อากาศวันนี้สดใส ปกติแล้วท้องฟ้าในหน้าร้อนมักเป็นแบบนี้เสมอ ปลอดโปร่งปราศจากเมฆสีดำ มีเพียงปุยเมฆสีขาวช่วยแต่งแต้มลวดลายบนพื้นนภาสีฟ้า เธอรู้สึกราวกับว่าไม่ได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้มาเป็นแรมปี เหมือนวันเวลาที่ผ่านมา เธอเอาแต่นั่งจ้องเพดานโล่ง ๆ อยู่ในห้องขัง ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน แสงอาทิตย์ด้านนอกเจิดจ้า โชคดีที่มีลมเย็นสบายพัดผ่าน แสงสีทองจึงทำได้เพียงส่งไออุ่นมากกว่าทำให้บรรยากาศร้อนอบอ้าว เพราะลมได้บรรเทาความร้อนไปแล้ว
“Head homeward, little bird,
Fly up high, Thou art free,
Misery is no more,
Time means not to thee”
“ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงคนร้องเพลง มีคณะประสานเสียงของโรงเรียนมาด้วยเหรอ”
“เปล่า ครอบครัวโรมูลเลอร์ขอให้คณะประสานเสียงจากในโบสถ์มาร้องเพลงที่นี่ ร้องให้กับเด็กที่ตาย พวกเขาคิดว่า วิธีนี้จะช่วยนำพาจิตวิญญาณของเธอไปยังที่ที่ควรไป”
“ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลยแฮะ”
ไบรซ์ยักไหล่ขึ้น “จะให้พวกเขาทำอะไรเพื่อคนตายล่ะ พวกเราไม่รู้วิธีสื่อสารกับวิญญาณสักหน่อย ถ้ามีจริงอะนะ อย่างน้อยก็คงช่วยให้พ่อแม่ของเด็กที่ตายสบายใจขึ้น”
“ซอนย่า”
“หือ”
“ชื่อของเด็กคนนั้น” อเล็กซิสบอก
“อ้อ”
เพราะอย่างนี้นี่เอง ทุกคนถึงสวมชุดดำกันหมด เธอมองออกไปข้างนอก เห็นคนคุ้นเคยมากมายรออยู่ ทั้งครอบครัวของเธอและครอบครัวของเพื่อนร่วมชะตากรรม พวกเขากำลังรออยู่ รอส่งคนที่ตัวเองรักเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ว่าคือที่ไหน อย่างน้อยยังมีเพลงส่ง เพราะการเดินทางครั้งนี้คงไม่ต่างไปจากการเดินทางของซอนย่าเท่าไรนัก
“งานศพมีเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้...เธอยิ้มอะไรของเธอ”
อเล็กซิสสั่นหัวไหว ๆ “เปล่าซะหน่อย”
ไบรซ์โยนข้าวของของน้องสาวลงบนโต๊ะ ไม่สนว่าของข้างในจะพังหรือไม่ พออารมณ์ขึ้นก็มักมีปฏิกิริยารุนแรง “คิดว่าพวกเขาร้องเพลงให้เธอเหรอไง นี่มันเพลงสำหรับคนตายแล้วต่างหาก เธอไม่ได้จะไปตายสักหน่อย น้องสาวของพี่ไม่ใช่คนอ่อนแอคิดอะไรแบบนั้น”
พี่จะรู้ไหมว่าแค่ขยับก็ปวดจะแย่แล้ว ฉันไม่ได้แข็งแกร่งสักหน่อย อ่อนแอจะตาย “ต่างกันตรงไหนล่ะ”
“อย่าพูดแบบนี้นะ”
พอเห็นน้ำใส ๆ คลอเบ้าตาพี่สาว อเล็กซิสเลยรู้สึกผิด
“ขอโทษ” อเล็กซิสผละจากขอบหน้าต่าง “ขอโทษ พี่หายโกรธได้ไหม”
ไบรซ์ถอนหายใจ โทสะเมื่อครู่ดับลงแทบจะในทันที เธอคงไม่ได้อยากจะมีอารมณ์ทะเลาะกับน้องหรอก จึงเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการหยิบอัลบั้มรูปให้ดู “นี่ พี่ทำมาให้ เลือกแต่รูปที่เธอดูดีทั้งนั้นเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้น...ต้องมีมากกว่าอัลบั้มเดียวแล้วล่ะ”
พี่สาวจึงยิ้มออกมาได้ “แล้วพี่ก็ใส่เสื้อแจ็กเกตตัวโปรดของเธอทุกตัวมาให้หมดแล้ว ทั้งหมดอยู่ในนี้”
อเล็กซิสสำรวจข้าวของของตัวเอง ไบรซ์แพ็กกระเป๋ามาให้ครบหมดทุกอย่าง มีทั้งเครื่องเล่นซีดี แผ่นซีดีวงโปรด และหนังสือบางเล่ม “พี่รอบคอบเสมอเลยน้า” เด็กสาวชม เธอหยิบเจ้าเครื่องเล่นซีดีให้ดู ไบรซ์ยิ้มภูมิใจแต่ขอบตากลับแดงก่ำ เธอจ้องมาที่น้องสาวอยู่ตลอด
“ตอนนี้พวกเธออยู่ไหนคะ”
“ใครล่ะ สาวน้อย พูดเร็ว ๆ สิ” เฮลก้าเร่งราวกับกลัวคนจับได้ว่าคุยกับผู้ต้องหา
“ครูโดบี้ส์กับน้องสาวของเธอค่ะ”
“สองคนนั้นถูกตัดสินประหารชีวิต ตอนนี้ถูกนำตัวไปเมืองหลวงเพื่อเตรียมขั้นตอนต่อไป”
อเล็กซิสสลัดบทสนทนาเก่าออกไป เธอยื่นม้วนกระดาษให้ไบรซ์ ก่อนหน้านี้ได้ขอปากกาและดินสอมาจากเฮลก้า หลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในสถานีตำรวจ ตำรวจสาวจึงปฏิบัติกับเธอด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น อเล็กซิสจึงถือโอกาสวาดรูปมากมายฆ่าเวลาเพื่อมอบให้กับ
เจ้าชาร์ลี และแม้มันจะต้องแลกมากับอาการเจ็บแขนเวลาขยับก็ตาม“รูปวาดช้างและก็ตัวอื่น ๆ เจ้าลิงบ่นว่าอยากวาดเป็น ให้เขาเวลาถามหาก็แล้วกัน จะได้นึกถึงฉัน”
อเล็กซิสยังหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางของตัวเองออกไปจากกระเป๋าเดินทางด้วย เธอยื่นของสะสมที่เคยมองว่าล้ำค่าให้กับพี่สาว “ฉันไม่ต้องใช้ของพวกนี้แล้วนะ”
“นี่มันสมบัติสุดหวงของเธอเลยนะ”
อเล็กซิสยิ้มบาง ๆ “ไม่แล้ว พี่เอาไปใช้เถอะ ดูแลตัวเองให้ดีด้วยล่ะ พี่รู้ตัวไหมว่าสวยจะตาย แต่งตัวซะบ้าง”
“ก็ในเมื่อพี่สวยแล้ว เธอจะให้พี่แต่งหน้าอีกทำไมล่ะ” ไบรซ์เลิกคิ้ว
“ใช่ แต่พี่ก็ยังต้องการตัวช่วยอีกนิด จะได้แจ้งเกิดกับเขาบ้าง”
ไบรซ์ไม่ตอบ อเล็กซิสยืนนับขวดน้ำหอมที่พี่สาวยังอุตส่าห์ใส่มาให้ด้วย เธอเลือกแต่กลิ่นที่ชอบและขาดไม่ได้ ส่วนที่เหลือส่งคืนกลับ เด็กสาวเพิ่งรู้ว่าตัวเองใช้เงินฟุ่มเฟือยพอสมควรเลยทีเดียว เธอยังคงรักข้าวของพวกนี้มาก และยังอยากเห็นตัวเองมีโอกาสเดินบนแค็ตวอล์กดัง ๆ สักแห่ง ฝันเฟื่องเป็นบ้า แค่จะได้กลับไปใส่ชุดสวย ๆ เดินเที่ยวกับเอโลดี้ก็ไม่มีวันนั้นแล้ว
รถตู้ตำรวจจอดรออยู่ด้านนอก รวมทั้งครอบครัวของเธอที่ยืนรออยู่ด้วย เพราะวันนี้เป็นวันที่เธอต้องไปจากที่นี่ ทางการเพิ่งประกาศวันเดินทางเมื่อวานนี่เอง แม่ถึงกับเป็นลมสองรอบ ครั้งแรกตอนที่แม่เห็นอเล็กซิสในสภาพบอบช้ำทั้งตัว ส่วนครั้งที่สอง ก็เมื่อพวกตำรวจประกาศวันเดินทางนั่นแหละ
น้ำตาของไบรซ์ไหลออกมาเป็นสายอาบโหนกแก้ม ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินไป มันเป็นสัปดาห์ที่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวเดวิส ครอบครัวมิลเลอร์ ครอบครัวเจสเซ่นส์ และครอบครัวคาร์เตอร์ พวกเขากำลังจะสูญเสียสมาชิกไปครอบครัวละหนึ่งคน อเล็กซิสไม่ได้ร้องไห้ เธอคิดว่าเธอร้องมามากพอแล้ว
อเล็กซิสหยิบเสื้อแจ็คเกตมาสวมทับ “รู้น่าว่าฤดูร้อน แต่พี่อย่าแซวก็แล้วกัน ฉันต้องใส่ทับไว้” ไบรซ์ไม่ได้ว่าหรือแซวอะไร เพราะน้องสาวจำเป็นต้องใส่เสื้อแขนยาวปกปิดรอยช้ำบนแขน รอยพวกนี้ยังไม่หายดี เด็กสาวไม่ชอบเห็นรอยน่าเกลียดบนตัว
“พวกผู้หญิงใช้เวลานานเสมอเลยนะ” เสียงของเจสซี่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง เขาเพิ่งเข้ามาดูว่าทำไมสองพี่น้องถึงเช็กของนานเหลือเกิน “เพื่อนของเธออยู่กับครอบครัวกันหมดแล้ว แต่พวกเธอกลับมาแอบคุยกับสองคน มันใช่เหรอ ไม่แฟร์สำหรับคนอื่นเลย”
เธอเห็นเขาแอบกำหมัดแน่น พยายามทำตัวเข้มแข็ง ทำตัวเป็นพี่ชายขี้บ่น แต่พวกพี่น้องเดวิสล้วนมีความคล้ายกันอย่างหนึ่ง นั่นคือแสดงละครไม่เก่งเอาเสียเลย สีหน้าของเจสซี่บ่งบอกว่าเจ็บปวด อเล็กซิสอ่านออกได้อย่างชัดเจน เจสซี่สู้อุตส่าห์ร่ำเรียนกฎหมายด้วยจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือคน ความรู้และทักษะที่จะนำมาช่วยเหลือเหยื่อที่ไม่ได้รับความยุติธรรม น่าตลกที่เขากลับช่วยน้องสาวตัวเองไม่ได้ เจสซี่พิจารณารอยช้ำตรงลำคอของน้อง อเล็กซิสยังคงยืนกรานว่าเธอสบายดี
“อย่ามองแต่ภายนอก ฉันสบายดีน่า”
“อ้อเหรอ สภาพเหมือนตุ๊กตาถูกรถบรรทุกทับ”
“บ้าน่า ก็แค่รอยช้ำนิดหน่อย”
“บาดแผลมันอยู่ในดวงตาเธอต่างหาก ยัยน้องเล็ก” เขาวางมือลงบนศีรษะน้องสาว “จำได้ไหม ที่พวกเราเคยคุยกันเรื่องทุนการศึกษา แล้วพี่พูดถึงการรู้เท่าทันระบบ”
“จำได้แม่นเลย”
“เธอต้องรู้เท่าทันคนอื่นเข้าไว้นะ พี่ไม่อยู่กับเธออีกแล้ว ปกป้องเธอไม่ได้ เธอต้องดูแลตัวเองให้มาก รู้จักปกป้องตัวเองให้ดี สัญญากับพี่ก่อนว่าเธอจะไม่เป็นอะไร สัญญากับพี่เธอจะไม่เอาตัวเองไปตกอยู่สถานการณ์แบบนั้นอีกแล้ว เธอห้ามไว้ใจใครง่าย ๆ อย่าคาดหวังว่าจะมีคนมาช่วยเธอ สัญญากับพี่ ยัยตัวเล็ก จนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง” เจสซี่เว้นไปพักหนึ่งแล้วสบตากับเธอ “ระหว่างนี้ พี่จะทำทุกอย่างให้เธอกลับมาให้ได้”
อเล็กซิสมองพี่ชายสลับกับพี่สาว จากนั้นพยักหน้า “อื้อ พ่อสอนไม่ให้พวกเราพูดโกหกนี่นา ไม่ให้พวกเราสัญญาพร่ำเพรื่อทั้งที่ทำไม่ได้ แต่ฉันขอสัญญากับพี่ เพราะฉันไม่อยากเจออะไรแบบนั้นอีกแล้ว และก็อยากจะกลับมาเจอทุกคนด้วย”
“เยี่ยม นี่สิ น้องของพี่ต้องแบบนี้”
“ของทุกอย่างครบแล้วล่ะ พวกเราออกไปข้างนอกกันได้แล้ว” ไบรซ์เตือนพลางชำเลืองมองเวลา
เจสซี่กอดเธอแน่น ซ่อนใบหน้าที่กำลังสะอึกสะอื้นไว้ในอ้อมกอด “ไม่เอาน่า ไม่ร้องนะ รู้ไหมว่าฉันต้องกลั้นน้ำตามากขนาดไหน” อเล็กซิสบอก ก้อนน้ำตาจุกอยู่ในคอ เธอคิดว่ามันหมดไปแล้วเสียอีก บางที ถ้าหากเธอร้องไห้อีกรอบ สงสัยครั้งนี้น้ำตาคงออกมาเป็นเลือด
อ้อมกอดของเจสซี่อบอุ่นและพร้อมที่จะปกป้องน้องของเขาทุกคน เขาก็เหมือนกับไบรซ์ คล้ายกับคุณพ่อคนที่สอง แต่เป็นคุณพ่อที่หัวร้อนและเป็นพี่ชายที่แสนดีมาก “พวกเราต้องการเธอนะ ครอบครัวพวกเราต้องมีเธอ ยัยน้องเล็กของพี่” แล้วเขาก็ปล่อยตัวเธอ “บ้าชิบ ตาเป็นอะไรวะ ถ้าพวกเธอบอกคนอื่นว่าพี่ร้องไห้ พี่จะฆ่าพวกเธอทิ้งทั้งคู่”
อเล็กซิสเช็ดน้ำตาให้พี่ชาย พวกเขาหัวเราะโดยไม่มีสาเหตุ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องควบคุมไม่ให้เขื่อนน้ำในดวงตาพังทลาย และเธอก็ไม่อยากเห็นใคร โดยเฉพาะแม่ ร้องไห้ออกมาอีก ยัยน้องเล็ก เจสซี่ชอบเรียกเธอแบบนี้ก่อนที่ชาร์ลีจะเข้ามาเป็นน้องเล็กสุดในบ้าน พี่น้องทั้งสามโอบกอดกันเป็นครั้งสุดท้าย เธอไม่เคยเบื่อที่จะกอดพวกเขาเลยสักครั้ง
อเล็กซิสหอมแก้มพี่ทั้งสอง พวกเขาเดินออกมาในที่สุด
บราวน์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า วาร์กเนอร์เป็นหัวหน้าทีมคนก่อน“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แต่นัยน์ตาจับจ้องที่ดวงหน้าผู้ถาม สีหน้าของเดวิสดูซีดลงเล็กน้อย นัยน์ตาหม่นแสงลงคล้ายกับไม่สบายใจ เขาไม่แน่ใจนักว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไปถึงขั้นไหน แต่คงมากพอที่จะให้วาร์กเนอร์พยายามหาข้อมูลไปประเคนชายหนุ่มคนนี้ได้งี่เง่า โดยเฉพาะวาร์กเนอร์ที่ดันผันตัวจากไฟเป็นหิ่งห้อย“พวกเราตกใจนิดหน่อยว่าอาจมีปัญหาอะไรหรือไม่...” ดูเหมือนเขาพยายามจะหาเหตุผลเพื่อไม่ให้ตัวเองดูผิดปกตินัก นายน้อยโวลคอฟคลี่ยิ้มน้อย ๆ “...หรือมีข้อตกลงที่ฝ่ายคุณไม่พอใจเป็นต้น”“ไม่หรอกครับ” บราวน์ตอบทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่คุณวาร์กเนอร์ถูกย้ายไปประจำตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกว่า ทีแรกผมกังวลที่ต้องมาประสานงานต่อ แต่อย่างที่เห็น ทุกอย่างเรียบร้อยดี อีกอย่างการโยกย้ายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจเบื้องบน มัน...ค่อนข้างจะเป็นเรื่องภายใน ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ...” เขาวางมือลงบนโต๊ะ “...งานตรงนี้หรอกครับ”ในห้องเงียบไปสักพัก เค
ปัญหาไม่ใช่เนื้อหางานหรือรูปแบบของงานแต่อย่างใด แต่มันคือเหตุใดต้องเป็นเขาระแคะระคาย? ก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่างที่บราวน์สรุปไปก่อนหน้า เมื่อไม่ลงมือก็แปลว่าขาดหลักฐาน เมื่อไม่จัดการก็แปลว่ายังต้องการอยู่ดังนั้นหากบราวน์จะรู้สึกเสียวสันหลังนิดหน่อยก็ไม่แปลกนัก การประสานงานกับคนภายนอก ทั้งยังต้องระมัดระวังข้อมูลไม่ให้รั่วไหล ยิ่งบราวน์ตงิดใจว่าถูกจับตามอง หากแม้เขาระวังตัวเพียงใด แต่คนใต้อำนาจเกิดสะเพร่าขึ้นมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรเสียเขาก็ต้องโดน...ก็นะ ถ้านี่ไม่ใช่กับดักขอเถอะ อย่างน้อยให้ส่งของก่อนสักพัก เคย์ซี่เข้ามาเสิร์ฟกาแฟ เมื่อเธอหันหลัง บราวน์อดไม่ได้เหลือบมองบั้นท้ายกลมกลึง กระโปรงของเธอยาวพอดีเข่า แต่เพราะมันรัดรูปจนเห็นเป็นทรงสวย...ผลของการสควอทสินะ เขาสังเกตเรียวขาที่มีเส้นกล้ามเนื้อบ่งบอกว่าออกกำลังกายอย่านอกเรื่อง เขาส่ายหัว อย่างไรก็เป็นผู้ชาย มองนิดมองหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าทำให้สมาธิเสียก็เท่านั้น เขายักไหล่ให้ตัวเองแล้วมองข่าวบนจอโทรทัศน์“...กองทัพส่งกำลังเสริมเข้าต้านฝ่ายก่อกา
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ผสานไปกับเสียงแตรรถ เครื่องยนต์ และประกาศต่าง ๆ ไม่ว่าจะโฆษณาเชิญชวนซื้ออาหารกล่องยามเช้า ไปจนถึงเครื่องดื่มบำรุงกำลัง รณรงค์ให้สวดมนต์เพื่อขอให้พระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานอภัยแก่บาปของมนุษย์ บางคนหยุดแวะสนทนากับคนรู้จัก บ้างเดินฝ่าฝูงชนเพื่อรีบเข้าไปแตะบัตรให้ทัน ส่วนเขาเพียงแค่หยุดมองหนังสือพิมพ์ที่แขวนเรียงกันอยู่บนเพิงขาย ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาทักคนแปลกหน้าเพียงเพื่อถามเรื่องราวที่ปรากฏอยู่บนข่าวหน้าหนึ่ง“คุณว่าไง” ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปลายกระตุกแขนเสื้อโดยไม่คำนึงถึงมารยาทนอกจากอยากสนทนาล้วน ๆ หากไม่ใช่เพราะเขาอยากสัมผัสชีวิตมนุษย์เงินเดือนครั้งแรก อยากเห็นหน้าค่าตาผู้คนในสำนักงานจึงยอมเสียเวลาให้คนขับรถจอดตรงหัวมุมตึก ก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใส่สูท ไม่ใช่เครื่องแบบผ้าหนาและอาวุธครบมือ“ว่าไง จริงไหม คุณว่าเด็กพวกนั้นจะกล้าเผาจริงหรือ”บราวน์เลิกคิ้วพลางชายหางตามองคนดังกล่าว แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจหากแต่ยัดหนังสือพิมพ์ใส่มือเขา “เงียบทำไมเล่า คุณทำงานในนั้นก็ต้องรู้บ้างสิ” สายตาของเขาประเมินมองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ชายคนนี้จงใจเข้ามาทักเพราะรู้
“สำหรับคำถามสุดท้ายขอติดไว้ก่อน เรื่องมันยาว” เธอตอบแล้วหันกลับไปเช็กจอมอนิเตอร์อีกครั้ง สักพักมีสัญญาณกะพริบขึ้นมา เธอรีบกดปุ่มหนึ่งบนแผงวงจรแล้วกระชากไมโครโฟนมาจ่อปาก “ฮัลโหล”พวกเขาได้ยินเสียงซ่าอยู่ราว ๆ สามสิบวินาที ต่อจากนั้นเป็นคำด่าหยาบคายล้วน ๆ หญิงสาวผมดำสั่นหัวเล็กน้อยแล้วหันมามองเขา ก่อนจะยื่นไมโครโฟนให้ “บอกชื่อตัวเอง พูดกับพวกเขาที” มันไม่ใช่คำขอร้อง เพราะไมโครโฟนถูกยัดใส่มือจอห์นแล้ว“ฮัลโหล” เขาพูดใส่ไมค์มีเสียงด่ากลับมาอีกรอบ ประมาณว่า ไปตายซะ สารเลว นีโอนาซี และอีกมากมายที่ออกมาราวกับฟังเพลงแร็ป“เอิ่ม” เขากระแอม “ผมชื่อ จอห์น ลีลอยด์ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ และ...กับผม...”เสียงในสายหยุด เขาได้ยินเสียงผู้หญิงแทรกขึ้นมาว่า “พูดดี ๆ สิ เรมี!”“คุณคือจอห์น ลีลอยด์?” ผู้ถือสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงในพริบตา“ใช่” จอห์นตอบ“ใครวะ” เขาได้ยินเสียงแทรก ผู้หญิงคนเดิมด่าคนที่แทรกขึ้น
เขาส่ายหน้าอีกครั้ง จนปัญญาจะตอบ โรซ่ามองหาวัตถุแข็ง ๆ มาทุบกระจก แต่ก็ไม่มีแถวนั้น จอห์นจึงต้องลองใช้ความสามารถดังกล่าวอีกครั้ง กว่าจะปลุกทุกคนจนครบก็แทบหอบ แถมโรซ่ายังซักถามไม่หยุดว่าเขากลายเป็นกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่เมื่อไร แถมยังตะบึงตะบอนงอนที่เขาไม่ยอมบอกอยู่ราวสิบนาทีพวกเขามีกันทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน จอห์นเดินนำทุกคนออกไปจากห้อง ทั้งหมดทำท่าเหมือนเด็กน้อยเล่นซ่อนแอบ ต่างระมัดระวังสุดฤทธิ์ แต่เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็พบว่ามันเป็นตึกที่ถูกทิ้ง ยังไม่ถึงกับร้างเพราะระบบไฟฟ้าทำงานปกติ ห้องหับส่วนใหญ่นั้นปิดเงียบ ไม่มีใครอยู่เลย สถานที่ที่พวกเขาถูกจับมานอนนั้นมีลักษณะเหมือนตึกทดลอง มีส่วนสำนักงานที่ประกอบไปด้วยโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์จอบางเฉียบ ห้องประชุม ห้องทดลองที่ปราศจากสิ่งของทดลองใด ๆ ทั้งหมดจึงพยายามหาทางออก แต่เพราะไม่รู้เส้นทางก็กลายเป็นเดินสำรวจมากกว่าไม่มีใครรู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไร เวลาอะไร ผ่านไปร่วมสามชั่วโมง แต่ละคนเริ่มหมดแรง จนกระทั่งโรซ่าเจอบันไดขึ้นไปอีกชั้น ที่นั่นเอง พวกเขาเห็นว่ามีห้องหนึ่งมีแสงสว่างมันคล้ายกับห้องควบคุมในยานอวกาศ แบบที่เขาเคยแสดงเป
เสียงผู้คนมากมายดังอื้ออึงอยู่รอบตัว แต่หนังตาหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นได้ เสียงของใคร เสียงคนพวกไหน ถึงเวลาไปทำงานแล้วหรือยัง นาฬิกาไม่ปลุกสักที วันนี้เขาต้องทำอะไรนะ หรือว่าตอนนี้นอนอยู่ในบ้านหลังเก่า เมืองบลูเบลล์อันแสนสงบสุข เขานึก แต่ดูเหมือนสมองทำงานเชื่องช้าไม่ทันใจ หรือว่าวันนี้มีถ่ายแบบ หรือว่าเข้าฉาก ทำไมคนเยอะขนาดนี้ ใครเข้ามาในรถเทรลเลอร์ หรือว่าเขาแอบงีบหลับ ตื่นสิ ตื่นสักทีตื่น!แสงไฟสีขาวสลัวไม่ได้ทำให้แสบตาเท่าไรนัก แต่สติของเขานี่สิยังหน่วงแปลก ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกแน่นหน้าอกจนไอออกมารัว ๆ มือทั้งสองข้างยื่นออกไปแต่...ติดกระจก อะไรกัน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตัวเขานอนเหยียดยาวอยู่ในโลงแก้วนี่นา คิดแล้วก็มองไปรอบ ๆเขานอนอยู่ในโลงแก้วจริง! แต่จะว่าอย่างไรดี มันไม่ได้อับจนหายใจไม่ออก กลับโล่งจมูกดีด้วยซ้ำ กระจกโค้งมนพอให้คนข้างในพลิกตัวนอนได้ แต่ใช่เวลาพลิกตัวแล้วหลับต่อหรือเปล่า...แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาหันไปทางซ้ายจึงเห็นร่างหญิงสาวผมสีทองนอนหลับสนิทราวกับเจ้าหญิงนิทรา เธอสวมชุดสีแขนยางกางเกงขายาวสีขาวสะอาดเหมือนกับเขาเลย หันไปทางขวาก็เจอผู้ชายนอนอยู่