เสียงคลื่นกระแทกตัวเรือไม้ดัง ป้าบ… ป้าบ… กลิ่นน้ำทะเลผสมกลิ่นไม้เก่าของดาดฟ้าอบอวลอยู่ในอากาศ แสงแดดบ่ายส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย แต่ในอกของทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย
นีร่าทิ้งตัวนั่งลงบนกล่องไม้ มือยังสั่นน้อย ๆ จากภาพที่เพิ่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าของเธอมองออกไปยังผิวน้ำ—แค่เพียงใต้ชั้นผิวน้ำไม่กี่เมตร เธอสาบานว่าเห็นเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนขนานไปกับเรือช้าๆ.. "นีร่า?" คาเอลที่กำลังเช็กบาดแผลตัวเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอจ้องออกไปนิ่งผิดปกติ เธอกะพริบตาช้า ๆ แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว "เรา… ไม่ได้หนีรอดจริง ๆ" คาเอลเลิกคิ้ว แต่ก่อนจะถามต่อ เสียงไอของดรานก็ดังขึ้น เขานั่งพิงเสาเรือ หายใจแรงเหมือนยังไม่ฟื้นเต็มที่จากพิษเวทมนตร์ของราชินี น้ำหยดจากผมลงบนพื้นดาดฟ้าเป็นสาย "เขาจะกลับมา…" ดรานเอ่ยเสียงแหบ "และครั้งหน้า… พวกเราจะไม่มีโชคช่วยอีก" ฟรอเรสซึ่งกำลังรินเหล้าลงแก้วหัวเราะในลำคอ "เฮ้… อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนโดนสาป ข้าเพิ่งเปิดเหล้าขวดใหม่ จะให้บรรยากาศตึงแบบนี้ไม่ได้นะ" เขายกแก้วขึ้นจิบอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันที่เหล้าจะไหลลงคอเต็มคำ—เรือทั้งลำก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ครืนนนนน! เสียงไม้ครางดังก้องจากใต้ท้องเรือ ทำให้ขวดเหล้าในมือเขาสั่นจนต้องวางลง "อะไรกันอีกวะ…" ฟรอเรสพึมพำ "ไม่ใช่คลื่น" อีธานพูดสั้น ๆ มือข้างหนึ่งคว้าด้ามดาบ อีกข้างจับขอบเรือแน่น ดวงตาคมมองไปยังผิวน้ำรอบ ๆ แรงสั่นสะเทือนครั้งที่สองตามมาทันที คราวนี้แรงพอให้กล่องไม้หลายใบล้มกลิ้ง "ทุกคน เตรียมตัว!" คาเอลตะโกน บรรยากาศเปลี่ยนจากเหนื่อยล้าเป็นตื่นตัวในเสี้ยววินาที ฟรอเรสชะโงกมองลงไปในน้ำ… เห็นเพียงความมืดเคลื่อนผ่านใต้ท้องเรือ มันใหญ่—ใหญ่เกินกว่าจะเป็นสัตว์น้ำธรรมดา และเคลื่อนที่อย่างมีจุดหมาย "ข้าเกลียดเวลาที่ท้องเรือมันสั่นแบบนี้…" เขาพึมพำ แต่ก็ล้วงมีดสั้นออกมาจากเข็มขัด ดรานฝืนลุกขึ้น แม้ร่างกายจะยังอ่อนแรง "ถ้าเป็นเขา—" ป้าบ! เสียงกระแทกครั้งใหม่ดังขึ้นคราวนี้รุนแรงจนเรือเอียง น้ำทะเลซัดขึ้นมาบนดาดฟ้าเปียกชุ่มไปครึ่งหนึ่ง "จับให้แน่น!" อีธานตะโกน เขาเห็นบางสิ่งเคลื่อนผ่านข้างเรือ—เกล็ดสีเงินแวววาววาบใต้แสงแดด เพียงพอให้รู้ว่ามันไม่ใช่สัตว์น้ำธรรมดา แต่เป็นบางสิ่งที่มีเจตนา… และกำลังไล่ล่า "นั่นเขา…" นีร่าเอ่ยเสียงสั่น "พี่ชายของราชินี…" คาเอลสบถในลำคอ "เขาตามเรามาถึงผิวน้ำได้ยังไง—" ยังไม่ทันจบประโยค เสาน้ำขนาดมหึมาก็พุ่งขึ้นข้างเรือ เสียงดังเหมือนฟ้าผ่าผสมกับเสียงแตกของน้ำทะเล เศษน้ำกระเด็นปะทะหน้าทุกคน เงามหึมาผุดขึ้นจากผิวน้ำเพียงครึ่งร่าง—โครงร่างของชายเงือกสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นราวกับสลักจากหิน ดวงตาสีเงินคู่นั้นจับจ้องตรงมายังนีราราวกับมองทะลุคนอื่นทั้งหมด "หนีได้เร็ว… แต่ก็แค่ครั้งนี้" เสียงของเขาหนักและก้องราวกับมาจากก้นทะเล "เรือต้องออกจากเขตนี้เดี๋ยวนี้!" อีธานตะโกนสั่งฟรอเรส ฟรอเรสกระตุกเชือกเรือใบทันที "เอาล่ะ จับให้ดีล่ะเด็ก ๆ เพราะข้าจะซัดเรือนี้ให้บินได้เลย!" เรือไม้กระโจนไปข้างหน้าด้วยแรงลมที่ฟรอเรสบังคับ แต่กระแสน้ำรอบตัวก็หมุนวนผิดปกติ เหมือนถูกมือยักษ์ใต้ทะเลบีบไว้ เสียงไม้ครางดังก้องอีกครั้ง "เขากำลังล็อกเราไว้ในวงน้ำ!" คาเอลมองไปด้านหลัง เห็นเกลียวคลื่นสูงเหมือนกำแพงกำลังไล่บีบเข้ามา "ต้องตัดวงเวทน้ำเขาก่อน ไม่งั้นเรือจมแน่!" ดรานคว้าดาบขึ้นมา แม้ร่างจะโงนเงนแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นีร่าก้าวมาข้างเขา "ให้ฉันช่วย—" "ไม่" ดรานส่ายหน้า "เจ้าต้องเตรียมพลังไว้ ถ้าเราพลาด… เจ้าคือคนเดียวที่พอจะหยุดเขาได้" เงาของพี่ชายราชินีเคลื่อนเข้าใกล้เรือขึ้นเรื่อย ๆ เกลียวคลื่นยกสูงขึ้นจนบังแสงแดด ดวงตาสีเงินวาววับราวกับคมมีด คลื่นสูงตระหง่านราวกำแพงน้ำคุกคามเรือทุกฝั่ง ดวงตาสีเงินคู่นั้นจ้องเขม็งตรงไปที่ดรานกับนีราราวกับมองทะลุทุกคน เสียงคำรามต่ำก้องสะท้อนผ่านกระแสน้ำ “ครั้งนี้… ไม่มีราชินีมาคุ้มครองพวกเจ้าแล้ว” ไม้ของเรือลั่นดัง เอี๊ยดดดดด เมื่อกระแสน้ำมหาศาลบีบเรือเหมือนกำลังบดขยี้ อีธานเหยียบขอบดาดฟ้า ดาบใหญ่ในมือพร้อมโจนเข้าใส่ แต่เขารู้—การสู้ในน้ำเปิดแบบนี้คือการให้เป้าหมายแก่ศัตรูที่เร็วกว่า "เรือจะพังถ้าเราสู้ตรงนี้!" คาเอลตะโกน ฝ่ามือทั้งสองเริ่มเรืองแสงฟ้าจากเวทควบคุมน้ำ แต่พี่ชายราชินีสะบัดมือเพียงครั้งเดียว กระแสน้ำแรงมหาศาลก็ซัดเวทนั้นสลายทันที "เขาไม่เหมือนราชินี" ดรานกัดฟัน "พลังของเขาเชื่อมกับทะเลทั้งหมด…" ฟรอเรสที่ยืนประคองพวงมาลัยเรือสบถ "ถ้าพวกเจ้าจะคิดแผน ทำให้มันเร็วหน่อย! เรือข้ากำลังจะกลายเป็นไม้ขีดไฟลอยน้ำ!" ทันใดนั้น—เสียง ตึง! ดังก้องจากหัวเรือ เงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากน้ำ คลื่นกระเด็นสาดไปทั่วดาดฟ้า ร่างสูงในเกราะหนังสีดำเคลือบเปลือกหอยทะเล ยืนถือหอกยาวที่ปลายเรืองแสงฟ้าขาว "ซารีน…!" นีราร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา นักรบหญิงแห่งเขตน้ำลึก ผู้เคยหายสาบสูญไปนานหลายปี และเคยเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์เก่าก่อนนีราจะได้รับตำแหน่ง ซารีนไม่เสียเวลาอธิบาย เธอก้าวไปข้างหน้าเพียงสองก้าวแล้วกระโดดลงน้ำ เสียงน้ำแตกดัง ป๋อม! ร่างเธอหายวับไปในคลื่นเชี่ยว ดรานพยายามมองตาม—ทันใดนั้นคลื่นรอบเรือก็สั่นอย่างรุนแรง เงาสองร่างเคลื่อนปะทะกันใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว พี่ชายราชินีฟาดหางมหึมาหวังจะตวัดซารีนให้กระเด็น แต่เธอกลับหมุนตัวหลบ และใช้หอกปักลงบนสัญลักษณ์เรืองแสงที่หน้าอกเขา เสียงคำรามดังสะท้อนใต้ทะเล คลื่นน้ำพวยพุ่งขึ้นรอบเรือจนสาดเข้าดาดฟ้าเหมือนฝนตกหนัก ฟรอเรสกรีดร้อง "เฮ้! พวกเจ้ากำลังทำเรือข้าจมอยู่รู้ไหม?!" อีธานมองภาพนั้นแล้วเข้าใจทันที ซารีนและพี่ชายราชินีผลัดกันจู่โจมเป็นวงน้ำวน ร่างของเธอเล็กกว่าเกือบครึ่งแต่การเคลื่อนไหวคมกริบเหมือนใบมีด พี่ชายราชินีฟาดมืออีกครั้งเพื่อสร้างคลื่นมหึมา แต่ซารีนปักหอกลงบนพื้นทะเลชั่ววินาที แล้วหมุนตัวฟันแนวตั้งพาดผ่านกลางอกของเขา—ไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อตัดเส้นเวทโบราณที่ล้อมรอบหัวใจเขา ทันทีที่เส้นเวทขาด เสียงน้ำหมุนแรงก็หยุดลงอย่างกะทันหัน กำแพงคลื่นที่ล้อมเรือพังทลายกลายเป็นฟองน้ำกระจาย พี่ชายราชินีชะงัก ร่างมหึมาสั่นเล็กน้อย ดวงตาสีเงินยังจ้องซารีนด้วยความโกรธ แต่ท่าทีช้าลง ซารีนยกหอกขึ้นขู่ "ข้าสามารถปลิดชีพเจ้าได้ตอนนี้… แต่เจ้าไม่คู่ควรตายด้วยฝีมือข้า จงกลับไปยังความมืดของเจ้าก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ" เขาหัวเราะในลำคอ เสียงต่ำและเย็นเยียบ "เจ้ากับข้า… ยังไม่จบ" แล้วร่างมหึมาก็ถอยห่างออกไปช้า ๆ ก่อนดำดิ่งหายลงสู่ความลึกของมหาสมุทร ซารีนโผล่ขึ้นผิวน้ำ หอบหายใจแต่ยังยืนตัวตรง ดวงตาคมกวาดมองพวกเขาบนเรือ "ยังมีเวลาไม่มาก เราต้องออกจากเขตนี้ก่อนที่พลังของเขาจะฟื้นกลับมา" ฟรอเรสยิ้มเจื่อน "ได้ยินแบบนี้ ข้าจะพาเรือหนีจนใบเรือขาดเลยคอยดู" เขาหมุนพวงมาลัย เรือเริ่มแล่นเร็วขึ้นด้วยแรงลมที่เขาดึงออกจากทิศทาง นีรามองซารีนด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนกัน—โล่งใจ ดีใจที่ได้เจอ แต่ก็เต็มไปด้วยคำถาม "ทำไม… ถึงมาที่นี่? ทุกคนคิดว่าท่านตายไปแล้ว"เวลาผ่านไปหลายเดือน อีธานเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่บนชายฝั่ง เขาได้สร้างมุมเล็ก ๆ บนเรือไม้ที่ไม่ใช้ล่องทะเลแล้ว เป็นบ้านชั่วคราวสำหรับเขาและลูก ผนังไม้ถูกแขวนเปลือกหอยและดอกไม้ทะเล เงือกตัวน้อยหัวเราะร่าเล่นน้ำในอ่างไม้กว้าง ขณะที่อีธานค่อย ๆ ช่วยเธอสอนว่ายน้ำ ฝึกหายใจ และทำความเข้าใจกับโลกบนบก“พ่อ… ข้าทำได้แล้วนะ!” เสียงเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอีธานยิ้มกว้าง มือเรียวจับมือเด็กไว้แน่น “ดีมาก! เจ้าทำได้จริง ๆ ข้าแทบไม่อยากเชื่อเลย” น้ำเสียงเขาอบอุ่น ราวกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นใต้ทะเลกำลังโอบล้อมพวกเขาไว้ช่วงบ่ายที่เงียบสงบ คลื่นซัดเบา ๆ ผิวทะเลสะท้อนแสงตะวัน ทันใดนั้น คลื่นสูงขึ้นเล็กน้อยเหนือท้องน้ำ และร่างคุ้นเคยก็โผล่พ้นผิวน้ำ ดวงตาสีครามเจิดจ้า ยิ้มอ่อนโยน นีร่า—ราชินีแห่งท้องทะเล—ปรากฏอยู่ตรงหน้า“สวัสดี… ข้าแค่ผ่านมาแวะเยี่ยมสองพ่อลูกของข้า” เธอกระซิบ ราวกับเสียงคลื่นซัดเข้ามาเบา ๆลูกเงือกตัวน้อยตาเบิกกว้าง “แม่!?” แม้ยังเล็ก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจอีธานตาเบิกกว้าง ใจเต้นแรง มือยังกุมเด็กไว้แน่น เขายิ้มออกมา น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว “นีร่า… ข้า… ข้าคิดถึงเจ้า
คลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินที่ยื่นออกไปกลางอ่าว อีธานนั่งอยู่คนเดียว มือกำสร้อย ที่นีร่าเคยให้เขาไว้แน่น สร้อยสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลม และทุกครั้งที่ดวงตาของเขาสบกับมัน ความทรงจำก็กลับมา รอยยิ้มของนีร่า เสียงหัวเราะในคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว การต่อสู้ใต้ทะเลลึก และคำสัญญาที่ยังคงอยู่ในใจ“นีร่า… ข้า… ข้าอยากเจอเจ้า…” เสียงอีธานพึมพำเบาๆ มือของเขากำสร้อยแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสียงหัวเราะแหลมใส ๆ ดังขึ้นจากน้ำ อีธานหันมอง เงาร่างเล็ก ๆ ผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ ผมสีทองฟุ้งราวกับเส้นแสง ดวงตาใสเหมือนมุกมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความไว้วางใจ“พ่อ…” เสียงนั้นเรียบง่าย แต่ชัดเจน ท่วงทำนองนั้นเจือความอบอุ่นและความคุ้นเคยที่ลึกซึ้งอีธานตาเบิกกว้าง มือที่กำสร้อยไว้เกือบหลุด ร่างเขาสั่นด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อสายตา “เฮ้… เจ้าคือ....เด็กเงือกตัวน้อยยิ้มกว้าง โบกมือ “ข้าคือ… ลูกของพ่อ เเม่ส่งข้าขึ้นมาอีธานแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาก้มลง กำมือทั้งสองของเด็กไว้แน่น รู้สึกถึงความอบอุ่นและชีวิตที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้ง“นี่… จริงหรือ… ข้า… ข้าต้องดูแลเจ้า… ใช่ไหม?” เสียงเขาสั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยควา
เสียงดนตรีเบาลง ดวงไฟระยิบระยับสะท้อนบนผิวน้ำรอบ ๆ พระราชวัง เป็นฉากที่เหมาะกับความสงบ แต่ในใจของนีร่าเต็มไปด้วยความว้าวุ่นอีธานยืนอยู่ข้างเธอ มองออกไปยังผืนน้ำทะเลมืดกว่าปกติ “คืนนี้… ทุกอย่างเหมือนฝันเลยนะ” เขาพูดเบา ๆ ราวกับกลัวคำพูดจะทำให้มันแตกสลายนีร่ายิ้มบาง ๆ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ใช่… เหมือนฝัน… แต่ข้ากลับรู้สึกว่าฝันนี้กำลังจะจบลง”อีธานเงยหน้ามองนีร่า ดวงตาของเขาสื่อถึงความสงสัยและความเจ็บปวด “เจ้าหมายความว่าอะไร? นีร่า… อย่าบอกว่าข้าต้องเสียเจ้าไปอีกครั้งนะ”นีร่าเงียบไปสักครู่ สูดหายใจลึก ๆ ก่อนเอ่ยเสียงสั่น ๆ “ข้า… ต้องกลับไปยังทะเล… ข้าต้องกลับไปเป็นราชินีอีกครั้ง”อีธานชะงัก มือของเขาข้างหนึ่งจับข้อมือเธอแน่น “แต่…คืนนี้เจ้ากำลังอยู่ที่นี่กับข้า… เราเพิ่งรอดมา…เพิ่งเฉลิมฉลอง…เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเดี๋ยวนี้หรอกนะ”นีร่าหันหน้าหนี น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่สามารถอยู่ต่อได้…ทะเลต้องการข้า… ข้าต้องปกป้องมัน… และถ้าข้าไม่ไป… จะมีอีกหลายชีวิตที่ถูกคุกคาม… ข้าไม่สามารถเห็นใครต้องตายเพราะข้าไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง”อีธานสูดลึก พลางเอื้อมมือลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบ
พระราชวัง ถูกแปลงเป็นสวนแห่งแสงไฟ โคมไฟกระจกน้ำมันแขวนเรียงรายเหนือสวนล้อมด้วยต้นปาล์มทะเล แสงสีทองสะท้อนลงบนผิวน้ำบ่อน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และเปลือกหอย เสียงคลื่นทะเลด้านนอกผสมกับเสียงดนตรีสดที่เล่นท่วงทำนองโจรสลัดปนหวานโต๊ะยาวจากไม้โอ๊กวางเรียงซ้อนด้วยจานเงิน จานทอง และชามมุก ภายในเต็มไปด้วยอาหาร—กุ้งย่างราดซอสไวน์ขาว ปูทะเลนึ่งเสิร์ฟคู่เนยสมุนไพร หอยนางรมสดวางบนก้อนน้ำแข็ง กุหลาบทอดคลุกเกลือทะเล และขนมปังอบใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลฟรอเรสในชุดเจ้าชายโจรสลัดเต็มยศเดินถือแก้วไวน์แดง ผ่านแขกเหรื่อที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เขายืนคุยกับดรานที่กำลังหั่นเนื้อกวางป่า"บอกข้ามาตรง ๆ ดราน—เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าจะลงเอยแต่งงานแบบราชพิธี?"ดรานเหลือบมองแล้วยักไหล่ "ข้าคิดว่าเจ้าคงลงเอยในคุกมากกว่า"เสียงหัวเราะจากโต๊ะดังขึ้นทันทีที่ฟรอเรสหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า! ดีที่วันนี้ไม่ใช่คุก แต่ถ้าเป็นคุกที่มีไอล่าอยู่ด้วย ข้าก็ยอม”อีกมุมหนึ่งของงาน นีร่ากำลังสอนเด็ก ๆ ในเมืองเต้นรำแบบโจรสลัด เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักขณะที่พยายามหมุนตัวและกระทืบเท้าตามจังหวะกลองอีธานกับซารีนกำลังเล่นพนันเล็ก ๆ ด้วยลูกเต๋า—แต่แ
เรือไม้ของฟรอเรสแล่นฝ่าคลื่นออกจากเขตน้ำวนได้ในที่สุด ทะเลกลับมาสงบลงทีละน้อย กลิ่นเกลือคละเคล้ากับกลิ่นไม้เก่า ๆ ของดาดฟ้าให้ความรู้สึกโล่งใจหลังผ่านพายุ“ฟู่… ข้าว่าเราสมควรหาที่นั่งดื่มสักเจ็ดแปดขวดเพื่อฉลองที่ยังมีชีวิต” ฟรอเรสเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองยิ้มกว้าง“ถ้าดื่มแล้วเรือไม่ถึงฝั่ง ก็ไม่ต้องฉลองหรอก”“เชื่อมือข้าเถอะ กัปตันเรือผู้นี้ไม่เคยชนโขดหิน… เอ่อ ก็มีครั้งเดียว แต่นั่นเพราะหินมันขยับเข้ามาหาข้า” ฟรอเรสว่าพลางหัวเราะเสียงดังในที่สุด เส้นขอบฟ้าก็เผยให้เห็นเงาของวังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเกาะกลางทะเล ตัวปราสาทเป็นหินสีทองปนส้ม หลังคามุงกระเบื้องสีเขียวมรกตสะท้อนแดดจนแสบตา รอบ ๆ มีท่าเรือหินอ่อนและสวนปาล์มไหวเอนตามลมเมื่อเรือเทียบท่า บรรดาคนรับใช้สวมเสื้อผ้าสีสดพากันออกมาต้อนรับ ทั้งยกผลไม้ เหล้า และผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ทุกคนฟรอเรสยิ้มร่าแล้วหันไปหาไอล่า ซึ่งกำลังยืนมองวิวรอบ ๆ อย่างสงบ “นี่… เอ่อ…” เขาเกาท้ายคออย่างเก้อ ๆไอล่าเลิกคิ้ว “อะไรหรือ?”“คือ… ข้าเคยพาใครมาที่นี่ไม่กี่ครั้งนะ ส่วนใหญ่ก็แค่พวก… เอ่อ… ลูกเรือขี้เมา หรือไม่ก็พวกนักล่าค่าหัวที่มาขอที่ซุกหัวนอน”“แล้วทำไมถ
เสียงคลื่นกระแทกตัวเรือไม้ดัง ป้าบ… ป้าบ… กลิ่นน้ำทะเลผสมกลิ่นไม้เก่าของดาดฟ้าอบอวลอยู่ในอากาศ แสงแดดบ่ายส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย แต่ในอกของทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อยนีร่าทิ้งตัวนั่งลงบนกล่องไม้ มือยังสั่นน้อย ๆ จากภาพที่เพิ่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าของเธอมองออกไปยังผิวน้ำ—แค่เพียงใต้ชั้นผิวน้ำไม่กี่เมตร เธอสาบานว่าเห็นเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนขนานไปกับเรือช้าๆ.."นีร่า?" คาเอลที่กำลังเช็กบาดแผลตัวเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอจ้องออกไปนิ่งผิดปกติเธอกะพริบตาช้า ๆ แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว "เรา… ไม่ได้หนีรอดจริง ๆ"คาเอลเลิกคิ้ว แต่ก่อนจะถามต่อ เสียงไอของดรานก็ดังขึ้น เขานั่งพิงเสาเรือ หายใจแรงเหมือนยังไม่ฟื้นเต็มที่จากพิษเวทมนตร์ของราชินี น้ำหยดจากผมลงบนพื้นดาดฟ้าเป็นสาย"เขาจะกลับมา…" ดรานเอ่ยเสียงแหบ "และครั้งหน้า… พวกเราจะไม่มีโชคช่วยอีก"ฟรอเรสซึ่งกำลังรินเหล้าลงแก้วหัวเราะในลำคอ"เฮ้… อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนโดนสาป ข้าเพิ่งเปิดเหล้าขวดใหม่ จะให้บรรยากาศตึงแบบนี้ไม่ได้นะ" เขายกแก้วขึ้นจิบอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันที่เหล้าจะไหลลงคอเต็มคำ—เรือทั้งลำก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ครืนนนนน!เสียงไม้ครา