ฝนตก...อีกแล้ว
เหมือนดั่งทุกค่ำคืนที่เธอรู้สึกว่าโลกทั้งใบไม่หลงเหลือใครอีก
กรุงเทพฯ ยังชุ่มด้วยสายฝน ภายใต้แสงไฟสีส้มหม่นที่สะท้อนเป็นเงารางบนกระจกใสของบาร์ลับบนชั้นดาดฟ้า "ลิโอจิน" ละอองฝนบาง ๆ ไหลย้อยเป็นทางลงบนบานกระจก กลิ่นอับชื้นของฝนเจือปนอยู่กับกลิ่นหวานขมของวิสกี้ และความหรูหราบางเบาจากน้ำหอมราคาแพงที่ลอยคลุ้งในอากาศ
มีนา นั่งอยู่เงียบ ๆ ที่มุมหนึ่งของห้องรับรองวีไอพี มือเรียวของเธอกำแน่นรอบแก้วไวน์สีแดงเข้ม แต่กลับไม่เคยยกจิบแม้เพียงหยดเดียว ริมฝีปากของเธอเพียงแตะแก้วไวน์ราวกับต้องการกลบความสั่นไหวภายใน สายตาไม่ได้มองสิ่งใดเลยนอกจากหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงเปิดค้างไว้
“ณภัทร ควงคู่หมั้นเปิดตัวกลางงานเลี้ยงของบริษัท”
ข่าวพาดหัวแทงลึกยิ่งกว่าคำพูดใด ภาพในข่าวทำให้ใจเธอชาวาป เพราะหญิงสาวในภาพนั้น...สวมนาฬิกาเรือนเดียวกับที่เธอเคยใช้เงินเก็บทั้งปีเพื่อซื้อให้เขา มีนาแตะปุ่มปิดหน้าจออย่างแน่นิ่ง ก่อนจะหันไปยังผู้จัดการบาร์ที่เดินเข้ามาโดยไม่มีเสียง
“ที่นี่มีอะไร...ที่ลบความรู้สึกเจ็บปวดตอนนี้ได้ดีกว่าเหล้าไหม?” เธอเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา จนแทบกลืนหายไปในลำคอ
ผู้จัดการหญิงยิ้มบาง อย่างรู้ทัน ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงแค่ยื่นแฟ้มหนังเล่มหนึ่งมาให้
มีนารับไว้ เปิดแฟ้มอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสายตามาหยุดอยู่ที่หน้าใดหน้าหนึ่ง มือของเธอก็หยุดนิ่งไป...
ภาพถ่ายในแฟ้มเผยให้เห็นชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำ ยืนพิงผนังด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก ทว่าดวงตาของเขาในภาพนั้น เหมือนใครบางคนที่เธอรู้จัก...จนเกินไป"No.13 ของลึกลับ"
นักศึกษาปี ๔ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สูง ๑๘๓ เซนติเมตร มีรอยปานสีแดงที่ต้นคอด้านซ้าย
ปานแดง
หัวใจของเธอสั่นไหวโดยไร้เหตุผล
“ฉันขอประมูลเขา...เท่าไหร่ก็ได้”
บันไดวนแคบทอดลึกลงสู่ห้องลับใต้บาร์ “ลิโอจิน”
มีนาเดินตามผู้จัดการลงไปอย่างเงียบงัน เสียงส้นรองเท้าของเธอกระทบพื้นหินอ่อนเย็นเยียบ ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทราวกับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นไร้จังหวะ ประตูบานหนักเปิดออกอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมทึบที่ตกแต่งด้วยม่านกำมะหยี่สีแดงเข้ม พื้นไม้เนื้อแข็งขัดเงาวาววับ โต๊ะไม้ยาวทอดตัวอยู่กลางห้องรับแสงจากโคมไฟสีทองที่แขวนอยู่เหนือศีรษะ ราวกับฉากหนึ่งในโรงละครลับ
ภายในห้องเงียบงันจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจเบา ๆ ของชายหญิงที่นั่งอยู่ประปรายสองฝั่งโต๊ะ แต่ละคนมีแฟ้มเอกสารวางอยู่ตรงหน้า ไม่มีการทักทาย ไม่มีคำถาม ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบของความสงสัย มีนาเดินไปนั่งอย่างมั่นคงที่เก้าอี้ตัวท้ายสุด เธอไม่มองใคร และไม่ต้องการให้ใครมองตอบ
ผู้จัดการหญิงเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลิกแฟ้มในมือแล้ววางลงบนแท่นไม้ตรงกลางห้อง
“คืนนี้...เรามีผู้เข้าร่วมใหม่หมายเลขสิบสาม ‘No.13 ‘ ’ของลึกลับ’
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังจากทั้งสองฝั่งของโต๊ะ มีนาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตากับภาพชายหนุ่มที่ปรากฏอยู่บนจอขนาดเล็กกลางแท่น
ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีเข้มยืนพิงผนังอย่างเฉยชา ไม่มองกล้อง ไม่ยิ้ม ดวงตานิ่งงัน เย็นเยียบ แต่ในความเย็นชานั้น มีแววบางอย่างที่คล้ายกับความเจ็บซ่อนอยู่ลึกสุดของม่านตา
เขาไม่มีชื่อ ไม่มีประวัติแน่ชัด มีเพียงรหัส นักศึกษาปีสี่ และรอยปานสีแดงที่ต้นคอ
หัวใจของมีนาสะท้านวูบ เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังแล่นเข้ามานั้นคือความเจ็บ ความหวัง หรือบาดแผลเก่าที่กำลังปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงผู้จัดการหญิงเริ่มต้นกระบวนการ
“เริ่มต้นประมูลที่หนึ่งแสนบาท...”มือของผู้ร่วมประมูลฝั่งตรงข้ามยกขึ้นอย่างเป็นจังหวะ
“หนึ่งแสน”
“สองแสน”
มีนาเงียบ ไม่ไหวติง จนกระทั่งเสียงเรียก “สามแสน” ดังขึ้น
เธอจึงลุกขึ้นอย่างมั่นใจ เดินตรงไปยังแท่นไม้กลางห้อง วาง "บัตรแบล็กการ์ด" ลงอย่างชัดเจน
เสียงของเธอดังชัด หนักแน่นกว่าครั้งไหน ๆ“หนึ่งล้านบาท”
ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีเสียงท้าชิง ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบ มีเพียงบรรยากาศแน่นขนัดที่อบอวลไปด้วยแรงกดดัน ทุกคนต่างเงียบ...เหมือนยอมจำนนต่อแววตาของผู้หญิงที่ดูเหมือนจะ “ไม่กลัวความเจ็บปวดอีกต่อไป”
เสียงไม้เคาะดังขึ้น เป็นสัญญาณปิดการประมูล“ผู้หญิงท่านนี้ ชนะการประมูล No.13 ในราคา หนึ่งล้านบาท”
ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีคำยินดี มีเพียงเสียงหัวใจของเธอ...ที่เต้นอย่างสิ้นหวัง เพราะเธอไม่ได้ซื้อใครสักคนเพื่อรัก
แต่เธอกำลังจ่ายเงินล้าน เพื่อซื้อใครบางคน... ที่จะช่วยเธอลืมคนที่เธอรักจนเจ็บแทบตายห้อง VIP 007
แสงไฟสีทองนวลอ่อนตกกระทบลงบนใบหน้าของมีนาอย่างแผ่วเบา เธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟากำมะหยี่หรูหรา ภายในห้องที่เงียบเสียจนได้ยินเพียงเสียงฝนกระทบกระจกอย่างต่อเนื่อง ราวกับกล่อมให้หัวใจที่หนักอึ้งได้หยุดพัก
ประตูเปิดออกเบา ๆ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาเงียบงัน เขาสวมหน้ากากครึ่งหน้า ทว่ากิริยา การก้าวเดิน ลมหายใจ...ทุกอย่างเหมือณภัทรจนใจเธอสั่นไหวไม่สิ...ไม่ใช่เขา
“ผมสามารถเป็นใครก็ได้ ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” เสียงของเขาทำให้บางสิ่งในอกเธอเจ็บวาบ
“คุณก็พูดเหมือนเขา...” เธอพึมพำ “คนที่ฉันพยายามจะลืม...” มีนาเดินเข้าใกล้ ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ที่ลำคอของเขา บริเวณนั้น...มีรอยปานแดงจาง ๆ เหมือนกับเด็กชายคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จัก เธอสะดุ้งและชักมือกลับทันที ราวกับแตะต้องไฟร้อน
“คืนนี้...คุณไม่ต้องเป็นใครเลยก็ได้” เสียงของเธอเรียบแข็งราวกับไร้ความรู้สึก
“คุณแค่...ทำให้ฉันมีความสุข”
“ความสุขที่ ...ทำยังไงก็ได้”
ธนากรวางกล่องไม้สีเข้มที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้ในมุมลึกสุดของห้องเก็บของเก่าลงเบื้องหน้าดนุ“ลุงเพิ่งเจอมันเมื่อวาน... ไม่รู้ว่ามันอยู่ในนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชื่อแม่ของหลานเขียนอยู่บนปก”น้ำเสียงของธนากรเรียบขรึม แววตาเคร่งขรึมสงบเยือกเย็น ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงบางอย่างที่ดนุมองแล้วเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดกล่องถูกเปิดออกด้วยความระมัดระวัง ภายในบรรจุสมุดบันทึกปกหนังสีเก่าจาง มีร่องรอยขาดตามขอบกระดาษ บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านพ้นมานานหลายปีดนุชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมา เปิดหน้าปกด้วยมือที่เย็นเฉียบ“ถึงลูกชายทั้งสองที่แม่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู...”เพียงประโยคแรก บรรยากาศทั้งห้องก็เปลี่ยนไปทันที ราวกับทุกสิ่งถูกดึงเข้าสู่ความเงียบอันหนาวเหน็บและว่างเปล่า หัวใจเขาเต้นช้าลง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากตัวอักษรถูกเขียนด้วยลายมือเรียบง่าย ทว่าทุกคำเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่ซ่อนความสั่นไหวไว้ลึกที่สุด ทุกถ้อยคำบนหน้ากระดาษคือเสียงสะอื้นของผู้หญิงคนหนึ่ง—ผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขา“แม่ถูกหลอก... วันนั้นแม่คิดแค่ว่าเขาจะพาแม่ไปพักก่อนคลอด... แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปในพริบตา แม่ไม่ได้เห็นหน้าลู
ห้องประชุมสื่อของบริษัทคู่แข่งรายใหญ่ในเครือธุรกิจพัชรลักษณ์อัดแน่นไปด้วยนักข่าวและผู้บริหารระดับสูง แสงแฟลชวูบวาบทุกครั้งที่มีการขยับตัว เสียงซุบซิบตึงเครียดดังกระเพื่อมทั่วห้อง ราวกับคลื่นลมแรงที่ไม่มีใครอาจควบคุมได้บนเวที ตัวแทนของบริษัทกำลังกล่าวถึงทิศทางใหม่ขององค์กร ทว่าเนื้อหาที่แท้จริงของการแถลงข่าว กลับซ่อนอยู่ในสไลด์ถัดไปในมุมมืดของห้องถ่ายทอดสด ดนุนั่งนิ่งสงบ เสื้อเชิ้ตสีเข้มแนบเนื้อกลมกลืนไปกับเงาสลัว ดวงตาคมเย็นเฉียบ ราวนักล่าที่กำลังเฝ้าจับจังหวะโจมตีเหยื่อเสียงคลิกของรีโมตดังก้องกลางความเงียบ สไลด์ถัดไปปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่กลางเวที ภาพใบรับรองการเกิดสองใบฉายขึ้นอย่างชัดเจนชื่อแรกคือ “ธันวา” อีกชื่อคือ “ณภัทร” ทั้งสองเกิดในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ลายเซ็นรับรองจากเจ้าหน้าที่คนเดียวกัน และมีชื่อผู้ปกครองเป็นบุคคลเดียวกัน
สวนสาธารณะในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็นชื้นจากฝนปรอยบางเบา ทางเดินหินทอดยาวใต้แสงไฟสลัวสะท้อนเงาของสองร่างที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าดนุในเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้ม ปลายแขนเปียกชื้นไปด้วยละอองฝน เขาก้มหน้าฟังเสียงฝีเท้าของอีกคนที่เดินอยู่เคียงข้าง แววตานิ่งเฉย แต่ภายในกลับวุ่นวายราวคลื่นลมในใจณภัทรในชุดลำลองธรรมดา ดวงตาคมที่เคยเปี่ยมด้วยความมั่นใจ บัดนี้กลับฉายแววอ่อนล้า เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเขาดังปะปนกับเสียงหยดฝนที่ตกกระทบพื้น“บางที... ฉันก็ไม่แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่ฉันยืนอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นของฉันจริง ๆ หรือเปล่า”ดนุไม่ตอบในทันที เขาเพียงเงยหน้ามองต้นไม้ที่ไหวเอนตามแรงลม ราวกับปล่อยให้ธรรมชาติเป็นพยานของความเงียบที่ห่อหุ้มคำสารภาพนั้นไว้“คนในบ้าน... พวกเขาไม่ได้มองฉันเหมือนเดิมอีกแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องสา
ห้องทำงานชั้นใต้ดินของธนากรถูกดัดแปลงให้กลายเป็นศูนย์บัญชาการลับ ผนังแน่นขนัดไปด้วยแผนที่ เส้นเชื่อมโยงของบุคคลสำคัญ และเอกสารลับจำนวนมากที่จัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แสงไฟสีขาวเย็นเฉียบส่องลงบนแฟ้มเอกสารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่อย่างนิ่งสงบกลางโต๊ะ ราวกับมันคือศูนย์กลางของความลับทั้งมวลธนากรนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้างกายคือสมุนคนสนิทที่เพิ่งเดินทางกลับจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัด สถานที่ซึ่งชลธิชาเคยให้กำเนิดลูกชายเมื่อหลายปีก่อน“นี่คือทั้งหมดที่คุณต้องการครับ... รวมถึงลายเซ็นของผู้ที่รับรองเอกสารในวันนั้นด้วย” ลูกน้องรายงาน พร้อมกับยื่นแฟ้มหนาให้ธนากรเปิดแฟ้ม มือที่เคยมั่นคงกลับสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับชื่อผู้ลงนาม“อำภา...” เขาพึมพำ ดวงตาเย็นชาฉับพลันกลับเปล่งแววกร้าว ก่อนจะยื่นแฟ้มต่อให้ดนุที่ยืนเงียบอยู่เบื้องหลัง
ห้องพักในปีกหลังของคฤหาสน์พัชรลักษณ์เงียบสงัดเสียจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง มีนานั่งขดตัวอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมถึงคาง แต่ร่างกายยังสั่นสะท้านเล็กน้อย ความหนาวเย็นที่แทรกซึมไม่ใช่มาจากอากาศ แต่เป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกาะกินอยู่ภายในประตูห้องถูกลั่นกลอนจากด้านนอกตั้งแต่เมื่อคืน ฝีมือของอำภา“เธอต้องอยู่เงียบ ๆ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย"ประโยคนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับบ่วงที่มัดแน่นรอบลำคอตอนนั้นมีนาไม่ได้พูดตอบแม้สักคำ เธอเพียงเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง มองทะลุลูกกรงเหล็กบาง ๆ ที่ขวางกั้นโลกภายนอกไว้กลางดึก... เธอฝันอีกแล้วในความฝัน มีนาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าเลือนรางเต็มไปด้วยน้ำตา ร่างนั้นถูกลากออกจากห้อง ห้องที่มีเสียงร้องไห้ของเด็กเล็ก ๆ ดังก้องระงม และในนั้น... เธอก็เป็นหนึ่งในเด็กคนนั้น“อย่าเอาลูกฉันไป!”เสียงร้องสั่นสะท้าน เจ็บปวดราวกับจะฉีกหัวใจออกเป็นชิ้น ๆเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกกระชากจากอ้อมแขนของใครบางคน ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับวูบลงสู่ความมืด เธอสะดุ้งตื่นพร้อมเหงื่อเย็นที่ชื้นเต็มหน้าผาก และน้ำตาไหลอาบสองแก้ม“แม่...”เสียงแผ่วพึมพำลอดออกจากริมฝีปากท
ท้องฟ้ายามเช้าถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกบางๆ ราวกับภาพที่ยังไม่ชัดเจนของเรื่องราวในอดีตที่กำลังจะถูกเปิดโปง ดนุนั่งสงบนิ่งอยู่ ณ โต๊ะประชุมภายในสำนักงานลับของธนากร รายล้อมไปด้วยแฟ้มเอกสารกฎหมายจำนวนหนึ่งที่วางซ้อนกันสูงตระหง่าน ราวกับแต่ละเล่มคือความผิดที่รอการสะสางอย่างเงียบงันนักกฎหมายชายวัยกลางคน สวมแว่นสายตาและใบหน้าเคร่งขรึม พลิกหน้ากระดาษสำเนาการรับรองบุตรปลอมที่เพิ่งจัดทำเสร็จสิ้น เขาเงยหน้ามองดนุด้วยสายตาแน่วแน่และจริงจัง"เอกสารทั้งหมดพร้อมแล้วครับ สามารถส่งเข้าสู่ระบบสารบบได้ทันทีในนามกลุ่มผู้เปิดเผยหลักฐาน"ดนุพยักหน้าช้าๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด เขายกมือขึ้นดันแว่นสายตาปลอมเล็กน้อย บดบังความรู้สึกแท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากของนักลงทุนเลือดเย็นที่สวมใส่อย่างแนบเนียน"ขอบคุณ... จากนี้ไป จะไม่มีการถอยอีกแล้ว" เสียงของเขาเรียบง่าย หากแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวที่แม้แต่คนฟังยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลนักกฎหมายมองหน้าเขาอย่างเคร่งขรึม "เรากำลังจะเผชิญหน้ากับองค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ คุณมั่นใจใช่ไหมว่าจะไม่เปลี่ยนใจ?"ดนุไม่ตอบในทันที เขาเพียงแค่ปรายตามองแฟ้มบนโต๊ะ ก