์ คณิณกรณ์ นักธุรกิจหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัทตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวรวยล้นฟ้า มีธุรกิจมากมายหลายอย่างไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักนามสกุลของเขา ‘วงศ์วรกุลกิตติ์’ แต่ภายใต้หน้ากากของนักธุรกิจ ครอบครัวของเขายังเป็นมาเฟียที่มีอิทธิพลมากอีกด้วยคินน์อุ้มร่างของหญิงสาวแปลกหน้าที่เป็นลมไป เข้ามาภายในบ้านอย่างรีบร้อน “พี่คินน์ นั่นใครคะ” น้องสาวคนเล็กสุดของบ้านอย่าง ‘ควีน’ รีบพุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือทันที เมื่อเห็นว่าในอ้อมแขนของพี่ชายอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย “ไม่รู้สิ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เข้าไปช่วยโคลด์เอาไว้ได้ทัน พี่ก็เลยพามาด้วย” “แต่ทำไมเธอถึงมีรอยแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ไม่ใช่ว่าไปโดนใครทำร้ายมาเหรอคะเนี่ย” ปลายนิ้วเรียวสัมผัสร่างกายมอมแมมอย่างไม่รังเกียจ “งั้นพี่ฝากควีนช่วยจัดการให้หน่อยนะ” “ได้ค่ะ แต่จะพาเธอไปไว้ห้องไหนล่ะคะ” ตอนนี้ทุกห้องในบ้านก็มีคนอยู่ครบ ห้องรับแขกก็ไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้คงจะมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด “ห้องพี่ก็ได้” “หา! เอางั้นเหรอคะ?” ควีนเผลอส่งเสียงร้องตกใจออกมา
ค่ำคืนที่แสนมืดมิดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สว่างไสว ราวกับชีวิตของเด็กสาวที่กำลังรอคอยวันที่จะได้เห็นแสงสว่างในปลายทางข้างหน้า อีกไม่นานชีวิตที่ไม่อาจเลือกเกิดได้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล... ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ปึง!“หน้าด้าน! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ก่อนที่ร่างของเด็กสาวแสนบอบบางจะถูกผลักออกมาจากบ้านอย่างรุนแรง เนื้อตัวฟกช้ำและมีแต่แผลเต็มไปหมด “พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่” “กล้าดียังไงมายุ่งกับผัวกู มึงอยากลองดีกับกูเหรอ” ความโมโหทำให้อีกฝ่ายหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้คำโกหกของผู้ชาย “ผัวเจ๊นั่นแหละ มันคิดไม่ซื่อกับฉัน” หญิงสาวรีบเถียงกลับ เธอไม่ยอมรับในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ ตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของเจ๊สร “ไม่ต้องมากล่าวหาผัวกู มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!”ต้นหนาวกระตุกยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาดไล่ ก่อนจะปิดประตูบ้านเต็มแรงด้วยความโมโห คนโง่ก็ยังโง่จนวันยังค่ำ... เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอจึงรีบหอบร่างกายอันบอบช้