เมื่อความเงียบเริ่มละลายลงช้า ๆ แรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่มีใครกล่าวถึง ค่อย ๆ บีบหัวใจ และเผาให้ร่างกายทั้งสองลุกไหม้...อย่างเชื่องช้า
ดนุลุกขึ้น ก้าวเข้าหาเธอเงียบ ๆ ราวกับเงา ฝ่ามือของเขายื่นออกมา เหมือนคำเชื้อเชิญในจังหวะของการเต้นรำ
มีนามอง ก่อนจะวางมือลงไปในมือของเขา เขาดึงเธอขึ้นจากโซฟา ร่างของเธอแนบเข้ากับแผงอกแข็งแน่น กลิ่นกายและลมหายใจของเขาแตะหน้าผากเธอเบา ๆ แล้วเลื่อนต่ำลงมาจนถึงปลายจมูก ริมฝีปากสัมผัสกันแผ่วเบาและร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
มือของเขาลูบผ่านแผ่นหลังเปลือยเปล่า ไล้ตามแนวกระดูกสันหลังที่สั่นสะท้านทุกครั้งที่ปลายนิ้วลากผ่าน
สัมผัสนั้น...ร้อนวาบดั่งเปลวไฟ เขาประคองเธอกลับไปยังโซฟาเดิม แต่นั่งลงเสียก่อน แล้วดึงเธอขึ้นคร่อมบนตักอย่างแนบแน่น เพียงแรงขยับนิดเดียว ร่างกายของทั้งสองก็แนบสนิท สะโพกแน่นของเขาชิดติดหว่างขาของเธอ จนเธอเผลอกัดริมฝีปากตัวเองมีนากลืนน้ำลายลงคอ เสียงดังในห้องเงียบ เธอไม่พูด ไม่ต้องการคำพูดใด มีเพียงการกระทำ ที่ตอบทุกอย่างแทนหัวใจ
มือเรียวสอดเข้าใต้เสื้อของเขา ลูบไล้ผ่านหน้าท้องแข็งแน่น กล้ามเนื้อใต้ปลายนิ้วกระตุกตอบรับราวกับมีชีวิต
เขาโน้มตัวลงมา จูบซับแนวไหล่เปลือยของเธอด้วยแรงดูดดื่ม มือหนาค่อย ๆ เลื่อนชายเดรสขึ้นอย่างตั้งใจ นิ้วหยาบลูบผ่านต้นขาด้านใน เธอสะดุ้งสัมผัสถึงความชื้นที่เธอเองไม่รู้ว่ามี ใบหน้าเธอร้อนวาบเสียงครางแผ่วลอดจากลำคอ ขณะที่เขาคุกเข่าลงตรงหน้า จูบซับ ปลายนิ้วลูบไล้เธออย่างช้า ๆ ราวกับเล่นบทดนตรีจากปลายนิ้วของเขาเอง เขาค่อย ๆ สอดนิ้วเข้าไป ลึก หนักแน่นในทุกจังหวะ พร้อมกับสายตาคมกริบที่จ้องเธอไม่วาง
“ผมไม่ได้แค่จะทำให้คุณลืมเขา...” เขากระซิบเสียงพร่า
“ผมจะทำให้คุณลืมทุกความเจ็บ ลืมทุกคืนที่เคยเหงา...และจำแค่เพียงว่า...คุณเป็นของผม”
เธอกอดเขาแน่น ร่างสะท้านไปตามแรงที่เพิ่มขึ้น ขาเรียวสั่นระริกจนแทบจะทรุด แต่เขารับไว้ทัน โอบกอดแน่นหนา
เขาจูบเธอและจูบอีกครั้งอย่างเร่าร้อนดูดดึงหายใจของเธอไว้กับเขา มือหนาค่อย ๆ ปลดกางเกงของตัวเอง เผยให้เห็นความแข็งขึงที่ตั้งตระหง่านอย่างเด่นชัด
เธอเบิกตากว้างเล็กน้อย แต่มองสบตาเขาแน่นิ่งที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา
“แน่ใจนะ...” เขาถามเสียงแผ่ว ที่สั่นระริกด้วยแรงอารมณ์
เธอพยักหน้า ดวงตาคมนิ่งเหมือนเปลวไฟในค่ำคืนที่ไม่มีทางดับ
เขาจับเรียวขาสวยแยกออกจากกัน แล้วดันลำกายเข้าหาเธออย่างเชื่องช้า ร่างเธอแอ่นรับโดยไม่ต้องสั่ง
เขาสอดใส่เข้าไป ทีละน้อย ลึก หนักแน่น เธอครางเสียงต่ำ ไม่ใช่จากความเจ็บปวด แต่จากการถูกเติมเต็ม ลึกจนวิญญาณเธอสั่นสะท้าน เขาขยับตัวช้า ๆ เร็วขึ้นทีละน้อย ท่วงท่าราวกับบรรเลงตอกย้ำให้เธอรับรู้ว่ายังมีอีกคนที่อยู่เคียงข้างและรับฟังปัญหาของเธอ แม้ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าก็ตามในห้องที่มีเพียงเสียงฝน เสียงเนื้อกระทบเนื้อ และเสียงหอบหายใจที่ดังขึ้นทุกขณะ ทว่าเธอร้องไห้ออกมา ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะเธอกำลังถูกปลดปล่อย จากพันธนาการบางอย่างที่รัดเธอไว้หลายปี
เขาโน้มตัวจูบเปลือกตา เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ขณะยังขยับเข้าออกในร่างของเธอ แล้วกระซิบถ้อยคำที่ทำให้เธอสั่นสะท้านยิ่งกว่าสัมผัสใด
“คุณไม่ต้องลืมใครคืนนี้... แค่จดจำไว้ ว่าคุณมีค่า มีสิทธิ์ที่จะถูกโอบกอด และถูกรัก... อย่างที่คุณควรได้รับมาตลอดชีวิตนี้”
...
ในเวลาเดียวกัน บนชั้นสองของ “ลิโอจิน”
แสงสลัวจากจอมอนิเตอร์สาดเงาสีขาวซีดลงบนใบหน้าที่ตึงเครียดของเขา ณภัทรยกแก้ววิสกี้ขึ้นแนบริมฝีปาก ก่อนจะฟาดมันลงกับโต๊ะอย่างแรง ภาพบนหน้าจอกล้องวงจรปิด ห้อง VIP-007 แสดงให้เห็นร่างหญิงสาวที่เขารู้จักดีแนบชิดอยู่กับชายแปลกหน้าบนโซฟากำมะหยี่ มือของเธอสอดเข้าไปในเสื้อของชายคนนั้น ร่างของเขาโอบเธอไว้แน่น แนบแน่นจนเกินกว่าทุกสัมผัสที่เขาเคยได้จากเธอ เสียงหอบหายใจเบา ๆ ดังลอดมาจากลำโพงระบบเฝ้าระวัง เสียงที่ทำให้เขาแทบคลั่ง
ณภัทรเอื้อมมือลูบรอยสักบนข้อมือซ้าย ตัวอักษรเล็ก ๆ จางลงตามกาลเวลา
"มีนา 2008.7.15"
วันเกิดของเธอ...วันที่เขาเคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยมือเธออีก แต่สุดท้าย เขาก็ยังทำ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอ... แต่เขากลับทำร้ายจิตใจผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าสงสาร ด้วยคำพูดที่ตัดรอนอย่างโหดร้าย
แม้ทุกการกระทำจะมีเหตุและผลของมัน แต่ดวงตาคมที่จับจ้องภาพตรงหน้า กลับเต็มไปด้วยแววกรุ่นโกรธ อยากจะวิ่งลงไป ฉุดกระชากทั้งสองออกจากกัน ทว่าเขาทำไม่ได้มือหนาบีบแก้ววิสกี้ใบใหญ่แน่นจนแหลกคามือ เศษแก้วกระจายเปื้อนเลือดที่ไหลจากปลายนิ้วโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเริ่มบีบแรงตั้งแต่เมื่อไร หยดเลือดหยดลงบนกระดาษเฝ้าระวังตรงหน้า สีแดงสดค่อย ๆ ซึมลงบนแผ่นพิมพ์ขาวสะอาด เหมือนหยาดฝนในคืนนี้ที่หลั่งรินบนผิวกระจก...และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
หน้าจอยังคงแสดงภาพสดจากกล้องลับภาพของมีนาขยับเบา ๆ บนร่างของชายคนนั้น เสียงครวญแผ่วแทรกออกมาจากลำโพง ไม่ใช่เสียงของความเจ็บปวด แต่คือเสียงของใครบางคนที่ยอมหลอมรวมตัวเองไว้กับอีกคนอย่างเต็มใจเสียงแห่งความสุข ความสุขที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขา
บรรทัดสุดท้ายบนหน้าจอปรากฏข้อความสีแดง
"ห้อง VIP-007: กล้องลับถูกปิดใช้งาน"
ธนากรวางกล่องไม้สีเข้มที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้ในมุมลึกสุดของห้องเก็บของเก่าลงเบื้องหน้าดนุ“ลุงเพิ่งเจอมันเมื่อวาน... ไม่รู้ว่ามันอยู่ในนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชื่อแม่ของหลานเขียนอยู่บนปก”น้ำเสียงของธนากรเรียบขรึม แววตาเคร่งขรึมสงบเยือกเย็น ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงบางอย่างที่ดนุมองแล้วเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดกล่องถูกเปิดออกด้วยความระมัดระวัง ภายในบรรจุสมุดบันทึกปกหนังสีเก่าจาง มีร่องรอยขาดตามขอบกระดาษ บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านพ้นมานานหลายปีดนุชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมา เปิดหน้าปกด้วยมือที่เย็นเฉียบ“ถึงลูกชายทั้งสองที่แม่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู...”เพียงประโยคแรก บรรยากาศทั้งห้องก็เปลี่ยนไปทันที ราวกับทุกสิ่งถูกดึงเข้าสู่ความเงียบอันหนาวเหน็บและว่างเปล่า หัวใจเขาเต้นช้าลง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากตัวอักษรถูกเขียนด้วยลายมือเรียบง่าย ทว่าทุกคำเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่ซ่อนความสั่นไหวไว้ลึกที่สุด ทุกถ้อยคำบนหน้ากระดาษคือเสียงสะอื้นของผู้หญิงคนหนึ่ง—ผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขา“แม่ถูกหลอก... วันนั้นแม่คิดแค่ว่าเขาจะพาแม่ไปพักก่อนคลอด... แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปในพริบตา แม่ไม่ได้เห็นหน้าลู
ห้องประชุมสื่อของบริษัทคู่แข่งรายใหญ่ในเครือธุรกิจพัชรลักษณ์อัดแน่นไปด้วยนักข่าวและผู้บริหารระดับสูง แสงแฟลชวูบวาบทุกครั้งที่มีการขยับตัว เสียงซุบซิบตึงเครียดดังกระเพื่อมทั่วห้อง ราวกับคลื่นลมแรงที่ไม่มีใครอาจควบคุมได้บนเวที ตัวแทนของบริษัทกำลังกล่าวถึงทิศทางใหม่ขององค์กร ทว่าเนื้อหาที่แท้จริงของการแถลงข่าว กลับซ่อนอยู่ในสไลด์ถัดไปในมุมมืดของห้องถ่ายทอดสด ดนุนั่งนิ่งสงบ เสื้อเชิ้ตสีเข้มแนบเนื้อกลมกลืนไปกับเงาสลัว ดวงตาคมเย็นเฉียบ ราวนักล่าที่กำลังเฝ้าจับจังหวะโจมตีเหยื่อเสียงคลิกของรีโมตดังก้องกลางความเงียบ สไลด์ถัดไปปรากฏขึ้นบนจอขนาดใหญ่กลางเวที ภาพใบรับรองการเกิดสองใบฉายขึ้นอย่างชัดเจนชื่อแรกคือ “ธันวา” อีกชื่อคือ “ณภัทร” ทั้งสองเกิดในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ลายเซ็นรับรองจากเจ้าหน้าที่คนเดียวกัน และมีชื่อผู้ปกครองเป็นบุคคลเดียวกัน
สวนสาธารณะในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็นชื้นจากฝนปรอยบางเบา ทางเดินหินทอดยาวใต้แสงไฟสลัวสะท้อนเงาของสองร่างที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าดนุในเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้ม ปลายแขนเปียกชื้นไปด้วยละอองฝน เขาก้มหน้าฟังเสียงฝีเท้าของอีกคนที่เดินอยู่เคียงข้าง แววตานิ่งเฉย แต่ภายในกลับวุ่นวายราวคลื่นลมในใจณภัทรในชุดลำลองธรรมดา ดวงตาคมที่เคยเปี่ยมด้วยความมั่นใจ บัดนี้กลับฉายแววอ่อนล้า เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเขาดังปะปนกับเสียงหยดฝนที่ตกกระทบพื้น“บางที... ฉันก็ไม่แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่ฉันยืนอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นของฉันจริง ๆ หรือเปล่า”ดนุไม่ตอบในทันที เขาเพียงเงยหน้ามองต้นไม้ที่ไหวเอนตามแรงลม ราวกับปล่อยให้ธรรมชาติเป็นพยานของความเงียบที่ห่อหุ้มคำสารภาพนั้นไว้“คนในบ้าน... พวกเขาไม่ได้มองฉันเหมือนเดิมอีกแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องสา
ห้องทำงานชั้นใต้ดินของธนากรถูกดัดแปลงให้กลายเป็นศูนย์บัญชาการลับ ผนังแน่นขนัดไปด้วยแผนที่ เส้นเชื่อมโยงของบุคคลสำคัญ และเอกสารลับจำนวนมากที่จัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แสงไฟสีขาวเย็นเฉียบส่องลงบนแฟ้มเอกสารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่อย่างนิ่งสงบกลางโต๊ะ ราวกับมันคือศูนย์กลางของความลับทั้งมวลธนากรนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้างกายคือสมุนคนสนิทที่เพิ่งเดินทางกลับจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัด สถานที่ซึ่งชลธิชาเคยให้กำเนิดลูกชายเมื่อหลายปีก่อน“นี่คือทั้งหมดที่คุณต้องการครับ... รวมถึงลายเซ็นของผู้ที่รับรองเอกสารในวันนั้นด้วย” ลูกน้องรายงาน พร้อมกับยื่นแฟ้มหนาให้ธนากรเปิดแฟ้ม มือที่เคยมั่นคงกลับสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อสายตาสะดุดเข้ากับชื่อผู้ลงนาม“อำภา...” เขาพึมพำ ดวงตาเย็นชาฉับพลันกลับเปล่งแววกร้าว ก่อนจะยื่นแฟ้มต่อให้ดนุที่ยืนเงียบอยู่เบื้องหลัง
ห้องพักในปีกหลังของคฤหาสน์พัชรลักษณ์เงียบสงัดเสียจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง มีนานั่งขดตัวอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมถึงคาง แต่ร่างกายยังสั่นสะท้านเล็กน้อย ความหนาวเย็นที่แทรกซึมไม่ใช่มาจากอากาศ แต่เป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกาะกินอยู่ภายในประตูห้องถูกลั่นกลอนจากด้านนอกตั้งแต่เมื่อคืน ฝีมือของอำภา“เธอต้องอยู่เงียบ ๆ จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย"ประโยคนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับบ่วงที่มัดแน่นรอบลำคอตอนนั้นมีนาไม่ได้พูดตอบแม้สักคำ เธอเพียงเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง มองทะลุลูกกรงเหล็กบาง ๆ ที่ขวางกั้นโลกภายนอกไว้กลางดึก... เธอฝันอีกแล้วในความฝัน มีนาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าเลือนรางเต็มไปด้วยน้ำตา ร่างนั้นถูกลากออกจากห้อง ห้องที่มีเสียงร้องไห้ของเด็กเล็ก ๆ ดังก้องระงม และในนั้น... เธอก็เป็นหนึ่งในเด็กคนนั้น“อย่าเอาลูกฉันไป!”เสียงร้องสั่นสะท้าน เจ็บปวดราวกับจะฉีกหัวใจออกเป็นชิ้น ๆเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกกระชากจากอ้อมแขนของใครบางคน ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับวูบลงสู่ความมืด เธอสะดุ้งตื่นพร้อมเหงื่อเย็นที่ชื้นเต็มหน้าผาก และน้ำตาไหลอาบสองแก้ม“แม่...”เสียงแผ่วพึมพำลอดออกจากริมฝีปากท
ท้องฟ้ายามเช้าถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกบางๆ ราวกับภาพที่ยังไม่ชัดเจนของเรื่องราวในอดีตที่กำลังจะถูกเปิดโปง ดนุนั่งสงบนิ่งอยู่ ณ โต๊ะประชุมภายในสำนักงานลับของธนากร รายล้อมไปด้วยแฟ้มเอกสารกฎหมายจำนวนหนึ่งที่วางซ้อนกันสูงตระหง่าน ราวกับแต่ละเล่มคือความผิดที่รอการสะสางอย่างเงียบงันนักกฎหมายชายวัยกลางคน สวมแว่นสายตาและใบหน้าเคร่งขรึม พลิกหน้ากระดาษสำเนาการรับรองบุตรปลอมที่เพิ่งจัดทำเสร็จสิ้น เขาเงยหน้ามองดนุด้วยสายตาแน่วแน่และจริงจัง"เอกสารทั้งหมดพร้อมแล้วครับ สามารถส่งเข้าสู่ระบบสารบบได้ทันทีในนามกลุ่มผู้เปิดเผยหลักฐาน"ดนุพยักหน้าช้าๆ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด เขายกมือขึ้นดันแว่นสายตาปลอมเล็กน้อย บดบังความรู้สึกแท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากของนักลงทุนเลือดเย็นที่สวมใส่อย่างแนบเนียน"ขอบคุณ... จากนี้ไป จะไม่มีการถอยอีกแล้ว" เสียงของเขาเรียบง่าย หากแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวที่แม้แต่คนฟังยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลนักกฎหมายมองหน้าเขาอย่างเคร่งขรึม "เรากำลังจะเผชิญหน้ากับองค์กรที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ คุณมั่นใจใช่ไหมว่าจะไม่เปลี่ยนใจ?"ดนุไม่ตอบในทันที เขาเพียงแค่ปรายตามองแฟ้มบนโต๊ะ ก