เวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย เผลอแป๊บเดียวต้นหนาวก็อายุครบสิบเก้าปี และกำลังจะเรียนจบปีหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอกลับเพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเอง
ความรู้สึกใจเต้นตึกตักเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับใครคนหนึ่ง ทำให้ต้นหนาวกระวนกระวายไม่น้อย จนแม้กระทั่งอรดายังจับได้ว่าต้นหนาวแปลกไป
“เป็นอะไรเหรอลูก” อรดาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นต้นหนาวอยู่ไม่สุข เดี๋ยวก็ลุกขึ้นเดิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน
“เปล่าค่ะแม่อร”
“แล้วทำไมเอาแต่เดินไปเดินมาล่ะ”
“หนาวกังวลเรื่องสอบปลายภาคครั้งนี้นิดหน่อยค่ะ” เธอเอาเรื่องสอบมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ปกติแล้วเธอแทบไม่เคยกังวลเรื่องแบบนี้เลย
“งั้นเหรอ มีปัญหาตรงไหนมาถามพี่โคลด์ก็ได้นะ
“ใช่ มีปัญหาอะไรมาถามพี่ได้นะ” โคลด์ไม่ปฏิเสธหากต้องสอนสิ่งที่ตัวเองเคยเรียนมาให้กับต้นหนาว
“ขอบคุณค่ะ แต่ว่าหนาวขอพยายามด้วยตัวเองก่อนดีกว่าค่ะ”
“งั้นก็ตามใจจ้ะ” อรดาไม่เซ้าซี้พลางปอกผลไม้ที่เพิ่งไปซื้อมาจากตลาดใส่กล่องไว้ให้ต้นหนาวกินเวลาอ่านหนังสือ
ต้นหนาวปลีกตัวออกมาจากห้องนั่งเล่น เพราะกลัวว่าจะทำให้แม่อรกับโคลด์สงสัยเอาได้
“เป็นอะไรเนี่ย” หงุดหงิดกับตัวเองไม่น้อยที่ต้องมานั่งคิดและกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ แต่หากว่าเธอดันหวั่นไหวกับคินน์ขึ้นมาจริงๆ คงไม่ดีแน่เลย
หญิงสาวคิดเองเออเองอยู่คนเดียวสักพักใหญ่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงรถของควีนที่เพิ่งจะขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน จึงรีบวิ่งออกไปรับทันที
“พี่ควีน”
“อะไรกัน มาอ้อนพี่แบบนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ควีนจับผิดต้นหนาวได้ทันที
“นิดหน่อยค่ะ” น้ำเสียงอ่อนลงพลางสอดสายตาออดอ้อนใส่ควีน ก่อนที่จะเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมกัน
“มาแล้วเหรอ ทานผลไม้ก่อนสิ”
“ค่ะแม่ แต่ว่าควีนขอเวลาไปคุยกับยัยเด็กน้อยคนนี้ก่อนนะคะ”
“จ้ะ” อรดาพยักหน้าพลางคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ เมื่อเห็นว่าต้นหนาวสนิทสนมกับควีนมากถึงขนาดนี้
ควีนจูงมือของต้นหนาวออกมาที่สวนหญ้าข้างบ้าน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะกลางสวนที่มีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ช่วยบดบังแสงแดดจ้า
“มีอะไร”
“คือว่า...”
“ทำไม ไปแอบชอบใครมาเหรอ” ควีนเอ่ยแซวเล่นๆ
“ก็... ประมาณนั้นค่ะ”
“หืม ใครกันนะ” สายตาของควีนที่จ้องมองมาทำให้ต้นหนาวเริ่มเลิ่กลั่กอยู่ไม่สุข จนต้องรีบปฏิเสธทันควัน
“หนาวบอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าหนาวไม่อยากรู้สึกแบบนั้นกับเขาเลย อยู่ใกล้ก็ใจเต้นแรงตลอดเหมือนจะหลุดออกมาเลยค่ะ”
“แล้วทำไมถึงไม่อยากรู้สึกกับเขาแบบนั้นล่ะ”
“หนาวคิดว่ามันไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะ? อะไรทำให้หนาวคิดว่ามันไม่เหมาะล่ะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น
“หนาวบอกไม่ได้ค่ะ แต่ว่าหนาวไม่อยากคิดกับเขาแบบนั้น”
“ถ้างั้นหนาวจะตัดใจเหรอ”
“...” ต้นหนาวเงียบลงพลางครุ่นคิด ถ้าจะต้องตัดใจเธอก็ไม่อยากทำแบบนั้นสักหน่อย แต่ไม่อยากรู้สึกก็ต้องตัดใจไม่ใช่หรือไง
“แล้วเขาคิดยังไงกับหนาวล่ะ รู้หรือเปล่า”
“หนาวไม่รู้ค่ะ”
“ทำไมไม่ลองคุยกับเขาก่อนล่ะ ถ้าเขาชอบหนาว ก็น่าจะคบกันได้นี่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” ควีนแปลกใจไม่น้อยที่ต้นหนาวยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่สามารถคบหากับผู้ชายคนนั้นได้ จนเธอชักอยากรู้แล้วว่าคนคนนั้นเป็นใครกัน
“ถ้าเขาคบกับหนาว มันจะเป็นเรื่องที่ผิดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“หนาวคิดว่ามันผิดค่ะ”
“งั้นก็แสดงว่าคนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่ผิดใช่ไหม แต่หนาวรู้สึกว่ามันผิด”
“ค่ะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักหน้าหงึกๆ
ควีนเข้าใจทุกอย่างที่ต้นหนาวกำลังจะสื่อ และยังคงอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงได้ทำให้ต้นหนาวมีอาการแบบนี้
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ แม้แต่ควีนยังคิดหนักว่าควรจะช่วยต้นหนาวแก้ปัญหานี้ยังไง นอกเสียจากตัดใจ
“ทางเดียวคือตัดใจ ถ้าหนาวยอมแพ้และไม่อยากรู้สึกกับเขาไปมากกว่านี้” ควีนเสนอแนะขึ้น
“ค่ะ หนาวจะลองดู”
แม้จะไม่อยากทำแบบนั้น แต่ความรู้สึกตอนนี้มันเริ่มจะเกินเลยไปแล้ว หญิงสาวไม่อยากจะให้มันต้องเกินไปมากกว่านี้
“ถ้างั้นเข้าบ้านกันเถอะ”
“ค่ะ”
อรดาตั้งโต๊ะอาหารระหว่างรอลูกๆ และสามีมาทานข้าวด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ลูกชายคนโตอย่างคินน์ไม่ได้ถูกชวนมาด้วย
“คิดไปคิดมาก็สงสารตาคินน์” อรดาบ่นพึมพำ ก่อนที่จะหันไปมองหน้าสามีที่สมรู้ร่วมคิดกับควีนแกล้งคินน์กันแบบนั้น
“เอาหน่า เดี๋ยวไว้มีโอกาสเราค่อยออกไปหามันก็ได้”
“เพราะคุณนั่นแหละ ชวนเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” อรดาโบ้ยความผิดให้สามี วสันต์เถียงอะไรไม่ได้จึงได้แต่ยอมก้มหน้ารับกรรมตัวเอง ก่อนที่จะรีบทำตัวให้เป็นปกติเมื่อลูกๆ เดินเข้ามา
“มาๆ มาทานข้าวกัน”
อรดารีบเอ่ยเรียกลูกๆ ให้มาทานข้าวพร้อมกัน พลางมองต้นหนาวด้วยความห่วงใยหลังจากที่เห็นเด็กสาวคุยกับควีนที่สวนด้วยสีหน้าจริงจัง
“มีของโปรดของทุกคนเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“แม่อรคะ วันเสาร์นี้หนาวขอไปเที่ยวกับเพื่อนหนึ่งวันนะคะ”
“ไปสิ เดี๋ยวแม่ให้บัตรเครดิตไปช้อปปิ้งด้วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนาวยังไม่ได้ใช้อันที่มีอยู่เลยค่ะ” ต้นหนาวรีบปฏิเสธทันที
อรดาคลี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทานอาหารและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วจึงค่อยแยกย้ายกันกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง
เช้าวันต่อมา ต้นหนาวรีบตื่นตั้งแต่หกโมงตรงและแต่งตัวไปมหาวิทยาลัย ผมยาวสลวยมัดรวบเป็นหางม้า ปล่อยปอยหวานเล็กน้อย และแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาๆ
“แม่อรคะ หนาวไปเรียนก่อนนะ”
จุ๊บ!
“เจอกันตอนเย็นนะ เดี๋ยวแม่ทำขนมไว้รอ” เสียงของอรดาเอ่ยตามหลังมา ก่อนที่ต้นหนาวจะหันไปยิ้มให้อีกหนึ่งครั้งจึงค่อยวิ่งขึ้นรถลุงมิ่งที่มาจอดรอตั้งแต่เจ็ดโมงตรง
การจราจรแน่นขนัดจนใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับระยะทาง แต่ต้นหนาวเผื่อเวลาไว้ค่อนข้างเยอะทำให้มาถึงมหาวิทยาลัยก่อนจะเริ่มเรียนคลาสแรกเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ต้นหนาว” น้ำเสียงร่าเริงตะโกนเรียกชื่อของเธออย่างเช่นทุกวัน ร่างของมะเหมี่ยววิ่งตรงเข้ามากอดเธอราวกับไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งที่ปกติแล้วก็เจอกันทุกวัน
“พอแล้วมะเหมี่ยว” เสียงร้องห้ามของต้นหนาว ทำให้หญิงสาวยอมหยุดการกระทำที่ดึงความสนใจของคนรอบข้างลงทันที
มะเหมี่ยวมักจะวิ่งเข้ามากอดต้นหนาวแบบนี้แทบทุกเช้า อีกทั้งยังมีพลังเหลือล้น พูดคุยตลอดทั้งวัน และตั้งใจทำงานเสมอ หากใครได้อยู่ใกล้ก็จะรู้สึกเหมือนได้รับพลังบวกจากมะเหมี่ยว
“วันนี้กล้าหาญกับสารินลานะ”
“อ้าว ทำไมไม่เห็นบอกกันเลยล่ะ”
“อันที่จริงสองคนนั้นก็ไม่ได้บอกหรอก แต่ฉันโทรไปจิกเองแหละ” มะเหมี่ยวมักจะโทรไปปลุกทั้งสองคนเป็นประจำเพราะมักจะตื่นสายจนมาเรียนไม่ทันหลายครั้ง
“โอเค ถ้างั้นเราอยู่กันสองคนก็ได้”
“แน่นอนสิ มีฉันแล้ว ต้นหนาวไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเพื่อนคนนี้จะปกป้องเธอเอง”
“ปกป้องฉันจากอะไรล่ะ” เธอไม่ได้มีศัตรูที่ไหนสักหน่อย จะให้มะเหมี่ยวมาปกป้องอะไรกัน
“ก็... จากคนที่มาจีบเธอมั้ง”
“มีใครมาจีบฉันด้วยหรือไง”
“มีสิ เธอสวยขนาดนี้เชียวนะ หนุ่มๆ ที่ไหนก็ชอบมอง” มะเหมี่ยวรู้ มะเหมี่ยวเห็นทุกๆ อย่าง ฉะนั้นมะเหมี่ยวจะไม่มีทางยอมให้ใครมาปาดหน้าแย่งเพื่อนสนิทของเธอไปโดยเด็ดขาด ใครจะจีบก็ต้องข้ามศพมะเหมี่ยวไปก่อน
“ไม่จริงหรอก” ต้นหนาวปฏิเสธ ก่อนจะรีบลากมะเหมี่ยวเข้าไปในห้องก่อนที่นักศึกษาคนอื่นๆ จะมา เพราะเช้านี้เป็นคลาสเรียนรวม นักศึกษาค่อนข้างเยอะกว่าปกติ
นั่งเรียนนานกว่าสองชั่วโมง สุดท้ายอาจารย์ก็ยอมปล่อยให้นักศึกษาทุกคนแยกย้ายกันไปโรงอาหารในเวลาเที่ยงตรง
“มะเหมี่ยวจะกลับเลยไหม”
“ไม่ล่ะ ไปเดินเล่นด้วยกันไหม”
“ได้สิ” เวลาที่กำลังฟุ้งซ่านแบบนี้ ต้นหนาวจึงอยากจะหาอะไรทำและหาเพื่อนคุยเพื่อให้เลิกนึกถึงคนคนนั้นสักที
ติ๊ง!
“อยู่ที่ไหน” ต้นหนาวก้มลงมองข้อความในโทรศัพท์ ก่อนจะรีบปิดหนีทันที
“ใครเหรอ”
“พี่ชายน่ะ”
“อ๋อ ถ้างั้นไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ” มะเหมี่ยวไม่พลาดเรื่องกินอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว กว่าจะไปถึงก็คงจะบ่ายโมงพอดี
“ไปสิ” ต้นหนาวเลือกที่จะเมินเฉยต่อข้อความในโทรศัพท์ พลางปิดการแจ้งเตือนและเปิดโหมดห้ามรบกวนเอาไว้
คนที่เพิ่งจะเลิกงานกำลังหงุดหงิด เมื่อส่งข้อความไปนานเกือบวันแต่คนปลายทางกลับไม่มีท่าทีว่าจะตอบกลับมา ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ ทุกข้อความที่เขาส่งไป ไม่เคยถูกเปิดอ่านเลยสักครั้ง
“ต้นหนาว” คินน์อยู่ไม่สุขเมื่อต้องรอคอยข้อความตอบกลับจากคนตัวเล็กแบบนี้ ต้นหนาวไม่เคยเมินเฉยต่อข้อความของเขามาก่อน อีกทั้งโทรไปก็ไม่เคยรับเลยสักครั้ง
ชายหนุ่มหลับตาเล็กน้อย ก่อนจะเข้าอินสตาแกรมกดดูสตอรี่ที่ต้นหนาวเพิ่งลงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ไปเที่ยวกับเพื่อนงั้นเหรอ”
เขาส่องอินสตาแกรมของต้นหนาวมาตลอดหลายวัน แม้จะพยายามคิดว่าต้นหนาวไม่ว่างจึงไม่มีเวลาอ่านข้อความหรือตอบเขา
แต่ทุกการกระทำที่ต้นหนาวลง กลับไม่มีตรงไหนเลยที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับการเรียนทั้งไปเที่ยว ไปดูหนัง และไปปิกนิคกันในช่วงวันหยุด
“ฉันจะไม่ใจดีกับเธอแล้วนะต้นหนาว” ไม่ว่าต้นหนาวจะตีตัวออกห่างจากเขาด้วยเหตุผลอะไร เขาจะต้องได้รู้จากปากของต้นหนาวด้วยตัวเองเท่านั้น!!!
เวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย เผลอแป๊บเดียวต้นหนาวก็อายุครบสิบเก้าปี และกำลังจะเรียนจบปีหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอกลับเพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเองความรู้สึกใจเต้นตึกตักเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับใครคนหนึ่ง ทำให้ต้นหนาวกระวนกระวายไม่น้อย จนแม้กระทั่งอรดายังจับได้ว่าต้นหนาวแปลกไป “เป็นอะไรเหรอลูก” อรดาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นต้นหนาวอยู่ไม่สุข เดี๋ยวก็ลุกขึ้นเดิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน “เปล่าค่ะแม่อร” “แล้วทำไมเอาแต่เดินไปเดินมาล่ะ” “หนาวกังวลเรื่องสอบปลายภาคครั้งนี้นิดหน่อยค่ะ” เธอเอาเรื่องสอบมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ปกติแล้วเธอแทบไม่เคยกังวลเรื่องแบบนี้เลย “งั้นเหรอ มีปัญหาตรงไหนมาถามพี่โคลด์ก็ได้นะ&n
ตลอดทั้งสัปดาห์นับตั้งแต่ต้นหนาวได้เจอกับคินน์วันนั้น ทุกวันก็จะเอาแต่ยิ้มและจ้องมองโทรศัพท์ไม่หยุด จนกล้าหาญเริ่มกังวล “ต้นหนาว” “หืม?” “เย็นนี้ไปดูหนังกันอีกไหม” คำชวนของกล้าหาญทำให้ต้นหนาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะปฏิเสธทันที “ไม่ล่ะ พอดีว่าฉันมีนัดแล้ว” “เอ่อ...แต่ว่า” หากเอ่ยปากห้ามไปตามตรงก็คงไม่ใช่เรื่องดี กล้าหาญไม่อยากให้ต้นหนาวมองเขาเป็นคนไม่ดี “มีอะไรเหรอ” ท่าทางอ้ำอึ้งของกล้าหาญ ทำให้ต้นหนาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ฉันไปด้วยคนได้ไหม” “ไม่น่าจะดี...มั้ง” หากพากล้าหาญไปด้วย มีหวังโดนคินน์ยำเละแน่ๆ 
กว่าต้นหนาวจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็ปาไปเกือบสัปดาห์ จากตอนแรกที่จะได้แอดมิทเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่ดันมีไข้หวัดเพิ่มขึ้นมาระหว่างที่รักษาอยู่ทำให้ต้องแอดมิทต่อ “พี่ควีนคะ หนาวไปแล้วนะคะ” ต้นหนาวในชุดนักศึกษาเอ่ยบอก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถของลุงมิ่งที่กำลังรออยู่ ใช้เวลานานกว่าสามสิบนาทีท่ามกลางการจราจรที่เริ่มจะติดขัด แต่ต้นหนาวกลับมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างทันท่วงที คลาสแรกของวันนี้เริ่มตอนแปดโมงครึ่ง และระหว่างที่ต้นหนาวกำลังวิ่งอยู่นั้นเป็นเวลาแปดโมงยี่สิบนาทีแล้ว “ตายๆๆ ตายแน่ๆ” คนที่ไม่ชอบการเข้าเรียนสายอย่างต้นหนาว เกลียดช่วงเวลานี้มากที่สุด แกรก! หญิงสาวผลักประตูพร้อมกับวิ่งพรวดพราดไปนั่งที่ประจำด้านหลัง โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองเธอเลยสักนิด “ทำไมวันนี้มาสายแบบนี้ล่ะ” มะเหมี่ยวแปลกใจเมื่อเห็นต้นหนาวมาสาย ทั้งที่ปกติแล้วจะมาถึงเป็นคนแรกเสมอ “พอดีนอนเพลินไปหน่อย” “แล้วหายดีหรือยัง” “ก็ยัง แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว” “ฉันจดเลคเชอร์ไว้ให้ ส่วนการบ้านส่งให้ทางอีเมลแล้ว” คนพูดน้อยที่สุดในก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์ แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง “ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ” “ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้” “ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้ “หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็
วันนี้ต้นหนาวได้ไปสอบเทียบเข้ามหาลัย ทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นและต้นหนาวก็มั่นใจว่าทุกอย่างจะออกมาดีเหมือนที่เธอคิดเอาไว้ คินน์กลับมาบ้านและรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเด็กสาวไปสอบแล้วก็พาเธอไปเดินห้างสรรพสินค้าต่อหลังจากที่สอบเสร็จ อีกทั้งยังพาเธอไปกินโน้นกินนี่แต่ต้นหนาวก็ไม่เอะใจเพราะมัวแต่สนุกสนานกับการกินและเที่ยวจนแทบจะลืมไปว่ามีคินน์มาด้วย “นึกยังไงถึงต้นหนาวมาเที่ยวคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามระหว่างที่กำลังเดินเข้าบ้าน “ไม่ต้องอยากรู้” คินน์ตอบด้วยน้ำเสียงดุๆ ทำให้ต้นหนาวหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเขาส่งสายตาดุดันมาที่เธอ “อ้าว พี่คินน์กลับมาเมื่อไหร่คะ” ควีนที่เป็นห่วงกลัวว่าต้นหนาวอยู่บ้านคนเดียวหลังจากสอบเสร็จแล้วจะเหงาจึงแวะกลับมาพร้อมกับอาหารและขนมเต็มไม้เต็มมือ “เมื่อวานน่ะ” “ต้นหนาวพี่ซื้อของกินมาฝาก” ควีนชูขนมและของกินมากมายในมือให้ต้นหนาวดู ทว่าเจ้าตัวกลับรู้สึกอิ่มจนกินอะไรต่อไม่ลงแล้ว “เอ่อ... พี่ควีนกินอะไรมาหรือยังคะ” “พี่กินมาแล้วจ้ะ” “ถ้างั้นเดี๋ยวหนาวเก็บ
ต้นหนาวก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน หลังจากที่คินน์ตกลงให้หญิงสาวมาทำงานที่นี่ วสันต์และอรดาที่เป็นเสาหลักของบ้านต่างก็เอ็นดูต้นหนาวตามๆ กัน เพราะเหมือนได้ลูกสาวมาเพิ่มอีกคน ควีนโล่งใจขึ้นและเข้าใจว่าคินน์เสนอจ้างงานต้นหนาวเพื่อให้เด็กสาวไม่ยึดติดว่าเป็นหนี้บุญคุณต่อครอบครัวของเขา ปล่อยให้ต้นหนาวได้ใช้ชีวิตอย่างดีเสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว แม้จะเป็นงานแต่ก็เป็นงานที่มีความสุขที่สุด ส่วนโคลด์ก็เอ็นดูต้นหนาวเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งไม่ต่างจากควีนเช่นกัน หลังจากผ่านความตายมาได้อย่างเฉียดฉิวก็ต้องขอบคุณต้นหนาวที่เบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นจนทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นศพไปเสียก่อน แต่ก็อาการสาหัสเอาเรื่อง “ต้นหนาว พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับพี่ไหม” ควีนเอ่ยชวนเด็กสาวที่กำลังช่วยจัดเอกสารภายในห้องทำงานของเธอ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดี ควีนเลยถือโอกาสจะพาต้นหนาวไปเที่ยวสักหน่อย ถ้าได้พาเด็กสาวออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็น่าจะดีกว่าอยู่แต่ในบ้าน “ไปสิคะพี่ควีน เอ่อ... ว่าแต่คุณคินน์เขาจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ” ตลอดเวลาที่ต้นหนาวตกลงทำงานอยู่ที่นี่มานานเกือบห้
คินน์ คณิณกรณ์ นักธุรกิจหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นรองประธานบริษัทตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวรวยล้นฟ้า มีธุรกิจมากมายหลายอย่างไม่ว่าใครก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักนามสกุลของเขา ‘วงศ์วรกุลกิตติ์’ แต่ภายใต้หน้ากากของนักธุรกิจ ครอบครัวของเขายังเป็นมาเฟียที่มีอิทธิพลมากอีกด้วยคินน์อุ้มร่างของหญิงสาวแปลกหน้าที่เป็นลมไป เข้ามาภายในบ้านอย่างรีบร้อน “พี่คินน์ นั่นใครคะ” น้องสาวคนเล็กสุดของบ้านอย่าง ‘ควีน’ รีบพุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือทันที เมื่อเห็นว่าในอ้อมแขนของพี่ชายอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย “ไม่รู้สิ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เข้าไปช่วยโคลด์เอาไว้ได้ทัน พี่ก็เลยพามาด้วย” “แต่ทำไมเธอถึงมีรอยแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ไม่ใช่ว่าไปโดนใครทำร้ายมาเหรอคะเนี่ย” ปลายนิ้วเรียวสัมผัสร่างกายมอมแมมอย่างไม่รังเกียจ “งั้นพี่ฝากควีนช่วยจัดการให้หน่อยนะ” “ได้ค่ะ แต่จะพาเธอไปไว้ห้องไหนล่ะคะ” ตอนนี้ทุกห้องในบ้านก็มีคนอยู่ครบ ห้องรับแขกก็ไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้คงจะมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด “ห้องพี่ก็ได้” “หา! เอางั้นเหรอคะ?” ควีนเผลอส่งเสียงร้องตกใจออกมา
ค่ำคืนที่แสนมืดมิดมีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สว่างไสว ราวกับชีวิตของเด็กสาวที่กำลังรอคอยวันที่จะได้เห็นแสงสว่างในปลายทางข้างหน้า อีกไม่นานชีวิตที่ไม่อาจเลือกเกิดได้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล... ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ปึง!“หน้าด้าน! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” เสียงตวาดดังลั่นบ้าน ก่อนที่ร่างของเด็กสาวแสนบอบบางจะถูกผลักออกมาจากบ้านอย่างรุนแรง เนื้อตัวฟกช้ำและมีแต่แผลเต็มไปหมด “พอเถอะจ้ะเมียจ๋า เดี๋ยวมันตายจะเป็นเรื่องใหญ่” “กล้าดียังไงมายุ่งกับผัวกู มึงอยากลองดีกับกูเหรอ” ความโมโหทำให้อีกฝ่ายหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้คำโกหกของผู้ชาย “ผัวเจ๊นั่นแหละ มันคิดไม่ซื่อกับฉัน” หญิงสาวรีบเถียงกลับ เธอไม่ยอมรับในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ทำ ตวัดสายตาไปมองผู้ชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังของเจ๊สร “ไม่ต้องมากล่าวหาผัวกู มึงจะไปตายที่ไหนก็ไป!”ต้นหนาวกระตุกยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายตวาดไล่ ก่อนจะปิดประตูบ้านเต็มแรงด้วยความโมโห คนโง่ก็ยังโง่จนวันยังค่ำ... เมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หนีออกไปจากที่นี่ เธอจึงรีบหอบร่างกายอันบอบช้