สิ่งแรกที่เธอเห็นคือรถตู้ตำรวจที่จอดรออยู่ แม้ว่ามันจะจอดไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากก็ตาม แต่เพราะว่าเธอเห็นครอบครัวโรมูลเลอร์อยู่แถวนั้นด้วย สายตาเลยเหลือบไปเห็นเจ้าพาหนะที่จะพาเธอไปยังสถานที่หนึ่ง เมื่อพ่อแม่ของซอนย่าเห็นอเล็กซิส พวกเขาโน้มคอลงเหมือนจะกล่าวทักทาย และรีบเดินจากไป
สองวันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น บรูซกับคาเมรอนถูกส่งตัวไปยังศาลปกครองที่เมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิสทันที เมืองเดียวกับที่นางพยาบาลสตีเว่นและครูโดบี้ส์ถูกส่งตัวไปสำเร็จโทษ อเล็กซิสได้ยินมาว่าสามีของเธอพาลูก ๆ ตามไปด้วย น่าสงสารทั้งคุณโดบี้ส์ และลูก ๆ ของพวกเขา เด็ก ๆ ยังเล็กเกินกว่าที่จะสูญเสียแม่
ส่วนตัวฉัน ก็ยังเด็กเกินไปที่จะสูญสิ้นทุกอย่าง
เธอไม่เคยลืมใบหน้าของซอนย่าในตอนนั้นเลย ผิวของเธอไหม้เกรียม ทำให้บางส่วนปริลอกออกมาจนเห็นเนื้อสดสีแดงข้างใน ดวงตาทั้งสองข้างไหม้ดำ ไม่ว่าเธออยากจะลืมภาพนั้นเท่าไร แต่อเล็กซิสรู้ดีว่าใบหน้าตอนตายของซอนย่าจะติดตัวเธอไปตลอด ยกเว้นแต่ว่า
ลมหายใจเธอจะดับสิ้น“ลูกอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า” พ่อถาม เขายืนรออยู่กับแม่และเจ้าชาร์ลี พ่อเก็บมือทั้งสองข้างไว้ในกางเกง พยายามจะทำตัวสุขุมเหมือนทุกที แต่แม่ของอเล็กซิสอยู่ในลักษณะตรงข้าม นั่นคือร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง เด็กสาวรีบวิ่งไปกอดแม่บุญธรรมและปลอบเธอยกใหญ่
“หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ แม่บอกหนูไม่ใช่เหรอคะว่าอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวเอง หนูจะไม่เป็นอะไรนะคะแม่ เชื่อหนูสิ”
“ดูลูกสิ โถ ลูกแม่” เธอเชยคางเด็กสาวขึ้นมา สำรวจรอยแผลตามตัวลูกสาว “แม่จะห้ามไม่ให้ตัวเองคิดได้ยังไงว่าจะไม่มีใครทำร้ายลูก พวกเราพาเธอกลับบ้านได้ไหม ได้ไหมคะ คาเลบ บอกฉันที่สิว่าฉันกำลังฝันอยู่!”
พ่อโอบไหล่แม่อย่างอ่อนโยน “ลูกสาวของพวกเราเข้มแข็งจะตาย ใช่ไหมลูก”
อเล็กซิสพยักหน้าเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่พยายามกลั้นใจทำเป็นกล้าหาญต่อหน้าพ่อแม่ ระหว่างนั้นมือของเธอก็ขยี้ผมสีทองของเจ้าชาร์ลีไปด้วย “เป็นเด็กดีนะ เจ้าลิง”
“ผมเป็นเด็กดีอยู่แล้วคับ!” จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าน้องชายหายไป “พี่ต้องกลับมานะคับ ไม่งั้นผมคิดถึงพี่แย่เลย” พูดแล้วก็กอดขาเธอแน่น
เด็กสาวหัวเราะทั้งน้ำตา ไม่ไกลออกไป พวกตำรวจเปิดประตูท้ายรถห้องผู้โดยสาร คงถึงเวลาที่จะต้องหยุดรอเสียงนาฬิกาปลุกเสียที ไม่มีสิ่งใดปลุกเธอให้ตื่นจากฝันร้ายนี้ได้อีกแล้ว
นี่มันเป็นเรื่องจริงสินะ
สายตาของเธอกวาดไปรอบ ๆ เพื่อจดจำเมืองและผู้คน เธอไม่เคยออกจากเมืองไปนานเลย และการออกจากเมืองครั้งนี้อาจหมายถึงเธอจะจากซานโบซ่าไปตลอดกาล ตั้งแต่ที่เธอกลายมาเป็น อเล็กซิส เดวิส ซานโบซ่าเป็นบ้านเกิดของเธอ ไม่เคยคิดว่าจะไปจากที่นี่โดยไม่อาจทราบได้ว่า จะได้กลับมาหรือเปล่า
ส่วนออสโล่จมอยู่ในอ้อมกอดครอบครัวตัวเอง ทั้งหมดกำลังอวยพรเขา สมาชิกเจสเซ่นทุกคนล้วนมีผมสีแดง ดวงตาสีน้ำตาลคาราเมลของเด็กหนุ่มสบเข้ากับเธอ จากนั้นเพื่อนร่วมชะตากรรมคลี่ยิ้มน้อย ๆ แม้เป็นรอยยิ้ม แต่เธอสัมผัสได้ว่าข้างในของเขารู้สึกสิ่งตรงข้าม พวกเขาแบ่งปันความรู้สึกแบบเดียวกัน นั่นคือเสียดายชีวิตที่กำลังจะถูกพรากไป ถัดจากพวกเจสเซ่นก็เป็นครอบครัวมิลเลอร์และครอบครัวคาร์เตอร์ นางมิลเลอร์ร้องไห้หนักไม่ต่างจากเบียนน่า ขณะเดียวกัน เบลินดากำลังร้องไห้ซบอกแฟนหนุ่มของเธอ มีเพื่อนสนิทคอยปลอบ
จูน
เธอไม่มาจริง ๆ สินะ
คนที่มาส่งพวกเขามีจำนวนไม่เยอะนัก เพราะทางการอนุญาตให้แค่ครอบครัวและเพื่อนสนิทเท่านั้น ดังนั้นเอโลดี้กับเดวี่จึงต้องแบกถุงของขวัญที่พวกเพื่อนคนอื่นฝากมาให้ ซึ่งเพื่อนสนิทของเวดและออสโล่ก็ทำแบบเดียวกัน อเล็กซิสหวังว่าจูนจะมาด้วย แต่มันเป็นความหวังงี่เง่า
“ขอบคุณทั้งสองคนนะ อุตส่าห์แบกมาให้” อเล็กซิสกล่าว ตามองเข้าไปข้างในถุง เห็นขนมช็อกโกแลตเต็มไปหมด “นี่พวกเธออยากให้ฉันฟันผุเหรอไงเนี่ย”
“อเล็กซ์ ถ้าเธอไม่อยู่ฉันจะคุยกับใครล่ะ” เอโลดี้ถาม น้ำเสียงเศร้าสร้อย อเล็กซิสมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อยับยั้งคลื่นน้ำตาลูกใหม่ถึงค่อยตอบเอโลดี้ได้
“เธอมีเพื่อนตั้งเยอะแยะ”
“แต่พวกเขาไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่ได้ดีอย่างเธอ...”
“เธอจะหาเพื่อนสนิทที่สุดของที่สุดได้อีกแน่ ๆ” ในหัวของอเล็กซิสนึกภาพของจูน “และฉันก็ไม่ใช่เพื่อนที่ดีอย่างที่เธอคิดด้วย”
สุดท้าย อเล็กซิสทำได้แต่กอดเพื่อนสาวร่างเล็กแทน “อย่าร้องไห้สิ เธอไม่ถูกกับมาสคาร่าไม่ใช่เหรอ ต่อให้ยี่ห้อดีแค่ไหน หรือกันน้ำได้เลิศมากเท่าไรก็ตาม”
“ยัยบ้า…”
“ถึงเวลารถออกแล้ว! ขึ้นรถกันได้แล้ว” เฮลก้าตะโกนผ่านโทรโข่ง พอพวกตำรวจจะเดินตรงเข้ามา เดวี่รีบดันตัวเอโลดี้ออกไป (“นี่นาย!” เด็กสาวฮึดฮัด) เขาสวมกอดเธอด้วยท่อนแขนหนาแบบนักกีฬา ตัวของเขาอุ่นมาก เธอได้กลิ่นโคโลญของเขาอีกแล้ว กลิ่นหอมละมุนของลาเวนเดอร์กับดอกส้มเข้ากันได้ดีกับหน้าร้อน ของขวัญที่ฉันซื้อให้นี่นา อ้อมกอดที่เธอคิดถึงอยู่ตลอด แม้เขาไม่ใช่คนรักของเธออีกต่อไปแล้วก็ตาม อเล็กซิสยังจำคืนวันพรอมได้เป็นอย่างดี สัมผัสของเดวี่ยังคงเหมือนเดิม แต่บนหัวของเด็กสาวไม่มีดอกไม้สดและมงกุฎประดับเหมือนคืนนั้น อ้อ แล้วเธอไม่ได้สวมชุดราตรีสีน้ำเงินด้วย อเล็กซิสนึกสงสัยว่าถ้าเธอไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะลงเอยอย่างไร แน่นอนว่าพวกเขาคงเลิกกันอยู่ดี แต่ถึงแม้เขาจะนอกใจเธอ อเล็กซิสกลับยืนนิ่งในอ้อมกอดของเดวี่เสียอย่างนั้น
“ถ้าฉันสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น อเล็กซ์ ฉันคงคิดถึงเธอมาก ๆ มากจนเป็นบ้า ฉันรักเธอนะ”
ฉันก็รักนายเหมือนกัน...รักมากกว่าด้วย นายทำให้ฉันคลั่งจนแทบจะบ้า
อเล็กซิสจดจำทุกรายละเอียดบนใบหน้าของเดวี่ได้ทุกอย่าง ดวงตาของเขามีอำนาจหลอมละลายใจเธอได้ดีนัก ดวงตาที่เธอยอมแพ้ รวมทั้งสัมผัสที่พวกเขามีให้กันในคืนงานพรอมจะกลายเป็นประสบการณ์ที่แสนกระอักกระอ่วนแต่ขณะเดียวกัน ก็ยังถือเป็นความทรงจำที่ดี
“ขอบคุณนะเดวี่” เธอไม่ได้คิดจะทำแบบนี้ แต่มือมันไปเอง อเล็กซิสกอดเขากลับ แถมกอดแน่นกว่าทุกที เรื่องที่เขาทรยศหักหลัง รวมทั้งเรื่องของจูน เธอลืมไปหมดแล้ว ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้...ถ้าอ้อมกอดนี้ไม่ใช่การแสดงความรักครั้งสุดท้าย...ถ้าจูนขอโทษ...หน้าของเดวี่เลื่อนเข้ามาใกล้ ทั้งสองกำลังจะจูบกัน
“อเล็กซ์” เจสซี่หรี่ตาเป็นการเตือน พวกเขาไม่ได้อยู่ในที่รโหฐาน แถมพ่อกับแม่ยังมองเธออยู่ด้วย
“ก็แค่ครั้งสุดท้ายเองน่า” อเล็กซิสกัดฟันพูด เจสซี่ขยี้หัวน้องสาวแรง ๆ แล้วผลักเธอไปหาแม่ แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว เดวี่มักทำให้เธอลืมสิ่งรอบตัวไปจนหมด และถ้าเจสซี่ไม่ขัดจังหวะ เธอกับเขาคงจูบกันไปแล้ว พ่อกับแม่ขำกันใหญ่ และมันเป็นเสียงหัวเราะแรกหลังจากเธอถูกจับ
“ดีจริง ๆ พ่อไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีเจสซี่คอยทำหน้าที่แทนแล้ว” ผู้เป็นพ่อกระเซ้า
สุดท้าย แม่คือคนที่จูบเธอเป็นคนสุดท้าย เป็นการจุ๊บที่หน้าผาก “หนูไม่เป็นไรจริง ๆ นะคะแม่ อย่ากังวลไปเลยนะคะ หนูรักแม่นะ ดูแลตัวเองดี ๆ” เธอกอดมารดาแน่น เบียนน่าดูโทรมและผอมลงมาก “แม่ต้องทานข้าวเยอะ ๆ นะ”
“กลับมาหาแม่นะลูก สัญญากับแม่นะ” เบียนน่าขอร้อง
อเล็กซิสสบตากับพี่ชายและพี่สาว พวกเขากำลังยืนยิ้ม เพราะแม่พูดแบบเดียวกับเจสซี่ “หนูสัญญา หนูจะพยายามนะคะ” อเล็กซิสเช็ดน้ำตาของแม่ แม่ยังคงเป็นหญิงสาวสวยแม้ในยามที่จิตใจบอบช้ำ “หนูรักแม่นะคะ”
เธอหันไปหาพ่อผู้ซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่างในยามที่เธอทุกข์ใจอยู่เสมอ “หนูรักพ่อนะคะ ขอบคุณทั้งพ่อและแม่ที่ต้อนรับหนู...หนู...บ้าจริง” เธอปล่อยน้ำตาออกมาอีก มันยังคงเป็นน้ำใส ๆ ไม่ใช่เลือด ทำไมเราอ่อนแอถึงขนาดนี้นะ
คาเลบวางมือลงบนศีรษะลูกสาวอย่างแผ่วเบา เขาเลี้ยงดู สั่งสอนเธอด้วยความรักมาสิบห้าปี ไม่เคยคิดว่าเด็กสาวเป็นเพียงลูกบุญธรรม แต่เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขา และเขารักเธอมากเหลือเกิน
“พวกเรารักลูกนะ” เมื่อมือที่แสนอ่อนโยนสัมผัสเช็ดน้ำตาบนหน้า ไอ้น้ำตาบ้าที่กำลังปริ่ม ๆ กลับยิ่งทะลักออกมาไม่หยุด “หนูขอโทษ หนูพยายามจะไม่ร้องแล้ว”
“ไม่ต้องกลั้นน้ำตาหรอกลูกรัก การที่เราจะเป็นคนเข้มแข็งไม่ได้หมายความว่าลูกจะอ่อนไหวไม่ได้”
เวลาผ่านไปหนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที เป็นเสี้ยวเวลาที่เธอมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของครอบครัว จนพวกตำรวจปลุกสติให้เธอเผชิญกับความเป็นจริง
“ให้เวลาพวกเราอีกไม่ได้เหรอไง” เบียนน่าร้อง เธอพยายามคว้ามือลูกสาว คาเลบจำเป็นต้องจับภรรยาไว้ โจเซฟใช้แขนข้างหนึ่งดึงเธอออกจากพวกเขา อีกข้างก็ดึงออสโล่ออกมาจากครอบครัวเจสเซ่นส์ นายตำรวจลากเด็กสองคนออกไปเพื่อพาขึ้นรถตู้ อเล็กซิสรีบคว้าข้าวของตัวเองแล้วปล่อยให้เขาลากไปอย่างนั้น ออมแรงดี
“บางทีพวกเราอาจจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้กลับมาก็ได้นะ!” เธอตะโกน ใช่แล้ว เธอย้ำคำสัญญา อเล็กซิสรู้สึกว่าต้องพูดออกไปแบบนั้นเพื่อให้พวกเขามั่นใจในตัวเธอมากขึ้น เพื่อให้พวกเขาเศร้าน้อยลง
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้!” โจเซฟสั่ง เขายังคงสวมหน้ากากรูปปั้นอยู่เหมือนเดิม แต่เวลานี้เธอไม่ใช่เด็กดีที่เชื่อฟังใครง่าย ๆ อีกแล้ว เธอมองหาครอบครัวและเพื่อน ๆ ของตัวเอง ไม่สนใจคำสั่ง
“ขึ้นรถสักทีสิ” นายตำรวจสั่งเสียงอ่อนลง ทันใดนั้นเธอนึกได้ว่าต้องการพูดอะไรกับเขา เพราะเธอลืมที่จะพูดในวันนั้น
“เอ่อ ขอบคุณ...นะคะ ที่คุณช่วยฉันคราวก่อน”
อาคุสะถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ“อะไรอีก” อเล็กซ์ถาม“อเล็กซิสเป็นกลุ่มเสี่ยง” เขาตอบ “นายก็รู้ว่าพลังชีวิตของกลุ่มเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไป ยิ่งพวกเขาเป็นแฝด แถมยังเป็นแฝดที่เกิดจากแฝดพิเศษ สิ่งที่พวกเราเห็นอาจเป็นตัวพิสูจน์ อย่างน้อยตาเฒ่าทรอยก็ทำสำเร็จอยู่บ้าง ฉันคิดว่าพวกเขาพิเศษกว่ากลุ่มเสี่ยงอย่างพวกเราอีกนะ”ตอนนี้หัวของเขามึนตึบตามอาคุสะไม่ทัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสีหน้าออกจึงอธิบายต่อ “ร่างต้นแบบของลูก้าและเจมม่าเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มแรก ฝาแฝดที่มีพลังพิเศษ ร่างโคลนก็มีพลังพิเศษ ลูก ๆ ของพวกเขา...ไมเคิลก็มีพลังพิเศษ ตอนนี้เราก็เห็นแล้วว่าอเล็กซิสมี เป็นไปได้ไหมว่าถ้าพ่อแม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ลูกก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน แล้วความที่พวกเขาเป็นแฝด จึงมีพลังเชื่อมเข้าหากัน เกื้อหนุนกัน”อาคุสะวางมือบนไหล่อเล็กซ์แล้วตบเบา ๆ “มันเป็นสัญญาณที่ดี เธอไม่ตายง่าย ๆ หรอก”อเล็กซ์ยืนนิ่งแต่ดวงตากวาดมองรอบ ๆ อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่บาดเจ็บ ยังมีคนเจ็บ บ้างมีแผลเล็กน้อย บ้างบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อนั้นจึงตบหน้า
ความเงียบเปรียบดั่งมีดคมเสียบแทงเข้าไปในหัวใจ หากเพียงคนที่บาดเจ็บเป็นเขาแทน เขายอมแลกทุกอย่าง อเล็กซ์ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อมองทุกคนตายไปต่อหน้าต่อตา คนเหล่านี้ช่วยชีวิตเขาได้สำเร็จทุกครั้ง ไม่ว่าจะแม่ เบน และอเล็กซิส แต่เหตุใดเขาไม่เคยช่วยชีวิตใครได้เลย ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ช่วย“อเล็กซ์!” ไมเคิลกระชากแขน เขาหันไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม“ไม่!” เขาตวาดใส่หน้า หากไมเคิลจะแย่งไปก็ทำได้ แรงของอีกฝ่ายมีมากกว่าและอเล็กซ์ก็ไม่เหลือพลังโต้กลับ แต่เพราะมีอเล็กซิส ไมเคิลจึงทำได้เพียงอ้อนวอน“ปล่อย ฉันจะช่วยเธอ!”“ไม่!” เขาตะโกนใส่หน้าเด็กหนุ่ม “ทุกครั้งที่ฉันปล่อยมือ เธอก็ห่างฉันไปทุกที...” ก้อนสะอื้นจุกในคอ เขาไม่อาจโต้ตอบได้อีกกล้ามเนื้อบนหน้าไมเคิลกระตุก เขาโกรธ โกรธมาก แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ “นี่พี่สาวฉัน ฝาแฝดของฉัน ปล่อยตัวเธอ ฉันอาจช่วยเธอได้ เมื่อกี้...”“ก็ทำสิ!” เขาดึงแขนเด็กสาวกลับ จ้องดวงตาสีฟ้าที่คล้ายกับของอเล็กซิสหากแต่สีนั้นอ่อนกว่า “ช่วยชีว
ไมเคิลไม่มีหลุมพราง และอเล็กซ์กลัวว่าอเล็กซิสจะไป พวกเขามีสายใยบางอย่างที่น่ากลัว หลังจากผ่านด่านทดลอง จากคนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนสนิท ไมเคิลเกาะติดอเล็กซิสแจทั้งที่ก่อนหน้าไม่ยอมเข้าสังคม อเล็กซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงเกลียดชังหนุ่มผมเงินมากขนาดนั้น อเล็กซ์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ถ้าหากถึงเวลานั้นจริง ๆ วันที่เธอเลือกไมเคิล เขารู้ว่าตัวเองคงทำใจไม่ได้ สู้ตัดใจแต่ตอนนี้ยังดีเสียกว่าเขาปล่อยมือเธอมันกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจจนถึงตอนนี้ ทั้งที่แทบเป็นบ้าเมื่อเธอหายไป แต่กลับโกรธแทบตายที่ไมเคิลเจอเธอ ทำไมต้องหมอนี้ด้วย(วะ) ไอ้หัวเงินดูแลเธอตลอด อเล็กซ์ใช้เวลาอันมีค่าไปกับการปฏิเสธความรู้สึกตนเอง ใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์เพื่อโกรธและเกลียด เพื่อตอบสนองความกลัวและขลาดเขลาด้วยการเดินออกจากแสงสว่างนั้น จนเมื่อไมเคิลบอกว่าเธอกำลังจะตาย มันไม่ต่างอะไรจากวันที่อเล็กซิสบอกว่าเบนไม่กลับมา และวันที่เบนเดินมาบอกว่าแม่ไปแล้ว ความกลัวพัฒนาจนความรู้สึกมากมายงอกเงย โมโห หึงหวง โกรธ เกลียด สุดท้ายอารมณ์ทั้งหมดก็มาลงที่ตัวเอง เขาเกลียดตัวเองที่สุดยามเห็นอเล็กซิสทรมานไม่ว่
สองครั้งที่อเล็กซ์เผชิญหน้ากับความตาย เหมือนหลับไปตื่นหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นคนที่เขารักก็จากไป ครั้งแรกคือแม่ และครั้งที่สองคือเบน เคยคิดว่าตัวเองชินชากับความตาย แต่ไม่เลย เขาไม่พร้อมเจอครั้งที่สามอเล็กซานเดอร์ โวลคอฟอาจถูกกำหนดให้อยู่เพียงลำพังและตายโดยลำพัง แต่สุดท้ายเขาก็ยังหายใจอยู่ช่วงแรกที่เขาพบเธอ เคยคิดว่ามันอาจเป็นแค่อารมณ์อ่อนไหว เขายังยี่สิบต้น ๆ และเธอก็อ่อนกว่าไม่กี่ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามที่เหมือนเดินออกมาจากนิตยสาร นิสัยใจคอที่ทำให้คนหลงรักได้ไม่ยาก มันก็แค่นั้น แต่นานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าเธอเหมือนแสงสว่างดวงน้อยที่มักอยู่ในสายตาเสมอ วันที่เขารู้ว่าเบนจะไม่มีวันกลับมา วันที่มืดมนที่สุดจนอเล็กซ์อยากหายไปจากโลกนี้ อเล็กซิสกลับอยู่เป็นแสงอันอบอุ่นปลอบโยนจนการมีชีวิตดูมีความหมายมากขึ้นก็ไม่ยากเท่าไรนักกับการมีชีวิตในโลกที่เขาไม่รู้จักมันเริ่มต้นมาจากวันนั้น...ในท้องฟ้าจำลอง แม้มองเห็นเพียงแผ่นหลังก็ยังรู้สึกถึงดวงจิตที่แตกสลายย่อยยับอยู่ภายใน ชั่ววูบหนึ่งเขาเห็นเงาของแม่ซ้อนทับ ดวงตาคู่งามแสนเศร้าและปลงตกในคราวเดียวกัน ประหนึ่งร่างของเ
บราวน์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า วาร์กเนอร์เป็นหัวหน้าทีมคนก่อน“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แต่นัยน์ตาจับจ้องที่ดวงหน้าผู้ถาม สีหน้าของเดวิสดูซีดลงเล็กน้อย นัยน์ตาหม่นแสงลงคล้ายกับไม่สบายใจ เขาไม่แน่ใจนักว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไปถึงขั้นไหน แต่คงมากพอที่จะให้วาร์กเนอร์พยายามหาข้อมูลไปประเคนชายหนุ่มคนนี้ได้งี่เง่า โดยเฉพาะวาร์กเนอร์ที่ดันผันตัวจากไฟเป็นหิ่งห้อย“พวกเราตกใจนิดหน่อยว่าอาจมีปัญหาอะไรหรือไม่...” ดูเหมือนเขาพยายามจะหาเหตุผลเพื่อไม่ให้ตัวเองดูผิดปกตินัก นายน้อยโวลคอฟคลี่ยิ้มน้อย ๆ “...หรือมีข้อตกลงที่ฝ่ายคุณไม่พอใจเป็นต้น”“ไม่หรอกครับ” บราวน์ตอบทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่คุณวาร์กเนอร์ถูกย้ายไปประจำตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกว่า ทีแรกผมกังวลที่ต้องมาประสานงานต่อ แต่อย่างที่เห็น ทุกอย่างเรียบร้อยดี อีกอย่างการโยกย้ายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจเบื้องบน มัน...ค่อนข้างจะเป็นเรื่องภายใน ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ...” เขาวางมือลงบนโต๊ะ “...งานตรงนี้หรอกครับ”ในห้องเงียบไปสักพัก เค
ปัญหาไม่ใช่เนื้อหางานหรือรูปแบบของงานแต่อย่างใด แต่มันคือเหตุใดต้องเป็นเขาระแคะระคาย? ก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่างที่บราวน์สรุปไปก่อนหน้า เมื่อไม่ลงมือก็แปลว่าขาดหลักฐาน เมื่อไม่จัดการก็แปลว่ายังต้องการอยู่ดังนั้นหากบราวน์จะรู้สึกเสียวสันหลังนิดหน่อยก็ไม่แปลกนัก การประสานงานกับคนภายนอก ทั้งยังต้องระมัดระวังข้อมูลไม่ให้รั่วไหล ยิ่งบราวน์ตงิดใจว่าถูกจับตามอง หากแม้เขาระวังตัวเพียงใด แต่คนใต้อำนาจเกิดสะเพร่าขึ้นมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรเสียเขาก็ต้องโดน...ก็นะ ถ้านี่ไม่ใช่กับดักขอเถอะ อย่างน้อยให้ส่งของก่อนสักพัก เคย์ซี่เข้ามาเสิร์ฟกาแฟ เมื่อเธอหันหลัง บราวน์อดไม่ได้เหลือบมองบั้นท้ายกลมกลึง กระโปรงของเธอยาวพอดีเข่า แต่เพราะมันรัดรูปจนเห็นเป็นทรงสวย...ผลของการสควอทสินะ เขาสังเกตเรียวขาที่มีเส้นกล้ามเนื้อบ่งบอกว่าออกกำลังกายอย่านอกเรื่อง เขาส่ายหัว อย่างไรก็เป็นผู้ชาย มองนิดมองหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าทำให้สมาธิเสียก็เท่านั้น เขายักไหล่ให้ตัวเองแล้วมองข่าวบนจอโทรทัศน์“...กองทัพส่งกำลังเสริมเข้าต้านฝ่ายก่อกา