สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”
นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆ เส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหิน เมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้อง แบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี” คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?” “มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ” นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม” แบร์กตันส่ายหัว “ไม่มี” เสียงกระเพื่อมเบา ๆ ดังขึ้นจากกลางทะเลสาบ วงน้ำเล็ก ๆ กระจายออกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนอยู่ใต้นั้น ดรานยกดาบขึ้นโดยอัตโนมัติ “เราต้องลงเดี๋ยวนี้ ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวว่าเรามา” แบร์กตันว่า พร้อมดึงหน้ากากดำน้ำครึ่งหน้าแบบเก่ามาแจกคนละอัน พวกเขาก้าวลงสู่ขอบน้ำเย็นเฉียบ ร่างทั้งสี่ดำลงพร้อมกัน ความมืดกลืนแสงสุดท้ายไปอย่างรวดเร็ว เสียงหัวใจและลมหายใจในหน้ากากเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ได้ยิน ทางเดินหินใต้น้ำคดเคี้ยว บางช่วงแคบจนไหล่เฉียดผนัง เส้นแสงจากพืชเรืองแสงบางชนิดเป็นเหมือนรอยนำทาง บอกว่าพวกเขาใกล้ถึงที่หมาย ทันใดนั้น แสงสีฟ้าสว่างขึ้นตรงหน้า—ผนังถ้ำเปิดออกสู่โพรงน้ำมหึมาที่ภายในมี “นครใต้น้ำ” สร้างจากปะการังสีขาวและหินมรกต ปราสาทหลักตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเสาหินสลักเป็นรูปสัตว์ทะเลแปลกตา รอบ ๆ เมือง เงาของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์แต่มีครีบหลังเคลื่อนช้า ๆ เหมือนกำลังลาดตระเวน แบร์กตันออกสัญญาณมือให้ลดระดับลง เขาพาพวกเขาแทรกผ่านซากเรือโบราณที่จมเป็นกำแพงธรรมชาติ จนมาถึงประตูด้านข้างของปราสาท—ประตูหินที่มีสัญลักษณ์รูปตาแกะสลักไว้เหมือนบนแผนที่ เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในโถงหิน เสียงเหมือนท้องทะเลคร่ำครวญก็ดังสะท้อนรอบตัว แสงจากโคมไฟคริสตัลน้ำเงินสว่างพอให้เห็นทางเดินยาวที่ทอดเข้าสู่ใจกลางปราสาท ที่ปลายโถง เสียงก้องต่ำแผ่วราวบทสวดลอยมา—เสียงนั้นไม่ใช่แค่ดังในหู แต่มันกระทบตรงไปถึงกระดูกสันหลังของทุกคน นีร่าหยุดก้าว เธอรู้สึกเหมือนน้ำรอบตัวข้นขึ้นและอุ่นกว่าปกติ ดวงตาเธอเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อสำนึกได้—ราชินีรู้แล้วว่าพวกเขามาถึง โถงหินทอดยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทุกก้าวที่พวกเขาเดิน เสียงบทสวดก็ยิ่งดังขึ้น และเนื้อเสียงนั้นเริ่มมีทำนอง…ไม่ใช่แค่เสียงของมนุษย์ แต่เหมือนมีสำเนียงของคลื่น ชายฝั่ง และเสียงกระซิบจากใต้สมุทรพันปี คาเอลกลืนน้ำลาย แม้จะอยู่ใต้น้ำเขาก็ยังรู้สึกคอแห้ง “เฮ้…เสียงนี่มันเหมือนกำลังอยู่ในหัวฉันเลย” แบร์กตันขมวดคิ้ว “ก็เพราะมันไม่ได้แค่เข้าหู—มันกำลัง อ่าน ความคิดเราอยู่” นีร่าขยับหอกในมือแน่นขึ้น ดรานกำหมัดแน่น ดาบในมือสะท้อนแสงคริสตัลเป็นประกายสั่น ๆ ราวกับตัวดาบเองก็กลัว เมื่อพวกเขาเลี้ยวเข้ามุมสุดท้ายของโถง ทางเดินเปิดออกสู่ห้องโถงมหึมา ที่พื้นเป็นหินมรกตลื่นเย็น ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยกระจกน้ำวน—แต่ละบานหมุนวนแสดงภาพของสถานที่ต่าง ๆ ใต้ทะเล: ป่ากัลปังหา, ซากเรือ, และหลุมมืดที่ไร้ก้น บนแท่นกลางห้อง—ราชินีใต้น้ำประทับอยู่ ร่างของนางสูงสง่า ผิวซีดราวหยดน้ำค้างเดือนหงาย เส้นผมยาวสีเงินลอยพลิ้วรอบศีรษะเหมือนถูกกระแสน้ำลูบไล้ ตาของนาง…เป็นสีดำสนิทไร้ตาขาว แต่ลึกจนเหมือนคุณกำลังมองลงไปในเหวที่ไม่มีวันจบ รอบตัวราชินี มีสัตว์ครึ่งคนครึ่งปลา 8 ตน ล้อมเป็นวงเงียบงัน ร่างพวกมันสูงใหญ่ ครีบแหลมและเกล็ดดำมันเงา ราชินีเอียงศีรษะเพียงเล็กน้อย—แต่คลื่นพลังไหลซัดออกมาทันที ทุกคนรู้สึกเหมือนอกถูกบีบจนหายใจไม่ออก คาเอลแทบหลุดหน้ากาก "ผู้บุกรุกจากผิวน้ำ…" เสียงของนางดังก้อง…ไม่ผ่านหู แต่ผ่านความคิดโดยตรง ทุกคำเป็นเหมือนน้ำแข็งแทงเข้ากระดูกสันหลัง "เจ้ากล้าเหยียบแดนของข้า ทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่หรือ" นีราก้าวขึ้นหนึ่งก้าว “เรามาเอาคืนสิ่งที่เจ้าขโมยไป และหยุดเจ้าก่อนที่เจ้าจะทำลายผืนดิน” รอยยิ้มบาง ๆ แผ่วบนริมฝีปากซีด "ผืนดิน? พื้นน้ำ? สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงภาชนะ… และภาชนะก็ต้องแตกวันหนึ่ง" ดรานยกดาบ “เราจะไม่ยอมให้เจ้าสร้างซากศพให้ทะเลกิน” คำพูดนั้นเหมือนเป็นสัญญาณ—ราชินีเพียงโบกมือหนึ่งครั้ง น้ำในอากาศก็รวมตัวเป็นหอกใสพุ่งออกมาหลายสิบเล่ม คาเอลดึงมีดคู่ขึ้นหมุนปัดหอกน้ำทันเวลา แต่แรงปะทะทำให้เขาหมุนคว้างกลางน้ำ นีร่าพุ่งไปด้านข้าง ใช้หอกเฉือนกระแสน้ำที่บิดเหมือนงู แต่ทันทีที่เธอสัมผัส พลังดูดก็ไหลเข้ามาทางหอกจนเธอรู้สึกแขนชา แบร์กตันตะโกนสั้น ๆ “อย่าให้กระแสน้ำแตะตัว! มันดูดเรา!” สัตว์ครึ่งคนครึ่งปลาสองตนพุ่งมาหาดราน เขาปัดป้องแล้วหมุนตัวตัดเป็นเส้นเฉียง แต่พวกมันแตกสลายเป็นละอองน้ำ ก่อนจะรวมร่างใหม่อยู่ข้างหลังเขา เร็วกว่าที่ดาบจะฟันถึง คาเอลสบถ “พวกนี้แม่งไม่ตาย!” แบร์กตันหันหานีร่าขณะหลบกระแสน้ำอีกลูก “เป้าหมายคือตราตรงอกนาง—มันเป็นแหล่งควบคุมพลัง!” ทันใดนั้น กระจกน้ำวนด้านข้างเริ่มหมุนแรงขึ้น ภาพในนั้นกลายเป็นทะเลคลั่งที่ดึงกระแสน้ำเข้ามาในห้อง น้ำวนเริ่มไหลรอบขอบห้องเหมือนกำลังจะกลืนทุกสิ่งเข้าไป ราชินีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย "มาดูกันว่า พวกเจ้าจะลอย หรือจม" คลื่นยักษ์พุ่งตัดผ่านห้อง ดรานคว้าตัวคาเอลทันไม่ให้ถูกซัดใส่ผนัง นีร่าหมุนตัวในน้ำ ใช้แรงเหวี่ยงแทงหอกพุ่งตรงไปยังอกของราชินี— แต่ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เงาดำแทรกออกจากใต้บัลลังก์และรับหอกแทน เสียงโลหะกระทบหินดังก้อง หอกของนีร่าถูกหยุดด้วยกรงเล็บขนาดมหึมาของ…สัตว์ใต้ทะเลที่ไม่มีชื่อ มันมีเปลือกหนาดำลึก ดวงตาหลายดวงกระพริบพร้อมกันอย่างน่าขนลุก ราชินีหัวเราะ เสียงนั้นเหมือนเสียงฟองอากาศแตกเป็นพันฟอง "พวกเจ้ายังไม่เห็นอะไรเลย…" จากเพดานถ้ำ แสงคริสตัลเริ่มดับลงทีละดวง ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา และในความมืดนั้น—เสียงบางอย่างเริ่มขยับ เหมือนฝูงสัตว์นับร้อยกำลังล้อมพวกเขาจากทุกทิศน้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้