สวนสาธารณะในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็นชื้นจากฝนปรอยบางเบา ทางเดินหินทอดยาวใต้แสงไฟสลัวสะท้อนเงาของสองร่างที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ดนุในเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้ม ปลายแขนเปียกชื้นไปด้วยละอองฝน เขาก้มหน้าฟังเสียงฝีเท้าของอีกคนที่เดินอยู่เคียงข้าง แววตานิ่งเฉย แต่ภายในกลับวุ่นวายราวคลื่นลมในใจ
ณภัทรในชุดลำลองธรรมดา ดวงตาคมที่เคยเปี่ยมด้วยความมั่นใจ บัดนี้กลับฉายแววอ่อนล้า เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของเขาดังปะปนกับเสียงหยดฝนที่ตกกระทบพื้น
“บางที... ฉันก็ไม่แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่ฉันยืนอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นของฉันจริง ๆ หรือเปล่า”
ดนุไม่ตอบในทันที เขาเพียงเงยหน้ามองต้นไม้ที่ไหวเอนตามแรงลม ราวกับปล่อยให้ธรรมชาติเป็นพยานของความเงียบที่ห่อหุ้มคำสารภาพนั้นไว้
“คนในบ้าน... พวกเขาไม่ได้มองฉันเหมือนเดิมอีกแล้ว ตั้งแต่ข่าวเรื่องสา
เท้าของดนุก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานชั้นบนสุดด้วยตัวเอง เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ แต่หลังจากชัยชนะอันว่างเปล่าในห้องประชุม ร่างกายของเขากลับเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ ดึงดูดมายังสถานที่อันเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกสิ่งเขาผลักบานประตูไม้หนักอึ้งเข้าไป ความเงียบภายในห้องหนักหน่วงและแตกต่างจากความเงียบที่อื่น มันเป็นความเงียบที่เหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง แสงแดดยามบ่ายสาดเข้ามาเป็นลำยาว จับให้เห็นฝุ่นละอองที่ลอยนิ่งในอากาศ... ราวกับเวลาในห้องนี้ได้หยุดเดินไปแล้วนับตั้งแต่เจ้าของคนสุดท้ายจากไปทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม โต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งสงบนิ่งอยู่กลางห้องเหมือนแท่นบูชา เก้าอี้หนังพนักสูงหันหน้ารอคอย และกระจกบานใหญ่ที่กินพื้นที่ผนังเกือบทั้งด้าน... มันสะท้อนภาพห้องที่สมบูรณ์แบบจนน่าขนลุกดนุเดินเข้าไปช้าๆ หยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานนั้น เงาของเขาทาบทับลงไปในภาพสะท้อนจนเส้นแบ่งระหว่างตัวตนและความเป็นอื่นพร่าเลือน เขาจ้องมองใบหน้าของชายในกระจก... ใบหน้าที่เป็นของเขา แต่กลับรู้สึกแปลกแยกอย่างประหลาด ดวงตาคมเข้มคู่นั้นดูนิ่งเกินไปจนผิดธรรมชาติ เหมือนกำลังค้นหาคำตอบจากเงาที่จ้องกลับมาอย่าง
เช้าวันนี้ ห้องประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้นบริษัทพัชรลักษณ์ถูกปกคลุมด้วยมวลบรรยากาศอันหนักอึ้งและเงียบงันจนผิดสังเกตโต๊ะประชุมตัวยาวสีเข้มขลับสะท้อนแสงไฟจากเพดานสูง มันถูกจัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสมบูรณ์แบบ บนโต๊ะนั้นมีกองเอกสารหนาเตอะวางอยู่ตรงหน้าของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมก้มสายตาลงอ่านเนื้อหาในนั้นอย่างแท้จริงเสียงกระซิบกระซาบสั้นๆ แทรกตัวขึ้นมาเป็นระยะ ประหนึ่งเสียงรอยร้าวของรากฐานที่กำลังปริแตกอยู่ในความเงียบอันเยียบเย็น เสริมด้วยกลิ่นกาแฟเข้มข้นที่เจือจางในสายลมจากเครื่องปรับอากาศ ซึ่งถูกปรับอุณหภูมิต่ำกว่าปกติจนรู้สึกได้ถึงความเย็นชืดที่เสียดแทงผิวบนเวทีเบื้องหน้า คณะกรรมการบริหารนั่งเรียงแถวกันด้วยท่วงท่าที่เป็นทางการ ทว่าสีหน้าของแต่ละคนกลับปรากฏร่องรอยความตึงเครียดฉายชัดผ่านดวงตาที่แข็งกระด้างและมุมปากที่เม้มแน่น สายตาบางคู่จงใจเบนหลบเลี่ยงกันไปมา ดุจไม่พร้อมจะยอมรับความจริงที่กำลังจะถูกเปล่งออกมาในที่สุด ประธานในที่ประชุมก็เอ่ยขึ้น เสียงของเขาชัดถ้อยชัดคำแต่กลับแฝงด้วยน้ำหนักที่แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด“ตามวาระการประชุมที่หนึ่ง… บริษัทจ
รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองค่อยๆ ลัดเลาะขึ้นสู่เนินเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ถนนสายเล็กคดเคี้ยวราวกับกำลังพาเธอเดินทางย้อนกลับเข้าไปในความทรงจำของใครบางคน ทิวทัศน์สองข้างทางแปรเปลี่ยนจากตึกสูงและคาเฟ่ทันสมัย เป็นบ้านไม้เก่า ไร่กาแฟ และทิวไม้สูงที่ยืนตระหง่านเงียบงัน ราวกับผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองผู้มาเยือนมีนานั่งชิดริมหน้าต่าง สองมือกอดกระเป๋าสะพายไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวของมีค่าสูญหาย แต่เพราะหัวใจที่เต้นระรัวจนต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไออุ่นจากแสงแดดที่ส่องลอดกระจกเข้ามาไม่อาจบรรเทาความเย็นเยียบในอกของเธอได้ ตั้งแต่ได้รับเบาะแสจากธนากรเกี่ยวกับชลธิชา เธอก็รู้ดีว่าการมาที่นี่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เธอเคยรู้... และอาจจะเปลี่ยนชีวิตของดนุไปตลอดกาลรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลที่ปูด้วยหินกรวด ป้ายไม้เก่าที่สลักชื่อ “บ้านร่มลีลา” ปรากฏแก่สายตา ด้านหลังรั้วไม้เตี้ยๆ คืออาณาบริเวณที่สงบร่มรื่น สนามหญ้าสีเขียวสดดูสบายตา ต้นลีลาวดีต้นใหญ่กำลังผลิดอกสีขาวสะพรั่ง กลีบดอกบางส่วนร่วงหล่นโปรยปรายบนพื้นราวกับพรมธรรมชาติอาคารบ้านพักคนชราสีขาวชั้นเดียวดูเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่งและอบอุ่นมีนาจ่ายค่าโดยสาร
เสียงโห่ร้องและถ้อยคำก่นด่าในห้องประชุมยังคงก้องสะท้อน แต่พัชรลักษณ์กลับยืนนิ่งสงบอยู่บนโพเดียมอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าที่เคยเย็นชาดุจน้ำแข็ง บัดนี้เริ่มปรากฏรอยสั่นไหวที่ไม่อาจซ่อนเร้นดวงตาคมกล้าที่เคยกดข่มทุกคนจนสิ้นฤทธิ์ บัดนี้กลับสั่นพร่าราวกับม่านน้ำตาบางๆ กำลังก่อตัวขึ้น ต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป เขาจ้องลึกลงไปที่ดนุ คู่ปรับคนสำคัญที่ยืนนิ่งอยู่กลางเวที... มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ความเรียบเฉยที่น่าขนลุกแววตาของพัชรลักษณ์ที่เคยทอประกายแห่งอำนาจ บัดนี้เหลือเพียงร่องรอยความร้าวรานที่ซ่อนอยู่ลึกสุดใจ ริมฝีปากพยายามขยับราวกับอยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัดแล้วจู่ๆ...ร่างสูงใหญ่ที่เคยสง่างามของพัชรลักษณ์ก็ซวนเซ มือหนากำขอบโพเดียมไม้เนื้อแข็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดฮวบลง... หมดสิ้นสภาพของราชันผู้ยิ่งใหญ่“พ่อ!”ณภัทรตะโกนสุดเสียง ทะยานฝ่าความวุ่นวายและกลุ่มนักข่าวที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะได้สัมผัสร่างของบิดา
รุ่งอรุณของวันถัดมา ดนุยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ภาพที่สะท้อนกลับมาคือชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบ แต่แววตากลับไม่ใช่คนเดิม มันคือดวงตาของคนที่ความเจ็บปวดได้หล่อหลอมให้กลายเป็นเหล็กกล้า... แข็งแกร่งและแน่วแน่เขาล้วงมือลงในกระเป๋า สัมผัสม้วนเทปของแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเก็บมันกลับใส่กล่องไม้อย่างทะนุถนอม มันคือคำมั่นสัญญากับตัวเองวันนี้… โลกทั้งใบจะได้ยินเสียงของชลธิชาในเวลาเดียวกัน คฤหาสน์พัชรลักษณ์ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด อากาศหนักอึ้งราวกับมีพายุก่อตัวอยู่ภายใน พัชรลักษณ์ในชุดสูทสั่งตัดอย่างประณีตราวกับชุดเกราะ ก้าวออกจากห้องทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่ง แววตาคมกริบฉายชัดถึงความเย่อหยิ่งที่ฝังลึก เขารู้ว่าทุกสายตากำลังจับจ้อง แต่สำหรับเขา… นี่เป็นเพียงอีกเกมหนึ่งที่เดิมพันด้วยทุกสิ่ง และเขาไม่เคยคิดที่จะแพ้ณภัทรเดินตามหลังบิดาเงียบๆ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง “ตั้งสติไว้” พัชรลักษณ์เอ่ยเสียงต่ำ ราบเรียบแต่ก้องกังวาน “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้” ณภัทรทำได้เพียงพยักหน้ารับ โดยไม่กล้าแม้แต่จะสบตาช่วงบ่าย การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพัชรลักษณ์เริ่มต้นขึ้น พร้อมการ
ตอนที่ 61: ปริศนาน้ำเสียงในเทปเก่าคำปฏิเสธของพัชรลักษณ์ยังคงตามหลอนอยู่ในความคิดของดนุ มันไม่ใช่แค่เสียงที่ก้องกังวาน แต่เป็นเหมือนเศษแก้วที่ทิ่มแทงซ้ำๆ ลงบนบาดแผลเดิม เขาเดินทางกลับมายังบ้านเก่าของแม่ สถานที่ซึ่งความทรงจำและความเงียบงันจับตัวกันแน่นในอากาศ จนแทบจะหายใจไม่เข้าห้องเก็บของที่กาลเวลาได้ผนึกไว้เปิดอ้าออก ฝุ่นละอองลอยวนในลำแสงอาทิตย์ซึ่งลอดผ่านรอยร้าวบนบานหน้าต่าง ดนุนั่งคุกเข่าลงบนพื้นไม้เก่า มือใหญ่ไล่สำรวจกล่องกระดาษทีละใบ จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ...ตุ๊กตาที่ประดับด้วยรอยปะชุนจากฝีมือของแม่เขามองมันนิ่ง สายตาจมลึกลงในความว่างเปล่า... พาความคิดย้อนกลับไปเห็นภาพแม่กำลังนั่งซ่อมมันอย่างใจเย็น ก่อนที่ปลายนิ้วหนาจะค่อยๆ เลาะตะเข็บด้ายบริเวณต้นคอของตุ๊กตา และในโพรงเล็กๆ นั้น… ม้วนเทปคาสเซ็ตต์ขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบงันดนุหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลมหายใจหนักหน่วงราวกับมีหินถ่วง เขาเสียบเทปลงในเครื่องเล่นเก่า เสียง “คลิก” ดังแผ่วเบา และทันทีที่มันเริ่มหมุน…เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็เล็ดลอดออกมา เสียงที่ขาดห้วงและสั่นพร่า ทุกพยางค์เปียกชุ่มด้วยคว