ลิขิตรัก 7
ช่วยเหลือ
“ข้าขอคุยกับเขาเพียงลำพังได้หรือไม่” หันไปถามเฟิงหวงที่พามาห้องๆหนึ่ง ไม่ไกลจากห้องที่คุยกันก่อนหน้ามากนัก คาดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับของผู้แข่งที่บาดเจ็บ เขาเล่าว่าปกติผู้เข้าแข่งขันจะรักษาตัวภายในห้องโถงใหญ่แต่ด้วยชายผู้นี้อาการค่อนข้างสาหัส จึงแยกอยู่อีกห้อง เขาพยักหน้าก่อนจะออกห้องไป
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้า…” เขาเงยหน้าขึ้นมอง แม้ข้าจะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมแต่กลับมองเห็นดวงตาชายผู้นี้สั่นไหวอย่างชัดเจน
“ขอถามได้หรือไม่ เหตุใดลานประลองครานั้น เจ้าถึงไม่ขอยอมแพ้ ทั้งๆที่กฎการแข่งขันสามารถทำได้”
“ข้าต้องการเงิน” เขาเงียบไปหลายเค่อ ดวงตาสีเทาหม่นหลุบตาลง
“เกิดอันใดขึ้นหรือ” ถามด้วยความสงสัยจากสายตาของเขาคล้ายคนอับจนหนทาง ต้องทำทุกอย่างถึงแม้จะต้องเดิมพันด้วยชีวิตก็ตาม
“เมื่อหลายเดือนก่อนข้าออกไปท่องยุทธภพ ครั้นเมื่อกลับมาพบว่าสัตว์อสูรบุกรุกหมู่บ้านของข้า มันทำลายทุกอย่างและคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก”
“…” ข้าเงียบและรอฟัง
“ตอนนี้หมู่บ้านกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าไม่สามารถให้พวกเขาหาอาหารเองได้เพราะส่วนใหญ่เหลือเพียงเด็กและผู้สูงวัย อีกอย่างข้าเป็นเด็กกำพร้า ได้คนในหมู่บ้านเลี้ยงดูมา จึงอยากต่อสู้เพื่อพวกเขา…” สายตาเขาสั่นระริก แม้นไม่มีน้ำตาแต่ข้ารู้ได้ทันทีว่าภายในใจเขาเจ็บปวดแค่ไหน
“ข้าจะช่วยเจ้า” แม้เราไม่รู้จักกันก็ตาม อีกอย่างการแข่งขันนี้ผู้ชนะจะได้เงินเป็นรางวัล ข้ามิได้ลำบากอันใด ยินดีจะมอบให้เขาหากเงินจำนวนนี้สามารถช่วยได้อีกหลายชีวิต
“ช่วย เจ้าจะช่วยข้าจริงหรือ…” เขาเงยหน้ามองข้า สายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทว่ากลับประกายทอความหวัง
“แต่ก่อนอื่นเจ้าควรรักษาแขน” ข้ามองแขนที่ขาดตั้งแต่ช่วงไหล่ มีผ้าพันอยู่
“แขนข้ารักษาได้เพียงเท่านี้” เขาเอ่ยแต่สายตากลับไม่แสดงความเสียใจ
“ใครบอกเจ้า”
“ท่านหมอที่รักษาข้า”
“หากเสียแขนไปแล้วเจ้าจะใช้แขนข้างเดียวปกป้องผู้คนในหมู่บ้านงั้นสิ…” ข้าถามหยั่งเชิง จากที่เขาเล่าหมู่บ้านเขาโดนสัตว์อสูรบุก ซึ่งข้าว่ามันไม่จบเพียงแค่ครั้งเดียวแน่ สัตว์อสูรจมูกจะไวเป็นพิเศษ หากมันได้ทิ้งกลิ่นเอาไว้แล้ว มันจะคิดว่าตรงนั้นเป็นอาณาเขตล่าของมัน
“ต่อให้เสียแขนอีกข้าง ข้าก็จะปกป้องทุกคนให้จงได้ !!” เขาเอ่ยอย่างมุ่งมั่น ดวงตาสีเทาฉายแววเด็ดเดี่ยวอย่างน่าชื่นชม แบบนี้ค่อยน่าสนใจหน่อย
“ถ้าข้าบอกว่าสามารถทำให้แขนเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ…” นางถามพร้อมทำหน้าหยั่งเชิง นางมาโลกมนุษย์ด้วยกายหยาบที่เป็นมนุษย์ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ซ่อนทีเด็ดอะไรเอาไว้
“เจ้า !!!” เขาตะลึงจนพูดไม่ออก แววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากข้าหาสนใจไม่ ชายผู้นี้มีจิตที่กล้าแกร่ง อีกทั้งสิ่งที่เขาทำก็เป็นเรื่องน่าชื่นชม
“หลังจากนี้หากเกิดอันใดขึ้น ห้ามสงสัย ห้ามบอกใครแม้แต่ผู้เดียว !”
ยามโหย่ว (17.00 - 18.59 น.)
“เจ้าหายไปไหนมาหรือจิวฮวา พ่อกับเถ้าแก่เหรินตามหาเสียนาน” เมื่อข้ากลับมาถึงโรงเตี๊ยม ท่านพ่อบุญธรรมและท่านตารีบออกมารับด้วยสีหน้าโล่งใจจนข้ารู้สึกผิดเพราะหายไปนาน
“ข้าเดินเล่นจนเพลินไปหน่อย ขออภัยเจ้าค่ะ” ข้าก้มตัวลงอย่างรู้สึกผิด
“เจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว” สำรวจตัวบุตรสาวเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงถอนหายใจ
“ไปๆ งั้นเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” ก่อนที่เถ้าแก่เหรินจะนำทางเข้าไปพักในโรงเตี๊ยม
1 เดือนต่อมา
“ข้าจะตามหาเขาที่ไหนดี…” พึมพำคนเดียวอย่างเหม่อลอย ข้าอยู่แคว้นเฟิงได้เดือนกว่าแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาคนรักพบ หรือเขาจะไม่ได้อยู่ที่แคว้นนี้
“โฮ่ง ๆ”
“ว่าไงซือเป่าน้อย” ซือเป่า เป็นชื่อที่หมายถึงความสุข มันคือสัตว์อสูรคล้ายหมาป่าในลานประลองครานั้นในคราบหมาน้อย เมื่อเดือนก่อนตอนที่กำลังจะกลับ ข้าแวะไปหามันเพื่อล่ำลา แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นสายตาอ้อนวอนและพร้อมท่าทางเหงาหงอยพลอยให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสาร จนเฟิงหวงตัดสินใจยกมันให้ข้าถือเป็นรางวัลสำหรับการประลองอีกอย่าง ในตอนแรกค่อนข้างลำบากใจเนื่องจากมันตัวโตเกินไป แต่เฟิงหวงกลับสื่อจิตคุยกับข้าบอกว่ามันเป็นสัตว์อสูรชั้นสูง สามารถย่อส่วนร่างกายได้ นั่นทำให้ข้าตกลงแทบจะทันที
ข้ามองมันเห่าพร้อมแลบลิ้นอย่างน่ารัก
“โฮ่งๆ”
“อยากปลอบเหรอ ข้าไม่เป็นอันใดหรอกหน่า” หลังจากอยู่ด้วยกันนางพบว่าแท้จริงแล้วซือเป่าน้อยเป็นตัวเมีย ปกติเวลามีเรื่องไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ข้าก็จะมาระบายให้มันฟัง ซึ่งมันก็เป็นผู้ฟังที่ดี ในบางครั้งก็มีเห่าโต้ตอบ คล้ายปลอบใจเหมือนตอนนี้
นับจากวันนั้นข้าก็ช่วยท่านพ่อและท่านตาบริหารโรงเตี๊ยมจนกระทั่งกิจการรุ่งเรือง ตอนแรกท่านพ่อบุญธรรมจะซื้อโรงเตี๊ยมแห่งใหม่เพื่อใช้เป็นพื้นที่ขายสินค้าหลัก แต่ท่านตากลับไม่เห็นด้วย บอกให้ใช้โรงเตี๊ยมนี้แทนการซื้อใหม่ อีกอย่างเงินมีจำกัด ซึ่งสินค้าหลักๆจะเป็นพวกผ้าไหมจากต่างแคว้น ข้าเลยแนะนำให้เปิดเป็นโรงเตี๊ยมขายอาหารหวานคาวและแหล่งซื้อผ้าไหมสำหรับสตรี ฉะนั้นโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงดึงดูดได้ทั้งชายและหญิง
“คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ แฮ่กๆ ” อิงหลิว สาวใช้วิ่งเข้าในห้องอย่างร้อนรน นางเป็นคนที่ท่านพ่อบุญธรรมมอบให้ เป็นเด็กสาวอายุประมาณ 15 หนาว ท่านพ่อพบเห็นอิงหลิวซึ่งเป็นเด็กกำพร้าเร่ขายมันโถว สวมชุดด้วยเนื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ จึงชักชวนมาทำงานด้วย อิงหลิวจึงตัดสินใจมาทันที
วันแรกที่ข้าเห็นนางมอมแมมมาก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดิน บดบังความงามของสาวแรกแย้ม ซึ่งเมื่ออาบน้ำแต่งตัวดีๆ นับว่าสาวใช้คนใหม่ผู้นี้น่าตาดีทีเดียว ผิวขาว ตาโต แก้มป่อง ร่างบอบบางอ้อนแอ้น นับว่าท่านพ่อคิดถูกจริงๆที่นำนางมา เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้ว นางอาจโดนชายใจทรามดักฉุดเป็นแน่
ระยะเวลาหนึ่งเดือนทำให้ข้ารู้ว่าจิตใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง บางคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ลับหลังสามารถนำมีดมาแทงเราได้ง่ายๆ ในทางกลับกันบางคนเป็นคนโผงผางแต่กลับซื่อตรงต่อความรู้สึก ซึ่งมันทำให้ข้ากลายเป็นคนไว้ใจคนยาก จะว่ามองโลกในแง่ร้ายก็ไม่แปลกเพราะมันเป็นทางเดียวที่สามารถปกป้องข้าได้จากคนประเภทนี้
“เฟิงหวงหรือ” ข้าถามเพราะเขาเป็นคนเดียวที่เทียวไปเทียวมาหาข้า ตอนแรกที่เขามาโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ท่านพ่อและท่านตาแปลกใจมาก เพราะเฟิงหวงค่อนข้างเป็นที่รู้จัก แต่ในทางดีทางร้ายข้าไม่รู้ เขามักมาบอกข่าวเกี่ยวกับตัวคนร้ายตอนนั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ทำร้ายข้าไม่ใช่ใครหากเป็นหญิงสาวที่ข้าไม่เคยรู้จักอีกทั้งหน้ายังไม่เคยเห็น แต่กลับมาทำร้ายเพียงเพราะชายที่นางรักนั้นมาสนใจข้า แรงรักของหญิงสาวช่างน่ากลัวจริงๆ
“มะ มิใช่เจ้าค่ะ ตัวเขาโชกเลือดด้วยเจ้าค่ะ ยืนยันจะพบคุณหนูท่าเดียว” อิงหลิวร่ายยาวหลังจากเริ่มหายเหนื่อย
“เดี๋ยวข้าออกไป” ข้าครุ่นคิดว่ามีผู้ใดที่มีธุระกับข้าอีกหรือไม่ หรือว่า
“ฮุ่ยเฉิน !!” ข้าปรี่เข้าไปพยุงร่างของชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด แขนข้างขวาที่ครั้งนึงเคยขาดบัดนี้มีรอยกรงเล็บแหลมคมกรีดเป็นทางยาว ร่างกายสะบักสะบอมไม่ต่างจากลานประลองครานั้น
“ดะ ได้โปรดแม่นาง ชะ ช่วยพวกเขาด้วย…” เขามองหน้าข้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมผืนบางอย่างเว้าวอนไม่แม้แต่จะสนใจบาดแผลของตน ฮุ่ยเฉินคุกเข่าขอร้องด้วยเสียงอันสั่นเทา หยดเลือดมากมายไหลออกมาเปื้อนเป็นทาง
“เจ้าต้องรักษาแผลก่อน อิงหลิว !!!” ข้าไม่รับปากเพราะยังว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะหันไปเรียกสาวใช้ที่มองอย่างสั่นกลัว
“จะ เจ้าค่ะคุณหนู” นางคงไม่เคยเห็นเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อน แต่ก็รีบวิ่งออกไปทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย
“พะ พวกเขาไม่เหลือใคร นะ นอกจาก แค่ก ๆ ข้า” เขากระอักออกมาเป็นเลือด พยายามพูดให้จบและก่อนที่เขาจะสลบด้วยพิษบาดแผลนี้ ข้าตัดสินใจดึงปิ่นปักผมออกแล้วกรีดแขนตัวเอง
“เจ้าดื่มนี่ก่อน” ข้ายื่นแขนที่มีเลือดตัวเองไหลออกมาเป็นทางแล้วยื่นให้เขาดื่ม ร่างกายข้าเป็นมนุษย์ก็จริง แต่สายเลือดที่ไหลเวียนในร่างข้าเป็นเลือดผสมระหว่างปีศาจและเทพ ซึ่งเลือดของเทพนั้นมีพลังในการรักษาบาดแผลทุกชนิด ด้วยการมีสายเลือดเทพเพียงครึ่งเดียวจึงต้องใช้เวลารักษาพอสมควร
“ขอบคุณแม่นาง…” เขาดื่มมันอย่างไม่รอช้า ไม่นานเลือดของเขาหยุดไหลและบาดแผลเล็กน้อยตามใบหน้าสมานตัวอย่างรวดเร็ว หากแต่บาดแผลเหวอะหวะจากกรงเล็บนั้นคงต้องใช้เวลา
เพราะข้าเคยบอกเขาในวันนั้นห้ามสงสัยหรือบอกใคร แม้กระทั่งหน้าข้าก็ไม่เคยให้ใครเห็นนอกจากท่านพ่อบุญธรรม ท่านตาเหรินและอิงหลิว เขาจึงไม่เคยถามหรือสงสัยตั้งแต่วันนั้น
“เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไรหรือ” ข้าถามเมื่อพาเขามาห้องโถงสำหรับแขกส่วนตัว สายตาสำรวจร่างกายเขาที่ดูดีขึ้นกว่าตอนแรกนิดหน่อย โดยมีอิงหลิวที่ข้าเหลือบเห็นว่านางมองบาดแผลที่ค่อยๆสมานกันอย่างอึ้งๆ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอันใด เพราะนางรู้ดีว่าข้าไม่ชอบคนขี้สงสัยมากนัก นางจึงนั่งพันผ้าสะอาดที่บาดแผลหลังจากใส่ยาเรียบร้อยแล้วเงียบๆ
“สัตว์อสูรมันบุกและฆ่าผู้คนในหมู่บ้าน ข้าพยายามต่อสู้สุดกำลังแต่จำนวนมันมากเกินไปจนต้านไม่ไหว” เขาเอ่ยด้วยความแค้นใจ
“ตอนนี้คนอื่นที่เหลือปลอดภัยใช่หรือไม่” ข้าพอเดาสถานการณ์ออกแล้วล่ะ กรงเล็บสัตว์อสูรพวกนั้นเด่นหราเสียขนาดนั้น
“ข้าพาพวกเขาไปที่หลบภัยและกำลังจะไปแจ้งทางการเพื่อให้ส่งกองกำลังมาช่วยแต่เส้นทางนั้นมีพวกมันอยู่มากเกินไป ข้าเลยรุดหน้ามาอีกทางแต่กลับถูกพวกมันโจมตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด” ดวงหน้าคมเข้มเอ่ยบอก สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด คงเสียใจจากเหตุการณ์ที่ต้องเห็นพวกพ้องถูกฆ่าตายไปต่อหน้า
“ข้าจะช่วยพวกเขาแต่ก่อนอื่นเจ้าไม่แจ้งทางการก่อนหรือ” ข้าถามเพราะยิ่งมีคนเยอะ การอพยพและช่วยเหลือผู้คนย่อมง่ายกว่า
“ข้าส่งสารแจ้งเหตุการณ์คร่าวๆไปแล้ว ไม่รู้ยามใดเขาจึงจะส่งกองกำลังมา แต่หากนานกว่านี้ข้าเกรงว่า…”
“สัตว์อสูรพวกนั้นจะหาชาวบ้านพบ” ข้าต่อประโยคจนจบ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาพูด สัตว์อสูรพวกนั้นกินมนุษย์เป็นอาหาร มันคงไม่ปล่อยเหยื่อให้รอด หากพวกมันหาชาวบ้านพบเข้าละก็ ทุกคนคง…
“ข้าจะไปช่วยพวกเขา เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม” ลุกขึ้นก่อนจะบอก เขาจึงมองข้าภายใต้ผ้าคลุมอย่างขอบคุณและซึ้งใจ ข้าไม่เคยคิดจะให้ใครมาเคารพหรือเสื่อมใสหรอกนะ ข้าไม่เคยคิดว่าจะต้องต่อสู้เพื่อมนุษย์ที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ แต่สัญชาตญาณบอกว่าข้าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว
ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ประสบการณ์การต่อสู้ของข้านับว่ายังน้อยนักหากเทียบกับปีศาจตนอื่น แต่สำหรับมนุษย์นั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะแข็งแกร่ง เขาต้องการการช่วยเหลือ ทั้งๆที่ใจข้ามันร่ำร้องบอกว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของการมาที่นี่ ทว่าความรู้สึกกลับบอกให้ข้ารีบไปช่วยพวกเขา
“ขอบคุณจริงๆแม่นาง ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจากชีวิตข้า” ข้ามองเขาที่ก้มหัวให้ด้วยสายตาเรียบๆ ระหว่างหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ข้าเคยแวะไปเปิดโรงทานที่หมู่บ้านของเขา ผู้คนที่นั่นค่อนข้างลำบากอย่างที่เขาเคยเล่าและที่สำคัญส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงวัยจนข้าแปลกใจยิ่งนักว่าหลายร้อยชีวิตที่หมู่บ้านเป็นอยู่กันอย่างไร เด็กอายุ 3 -14 หนาว ร่างกายผอมแห้งไม่สมวัย สวมเสื้อผ้าขาดๆจนแทบเรียกว่าเหมือนใส่กันมาทั้งปี ส่วนผู้สูงวัยก็เจ็บออดๆแอดๆจนคิดว่ายารักษาน่าจะมีไม่เพียงพอ
พวกเขากินเพียงมันโถวประทังชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งจากได้ยินมานานๆจะมีโรงทานมาเปิดที หันมามองภายในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้คนสัญจรไปมาส่วนใหญ่ล้วนแต่งตัวหรูหรา ทานอาหารดีๆ จนเหลือทิ้ง มีเครื่องประดับตามร่างกายเหมือนใส่มาอวดเพื่อบ่งบอกฐานะและยศศักดิ์
แตกต่างกันเกินไป
“เจ้าไม่ต้องมอบชีวิตให้ข้า แต่จงมีชิวิตอยู่และปกป้องพวกเขา !” และหากมีโอกาสข้าจะขอเปลี่ยนแปลงความแตกต่างนี้เอง ข้าสัญญา!!!
ลิขิตรัก 13 อนุคนแรก“อ๊ะ อื้มมมม” ไม่ทันได้ตอบกลับ ริมฝีปากโดนปิดด้วยริมฝีปากหนาของคนที่คร่อมอยู่ทันที มือของเขาอยู่ไม่นิ่ง จับร่างกายไปทุกส่วน ข้าสะดุ้งทันทีที่เขาจงใจกดร่างกายท่อนล่างกับส่วนนั้นของข้าทั้งที่ตัวเองยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้“อื้มมม” เขาครางกระหึ่มอย่างพอใจและยิ่งกระหายในกายข้ามากยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งจับมือนิ่มของข้าให้เลื่อนลงไปสัมผัสกลางลำตัวที่บัดนี้โป่งพองแข็งสู้มือข้าจนแทบจะระเบิด แต่ดูเหมือนเขาพยายามข่มอารมณ์ไว้คล้ายอยากเล่นสนุกกับร่างกายข้ามากกว่านี้“อ้าปาก” ดุเสียงเข้มเมื่อข้าปิดปากไม่ให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามาได้อีก“อ๊ะ!” เขากัดริมฝีปากข้าเมื่อเห็นว่าข้ายังดื้อไม่ยอมเปิดปากตามเขาสั่ง ก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อลิ้นร้ายกาจเข้ามาไล่ต้อนข้าได้อย่างจนมุมปากหนายังไซร้คอข้าอยู่และมีทีท่าว่ากำลังจะเลื่อนลงมายังหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่จนล้นมือเขา มือทำหน้าที่ไม่อยู่นิ่ง บีบคลึงหน้าอกอย่างมันมือ ส่วน
ลิขิตรัก 12 หลอกใช้เพล้ง !“เป็นอันใดหรือเจ้าคะท่านพี่เฟยหลง” เสียงหวานเอ่ยถามชายคนรัก เมื่อเห็นร่างสูงปล่อยความกดดัน จนแจกันแตกเป็นเสี่ยงๆ“มิเป็นอันใด ต้องขออภัยเหมยเอ๋อร์ด้วยแล้วที่ทำให้เจ้าตกใจ” ชายหนุ่มหันมองหญิงคนรักที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ สบถในใจที่เผลอใช้พลังจนอาจเกือบทำให้หญิงคนรักบาดเจ็บ“น้องมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ว่าแต่ผู้ใดหนอที่ทำให้ท่านพี่อารมณ์ไม่ดีเช่นนี้”“เรื่องงานหน่ะ” ร่างสูงไม่ได้โกหก ทุกคืนเขาจะออกไปตรวจในเมืองโดยรอบ จนบางวันปะทะเข้ากับพวกนอกด่านแทบไม่ได้นอน แต่ส่วนหนึ่งคิดไปถึงต้นตอที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้อีกเรื่อง อยากจัดการกับหญิงไร้ยางอายนั่นเด็ดขาด แต่ทำไมใจมันถึงสั่นตลอดเมื่ออยู่กับนางอาคเนย์ที่นางใช้เรียกเขานั้นไม่รู้เป็นชายใด แต่พอนางพูดชื่อนี้ ใจเขามันหงุดหงิดทุกครั้ง แทบอยากกระชากร่างบางให้หยุดเรียกชื่อนั้น แล้วจดจำเพียงชื่อเขา พลันความคิดต้องหยุดชะงักลงยามเขาได้จับไปที่สร้อยท
ลิขิตรัก 11 ไร้ยางอาย “อุ้ย พี่เฟยหลง”“เดินระวังๆสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เดินตามหลังประคองร่างบอบบางของคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม สายตาคมดุคนในอ้อมแขนไม่จริงจังนัก“คิกๆ เหมยเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ปล่อยให้เหมยเอ๋อร์เป็นอันใด” เสียงหวานใสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม“พี่อยู่กับเจ้าได้มิตลอด เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พลันครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินมาตลอดเวลา ศัตรูย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร้นหาจุดอ่อน หากพวกมันรู้ว่าเขามีคนรักต้องหาทางทำร้ายนางเป็นแน่“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างงั้นสิเจ้าคะ เหมยเอ๋อร์มิเป็นอันใดง่ายๆหรอกนะ” นางบอกคนรักที่ทำหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างชัดเจน“พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”“จริงสิ สร้อยที่น้องให้...”“พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเลยล่ะ” หยางหลงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะยกแขนข้างขวาที่สวมสร้อยลูกปัด ซึ่งคนรักร้อยเองกับมือขึ้นมาให้ดู เขาใส่ต
ลิขิตรัก 10ไม่เชื่อใจ“เจิ้นมิเคยเห็นเจ้าทำหน้าเครียด มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ” ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยถามสหายที่ยามนี้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“หามิได้พะย่ะค่ะ” ร่างหนาผู้ถูกถามตอบกลับคล้ายปฏิเสธกลายๆ“อืมม หรือเจ้ากำลังคิดถึงหญิงนางนั้น” สายตาคมปราดมองอย่างหยอกล้อ หญิงนางนั้นที่ว่าคงหนีไม่พ้นนางที่ลานประลองแคว้นเฟิง“กระหม่อมมิสนผู้ใจนอกจากเหมยฟาง” และเขาก็ยังคงกล่าวออกมาเช่นเดิม สายตาเย็นชาช่างราบเรียบคล้ายเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่ง จนผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นต้าเช่นเขานึกอยากเห็นว่าจะมีหญิงใดในหล้าทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้เปลี่ยนไปได้หรือไม่ ซึ่งแม้กระทั่งคู่หมายที่เป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ยังมิอาจทำได้“หึ ๆ เจิ้นก็ยังตรัสคำเดิมว่าจะรอดู”“หากหวงช่างเชิญมาเพียงเท่านี้ กระหม่อมขอลา” ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยยังไม่ได้รับอนุญาต หน้าตานิ่งเฉยบ่งบอกว่าไม่เกรงกลัวอาญาเลยแม้แต่น้อย“ดะ เดี๋ยวเจิ้นมีเรื
ลิขิตรัก 9พบเจอหนึ่งชั่วยามผ่านไปจบเสียที…กี่ตัวกันนะ 10 ตัว 50 ตัว หรือมากกว่านั้น ข้าทิ้งตัวลงนอนที่พื้นอย่างคนหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คิดว่าถ้ากลับไปต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วยามกว่าจะล้างมันออกหมด ตามร่างกายมีรอยกรงเล็บที่ร่างกายสมานบาดแผลไม่ทันเนื่องจากมันมีเยอะเกินไปโฮกกกกกเหลืออีกตัวหรือ ข้าหันไปมองทางต้นเสียง เห็นมันหนึ่งตัวขู่คำราม เห็นเขี้ยวแหลมคมที่สามารถฉีกร่างกายมนุษย์พร้อมกินอย่างไม่เหลือแม้แต่กระดูก มันทำท่าพร้อมกระโจนเข้ามาทุกเมื่อ แต่ข้าหมดแรงแล้วนะ คิดในใจทว่าสมองสั่งให้ลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งแขนขาขยับได้อย่างยากลำบากอาจเป็นเพราะนี่มันเลยขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์มามากแล้ว สุดท้ายจึงล้มตัวลงนอนที่เดิม จบแล้วสินะ ชีวิตข้าคงมาได้เพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านพ่อท่านแม่ที่มิอาจกลับไปหาพวกท่าน ลาก่อนท่านอาค
ลิขิตรัก 8 เทพเซียนยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว” ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด“2 ตัวขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย“จัดการ” ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่ ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีน