ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคง
เสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน “มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหู ทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้น เสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู "หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด" นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?” ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!” เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเกล็ด เนื้อเปื่อยและดวงตาขาวโพลน พวกมันมากันเป็นฝูงพุ่งตรงเข้าใส่เหมือนหอกนับร้อยเล่ม คาเอลหมุนตัวฟันซ้ายขวา เนื้อลื่นเย็นกระเด็นกระจาย แต่ทันใดนั้นเศษเนื้อก็รวมตัวกลับเป็นรูปร่างเดิม พวกมันไม่ตายง่าย ๆ เหมือนสิ่งที่เคยเห็น ดรานตะโกน “อย่าสู้! พุ่งไปที่โพรง!” สี่คนพุ่งตัวฝ่าฝูงเงา คลื่นน้ำแรงจนแทบหลุดหน้ากาก บางครั้งฟันคมเฉียดแก้ม คาเอลรู้สึกเลือดอุ่นผสมกับน้ำเย็นไหลผ่านผิว นีราพุ่งนำ เธอหมุนหอกแทงทะลุช่องว่างระหว่างฝูงปลาผี ก่อนจะสอดตัวเข้าไปด้านหลังเสาหินที่แบร์กตันชี้ โพรงนั้นแคบมากจนไหล่เสียดหินทั้งสองข้าง ความมืดภายในหนาแน่น แต่พวกเขายังต้องฝืนไปต่อ—เพราะด้านหลัง เสียงคลื่นใหญ่กำลังซัดตาม ทันทีที่พวกเขาเลี้ยวพ้นมุมแรก เสียงโครมดังสะท้อนทั่วโพรง น้ำจากด้านนอกถูกดูดเข้ามาราวกับทั้งทะเลกำลังจะไหลทะลักเข้าหา ร่างทั้งสี่ถูกแรงน้ำดึงกลับ แต่แบร์กตันฝังขวานเข้ากับผนังดึงตัวเองไว้ แล้วส่งมือให้ดรานกับคาเอลพยุงนีร่าที่เริ่มหมดแรง ด้านหน้า เริ่มมีแสงจาง ๆ—แต่ไม่ใช่แสงอบอุ่น มันเป็นสีเขียวอมฟ้าที่เหมือนส่องมาจากซากกองกระดูกกลางห้องกลม ห้องนี้เต็มไปด้วยซากมนุษย์และสัตว์ทะเลกองซ้อนกันเป็นภูเขาเล็ก ๆ บนยอดมีกระจกน้ำวนอีกบานหนึ่ง หมุนช้า ๆ คาเอลมองแล้วพึมพำ “นี่…คืออะไร” เสียงราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เหมือนมาจากทุกก้อนหินในถ้ำ "ประตูที่เจ้าตามหา…แต่เมื่อก้าวข้าม จะไม่มีผิวน้ำรอเจ้าอีก" ทันใดนั้น พื้นห้องเริ่มขยับ—ซากกระดูกทั้งหมดไหลรวมกันกลายเป็นร่างสัตว์ประหลาดสูงเท่าบ้าน มีหัวคล้ายปลากะโห้แต่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมหลายชั้น ดวงตาว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง มันคำราม เสียงดังเหมือนหินถล่ม ทั้งห้องสั่นสะเทือน น้ำหมุนวนแรงขึ้นและเริ่มดึงทุกอย่างเข้าสู่กระจกกลางห้อง ดรานยกดาบ “ไม่มีเวลาแล้ว! ผ่านมันไปหรือจมอยู่ที่นี่!” ฝูงเงาตามมาทางโพรงข้างหลัง ความมืดปิดทุกทางหนี เหลือเพียงสัตว์กระดูกยักษ์ตรงหน้า และประตูที่หมุนช้า ๆ เหมือนยั่วเย้าให้เข้าไป สัตว์กระดูกยักษ์คำราม น้ำทั้งห้องสั่นสะเทือนเหมือนกำลังเดือดจากข้างใต้ คาเอลแทบจะจับดาบไม่อยู่เพราะแรงกระแสน้ำบีบมือให้สั่น นีร่ากัดฟันแน่น หอกในมือหนักราวกับมีใครพยายามดึงมันลงสู่พื้น เสียงกระดูกเสียดสีกันดังราวกับฟันเล็บลากบนหิน ความเย็นแผ่ซ่านรอบตัวเหมือนถูกจับโยนลงในห้องเก็บศพ “ซ้าย!” แบร์กตันตะโกน ทั้งสี่พุ่งตัวแยกออกเป็นสองข้าง พอดีกับที่สัตว์กระดูกฟาดแขนใหญ่ใส่ผนังห้องจนหินแตกเป็นเศษฝุ่นที่ฟุ้งกลางน้ำ ดรานหมุนตัวใช้แรงน้ำเร่งพุ่งเข้าใกล้ เขาฟันเข้าที่ข้อขามัน เสียงแตกดัง “กร๊อบ” แต่แทนที่กระดูกจะขาด เศษเล็ก ๆ กลับลอยวนแล้วประกอบกลับคืนในพริบตา “มันฟื้นตัวเองได้!” ดรานสบถ นีราพุ่งตัวขึ้นสูง แทงหอกเข้ากลางกะโหลก เสียงกระดูกแตกดังสะท้อน แต่แล้วมืออีกข้างของมันก็คว้าหอกนั้นได้ในพริบตา เธอถูกเหวี่ยงจนหมุนหลายรอบก่อนคาเอลจะโฉบมาคว้าไว้ “ถ้าฆ่าไม่ได้ ก็ต้องผ่านมันไป!” คาเอลตะโกน ทั้งที่รู้ว่าคำพูดนั้นไม่ต่างจากบอกให้ว่ายผ่านพายุหมุน สัตว์กระดูกฟาดแขนลงอีกครั้ง คราวนี้แรงพอทำให้พื้นห้องแตกเป็นรอยแยก น้ำเย็นจากใต้รอยแยกพุ่งขึ้นเหมือนหายใจแรง ทั้งห้องเริ่มหมุนตามทิศของกระจกกลางห้อง แบร์กตันมองกระแสน้ำที่วนแล้วตะโกน “ใช้มัน! ให้กระแสน้ำพัดเราตรงไปที่ประตู!” ไม่มีเวลาคิด ทั้งสี่พุ่งตัวเข้าหากระแสหลัก คาเอลรู้สึกเหมือนร่างถูกจับขังในลูกศรแล้วถูกยิงออกไปตรง ๆ สัตว์กระดูกพยายามกวาดแขนปิดทาง แต่ดรานใช้ดาบตัดผ่านกระดูกที่ฟื้นตัวช้ากว่าปกติคราวนี้ พวกเขาแล่นผ่านช่องว่างระหว่างซี่โครงยักษ์ เข้าใกล้กระจกหมุนเรื่อย ๆ จนแสงสีเขียวฟาดเข้าตาแรงขึ้นเรื่อย ๆ น้ำรอบตัวเย็นจัดจนชาเหมือนผิวกำลังแตก ก่อนที่จะพุ่งชนกระจก คาเอลมองย้อนกลับไป—ดวงตาสัตว์กระดูกสว่างขึ้นเป็นสีเดียวกับประตู และในเงาของมัน…เขาเห็นใบหน้ามนุษย์หญิง ดวงตาคมเหมือนคมมีด เหยียดยิ้มเล็กน้อย ราชินีใต้น้ำกำลังมองพวกเขาผ่านร่างสัตว์นั้น ไม่มีเวลาให้ถามว่าทำไม เพราะกระแสน้ำก็พาพวกเขาเข้าไปในกระจกอย่างแรง ทุกอย่างรอบตัวบิดเบี้ยว เสียงกระดูกแตก น้ำหมุน และเสียงหัวใจดังรวมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนจะตัดขาดเหมือนมีใครปิดทุกเสียงในโลก ความมืดปกคลุม—แต่คราวนี้ไม่เย็น เเต่กลับร้อนเหมือนลมหายใจของบางสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า แล้วแสงสีทองสว่างวาบขึ้น เผยให้เห็นบัลลังก์ปะการังกลางมหาสมุทรที่ไม่มีขอบเขต ด้านบนมีเงาหญิงร่างสูงสง่า ผมยาวลอยกลางน้ำราวกับเป็นส่วนหนึ่งของทะเล ดวงตาของเธอคือสีเดียวกับประตู—และตอนนี้มันจับจ้องพวกเขาอย่างไม่กะพริบ “ยินดีต้อนรับ…สู่ที่ที่ไม่มีใครกลับออกไป” ราชินีใต้น้ำเอ่ย เสียงของเธอทั้งอ่อนหวานและแฝงแรงกดดันพอจะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ในคราวเดียวเวลาผ่านไปหลายเดือน อีธานเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่บนชายฝั่ง เขาได้สร้างมุมเล็ก ๆ บนเรือไม้ที่ไม่ใช้ล่องทะเลแล้ว เป็นบ้านชั่วคราวสำหรับเขาและลูก ผนังไม้ถูกแขวนเปลือกหอยและดอกไม้ทะเล เงือกตัวน้อยหัวเราะร่าเล่นน้ำในอ่างไม้กว้าง ขณะที่อีธานค่อย ๆ ช่วยเธอสอนว่ายน้ำ ฝึกหายใจ และทำความเข้าใจกับโลกบนบก“พ่อ… ข้าทำได้แล้วนะ!” เสียงเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอีธานยิ้มกว้าง มือเรียวจับมือเด็กไว้แน่น “ดีมาก! เจ้าทำได้จริง ๆ ข้าแทบไม่อยากเชื่อเลย” น้ำเสียงเขาอบอุ่น ราวกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้ทะเลกำลังโอบล้อมพวกเขาไว้ช่วงบ่ายที่เงียบสงบ คลื่นซัดเบา ๆ ผิวทะเลสะท้อนแสงตะวัน ทันใดนั้น คลื่นสูงขึ้นเล็กน้อยเหนือท้องน้ำ และร่างคุ้นเคยก็โผล่พ้นผิวน้ำ ดวงตาสีครามเจิดจ้า ยิ้มอ่อนโยน นีร่า—ราชินีแห่งท้องทะเล—ปรากฏอยู่ตรงหน้า“สวัสดี… ข้าแค่ผ่านมาแวะเยี่ยมสองพ่อลูกของข้า” เธอกระซิบ ราวกับเสียงคลื่นซัดเข้ามาเบา ๆลูกเงือกตัวน้อยตาเบิกกว้าง “แม่!?” แม้ยังเล็ก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจอีธานตาเบิกกว้าง ใจเต้นแรง มือยังกุมเด็กไว้แน่น เขายิ้มออกมา น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว “นีร่า… ข้า… ข้าคิดถึงเจ้า
คลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินที่ยื่นออกไปกลางอ่าว อีธานนั่งอยู่คนเดียว มือกำสร้อย ที่นีร่าเคยให้เขาไว้แน่น สร้อยสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลม และทุกครั้งที่ดวงตาของเขาสบกับมัน ความทรงจำก็กลับมา รอยยิ้มของนีร่า เสียงหัวเราะในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว การต่อสู้ใต้ทะเลลึก และคำสัญญาที่ยังคงอยู่ในใจ“นีร่า… ข้า… ข้าอยากเจอเจ้า…” เสียงอีธานพึมพำเบาๆ มือของเขากำสร้อยแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแหลมใส ๆ ดังขึ้นจากน้ำ อีธานหันมอง เงาร่างเล็ก ๆ ผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ ผมสีทองฟุ้งราวกับเส้นแสง ดวงตาใสเหมือนมุกมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความไว้วางใจ“พ่อ…” เสียงนั้นเรียบง่าย แต่ชัดเจน ท่วงทำนองนั้นเจือความอบอุ่นและความคุ้นเคยที่ลึกซึ้งอีธานตาเบิกกว้าง มือที่กำสร้อยไว้เกือบหลุด ร่างเขาสั่นด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อสายตา “เฮ้… เจ้าคือ....เด็กเงือกตัวน้อยยิ้มกว้าง โบกมือ “ข้าคือ… ลูกของพ่อ เเม่ส่งข้าขึ้นมาอีธานแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาก้มลง กำมือทั้งสองของเด็กไว้แน่น รู้สึกถึงความอบอุ่นและชีวิตที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้ง“นี่… จริงหรือ… ข้า… ข้าต้องดูแลเจ้า… ใช่ไหม?” เสียงเขาสั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยควา
เสียงดนตรีเบาลง ดวงไฟระยิบระยับสะท้อนบนผิวน้ำรอบ ๆ พระราชวัง เป็นฉากที่เหมาะกับความสงบ แต่ในใจของนีร่าเต็มไปด้วยความว้าวุ่นอีธานยืนอยู่ข้างเธอ มองออกไปยังผืนน้ำทะเลมืดกว่าปกติ “คืนนี้… ทุกอย่างเหมือนฝันเลยนะ” เขาพูดเบา ๆ ราวกับกลัวคำพูดจะทำให้มันแตกสลายนีร่ายิ้มบาง ๆ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ใช่… เหมือนฝัน… แต่ข้ากลับรู้สึกว่าฝันนี้กำลังจะจบลง”อีธานเงยหน้ามองนีร่า ดวงตาของเขาสื่อถึงความสงสัยและความเจ็บปวด “เจ้าหมายความว่าอะไร? นีร่า… อย่าบอกว่าข้าต้องเสียเจ้าไปอีกครั้งนะ”นีร่าเงียบไปสักครู่ สูดหายใจลึก ๆ ก่อนเอ่ยเสียงสั่น ๆ “ข้า… ต้องกลับไปยังทะเล… ข้าต้องกลับไปเป็นราชินีอีกครั้ง”อีธานชะงัก มือของเขาข้างหนึ่งจับข้อมือเธอแน่น “แต่…คืนนี้เจ้ากำลังอยู่ที่นี่กับข้า… เราเพิ่งรอดมา…เพิ่งเฉลิมฉลอง…เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรอกนะ”นีร่าหันหน้าหนี น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่สามารถอยู่ต่อได้…ทะเลต้องการข้า… ข้าต้องปกป้องมัน… และถ้าข้าไม่ไป… จะมีอีกหลายชีวิตที่ถูกคุกคาม… ข้าไม่สามารถเห็นใครต้องตายเพราะข้าไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง”อีธานสูดลึก พลางเอื้อมมือลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบ
พระราชวัง ถูกแปลงเป็นสวนแห่งแสงไฟ โคมไฟกระจกน้ำมันแขวนเรียงรายเหนือสวนล้อมด้วยต้นปาล์มทะเล แสงสีทองสะท้อนลงบนผิวน้ำบ่อน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และเปลือกหอย เสียงคลื่นทะเลด้านนอกผสมกับเสียงดนตรีสดที่เล่นท่วงทำนองโจรสลัดปนหวานโต๊ะยาวจากไม้โอ๊กวางเรียงซ้อนด้วยจานเงิน จานทอง และชามมุก ภายในเต็มไปด้วยอาหาร—กุ้งย่างราดซอสไวน์ขาว ปูทะเลนึ่งเสิร์ฟคู่เนยสมุนไพร หอยนางรมสดวางบนก้อนน้ำแข็ง กุหลาบทอดคลุกเกลือทะเล และขนมปังอบใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลฟรอเรสในชุดเจ้าชายโจรสลัดเต็มยศเดินถือแก้วไวน์แดง ผ่านแขกเหรื่อที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เขายืนคุยกับดรานที่กำลังหั่นเนื้อกวางป่า"บอกข้ามาตรง ๆ ดราน—เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าจะลงเอยแต่งงานแบบราชพิธี?"ดรานเหลือบมองแล้วยักไหล่ "ข้าคิดว่าเจ้าคงลงเอยในคุกมากกว่า"เสียงหัวเราะจากโต๊ะดังขึ้นทันทีที่ฟรอเรสหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า! ดีที่วันนี้ไม่ใช่คุก แต่ถ้าเป็นคุกที่มีไอล่าอยู่ด้วย ข้าก็ยอม”อีกมุมหนึ่งของงาน นีร่ากำลังสอนเด็ก ๆ ในเมืองเต้นรำแบบโจรสลัด เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักขณะที่พยายามหมุนตัวและกระทืบเท้าตามจังหวะกลองอีธานกับซารีนกำลังเล่นพนันเล็ก ๆ ด้วยลูกเต๋า—แต่แ
เรือไม้ของฟรอเรสแล่นฝ่าคลื่นออกจากเขตน้ำวนได้ในที่สุด ทะเลกลับมาสงบลงทีละน้อย กลิ่นเกลือคละเคล้ากับกลิ่นไม้เก่า ๆ ของดาดฟ้าให้ความรู้สึกโล่งใจหลังผ่านพายุ“ฟู่… ข้าว่าเราสมควรหาที่นั่งดื่มสักเจ็ดแปดขวดเพื่อฉลองที่ยังมีชีวิต” ฟรอเรสเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองยิ้มกว้าง“ถ้าดื่มแล้วเรือไม่ถึงฝั่ง ก็ไม่ต้องฉลองหรอก”“เชื่อมือข้าเถอะ กัปตันเรือผู้นี้ไม่เคยชนโขดหิน… เอ่อ ก็มีครั้งเดียว แต่นั่นเพราะหินมันขยับเข้ามาหาข้า” ฟรอเรสว่าพลางหัวเราะเสียงดังในที่สุด เส้นขอบฟ้าก็เผยให้เห็นเงาของวังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเกาะกลางทะเล ตัวปราสาทเป็นหินสีทองปนส้ม หลังคามุงกระเบื้องสีเขียวมรกตสะท้อนแดดจนแสบตา รอบ ๆ มีท่าเรือหินอ่อนและสวนปาล์มไหวเอนตามลมเมื่อเรือเทียบท่า บรรดาคนรับใช้สวมเสื้อผ้าสีสดพากันออกมาต้อนรับ ทั้งยกผลไม้ เหล้า และผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ทุกคนฟรอเรสยิ้มร่าแล้วหันไปหาไอล่า ซึ่งกำลังยืนมองวิวรอบ ๆ อย่างสงบ “นี่… เอ่อ…” เขาเกาท้ายคออย่างเก้อ ๆไอล่าเลิกคิ้ว “อะไรหรือ?”“คือ… ข้าเคยพาใครมาที่นี่ไม่กี่ครั้งนะ ส่วนใหญ่ก็แค่พวก… เอ่อ… ลูกเรือขี้เมา หรือไม่ก็พวกนักล่าค่าหัวที่มาขอที่ซุกหัวนอน”“แล้วทำไมถ
เสียงคลื่นกระแทกตัวเรือไม้ดัง ป้าบ… ป้าบ… กลิ่นน้ำทะเลผสมกลิ่นไม้เก่าของดาดฟ้าอบอวลอยู่ในอากาศ แสงแดดบ่ายส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย แต่ในอกของทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อยนีร่าทิ้งตัวนั่งลงบนกล่องไม้ มือยังสั่นน้อย ๆ จากภาพที่เพิ่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าของเธอมองออกไปยังผิวน้ำ—แค่เพียงใต้ชั้นผิวน้ำไม่กี่เมตร เธอสาบานว่าเห็นเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนขนานไปกับเรือช้าๆ.."นีร่า?" คาเอลที่กำลังเช็กบาดแผลตัวเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอจ้องออกไปนิ่งผิดปกติเธอกะพริบตาช้า ๆ แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว "เรา… ไม่ได้หนีรอดจริง ๆ"คาเอลเลิกคิ้ว แต่ก่อนจะถามต่อ เสียงไอของดรานก็ดังขึ้น เขานั่งพิงเสาเรือ หายใจแรงเหมือนยังไม่ฟื้นเต็มที่จากพิษเวทมนตร์ของราชินี น้ำหยดจากผมลงบนพื้นดาดฟ้าเป็นสาย"เขาจะกลับมา…" ดรานเอ่ยเสียงแหบ "และครั้งหน้า… พวกเราจะไม่มีโชคช่วยอีก"ฟรอเรสซึ่งกำลังรินเหล้าลงแก้วหัวเราะในลำคอ"เฮ้… อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนโดนสาป ข้าเพิ่งเปิดเหล้าขวดใหม่ จะให้บรรยากาศตึงแบบนี้ไม่ได้นะ" เขายกแก้วขึ้นจิบอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันที่เหล้าจะไหลลงคอเต็มคำ—เรือทั้งลำก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ครืนนนนน!เสียงไม้ครา