LOGINเขามองเธอแป๊บเดียวแล้วผลักเธอขึ้นรถ จากนั้นไปช่วยเฮลก้าจัดการกับเวด ทั้งสองช่วยกันลากเด็กหนุ่มขึ้นรถอย่างทุลักทุเล เป็นงานหินสำหรับพวกเขามาก เพราะเวดนั้นตัวโตกว่าคนทั้งคู่ และที่สำคัญ เขาขืนตัวสุดกำลัง “โอ๊ย ให้เวลามากกว่านี้หน่อยสิ ปล่อยสิวะ ไปไกล ๆ เลยแม่ง” แต่สุดท้ายเวดก็ถูกผลักเข้ามาจนได้ แถมยังล้มทับอเล็กซิสกับออสโล่ที่อยู่ข้างในด้วย
เบลินดาเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เธอเดินเข้ามาด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครลากเข้ามา ท่าทางสงบลงมากกว่าวันที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิด เธอเป็นคนเดียวที่บอกลาทุกคนด้วยท่วงท่าสงบนิ่งและสง่างามกว่าใครเพื่อน
ประตูรถค่อย ๆ ปิดลงและพวกเขายังคงพยายามมองหาครอบครัวตัวเอง เมื่อประตูถูกปิดสนิท พวกเขาได้ยินแต่เสียงเรียกเท่านั้น
“นี่...ฉันคิดว่าที่ผ่านมากำลังฝันอยู่เลยนะเนี่ย แบบหลับยาวเป็นอาทิตย์อะไรแบบนั้น”
เวดสารภาพ “คิดว่า...มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดสักอย่างแหง ๆ ...”“ฉันอยากให้ใครสักคนตบหน้าฉันแรง ๆ แฮะ ฉันมันคนขี้เซา แม่ต้องตบหลังทุกครั้งเลยเพื่อปลุกให้ตื่น” ออสโล่เสริม หัวเราะเสียงแห้ง
“มา ฉันช่วย” เวดง้างมือขึ้น
ออสโล่ผงะ “ไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”
อเล็กซิสไม่ได้พูดอะไร เธอจัดการข้าวของตัวเองเงียบๆ เครื่องยนต์ดังขึ้น ยานพาหนะเคลื่อนตัว พวกเขาถูกจองจำอยู่ในห้องโดยสาร เพราะหน้าต่างถูกปิดหมด ได้แต่ฟังเสียงเครื่องยนต์ทำงาน ทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปสถานที่ไหนสักแห่ง บางทีอาจจะไกลจากบ้านมาก
ไม่มีทางหันหลังกลับได้อีกแล้ว พวกเขาถูกบังคับให้เดินหน้าโดยปราศจากจุดมุ่งหมายในชีวิต
“อเล็กซ์ ข้างหลังเธอมีกระดาษอะไรเสียบอยู่ด้วยนะ ตรงกระเป๋ากางเกง” ออสโล่เตือน อเล็กซิสคว้ากระดาษโน้ตที่เสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างหลัง
ขอโทษนะ
ข้อความข้างในเขียนแบบนี้
เธอนึกถึงคนที่นำมันมาเสียบไว้ เดวี่คงเป็นคนนำกระดาษโน้ตของจูนมาให้เธอแน่ ๆ ในช่วงที่พวกเขากำลังกอดกัน เขาคงสอดมันไว้ตอนนั้น อเล็กซิสรู้ว่าเป็นลายมือของจูนแน่นอน เธอไม่ได้ยิ้มดีใจหรือโมโหที่เธอไม่ยอมโผล่หน้ามา อเล็กซิสแค่โล่งใจ เหมือนปัญหาในใจถูกคลี่คลายหนึ่งเรื่อง
ตกลง ฉันให้อภัยเธอแล้วล่ะ
อเล็กซิสมองไปรอบ ๆ เพื่อนแต่ละคนต่างตกอยู่ในความเงียบ บางทีอาจจะนึกถึงครอบครัวตัวเองกันอยู่ ทุกคนจมอยู่กับความคิดในหัว มีอยู่สองคนที่กำลังร้องไห้ แต่อเล็กซิสไม่ได้ร้อง น้ำตาเมื่อครู่แห้งเหือดไปแล้ว
อย่าเสียเวลากับน้ำตาเลย อเล็กซิสได้สัญญากับพวกเขาไว้แล้ว และเธอห้ามเสียสัจจะเป็นอันขาด
**********
คาเลบทำได้แต่มองลูกโบกมือ ยิ้มแย้มเพื่อให้ความมั่นใจกับพวกเขา ว่าเธอจะไม่เป็นอะไร เธอให้สัญญาว่าจะกลับมา
ทุกคืน เขาเฝ้าภาวนาขอให้พระเจ้าคุ้มครองลูก ๆ ทุกคน แต่พระเจ้ากับละเลยเด็กคนนี้
ประตูปิดสนิท คาเลบมองไม่เห็นลูกสาวอีกแล้ว เมื่อรถตู้แล่นออกไป เบียนน่ายืนไม่ไหว ความสูญเสียนั้นเกินกว่าจะแบกรับไหว ภรรยาของเขาเป็นลมล้มลง ช่วงหลายวันมานี้ เธอเป็นลมแบบนี้อยู่หลายรอบ
“เบียนน่าที่รัก” เขาประคองภรรยาที่ไม่ได้สติไว้ในอ้อมแขน เบียนน่าไม่ใช่คนเดียวที่ใจสลาย นางมิลเลอร์และนางเจสเซ่นต่างเป็นลมเหมือนกัน หญิงสาวทั้งสามทำตัวราวกับเป็นโดมิโน่ มีเพียงนางคาร์เตอร์ที่ยืนนิ่ง ๆ มองรถคันนั้นหายไป เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แม้ว่าก่อนหน้านั้นคาเลบไม่ประทับใจเธอเลยก็ตาม โดยเฉพาะวันที่พวกเขาเจอกันที่โรงพัก วันที่ลูกของแต่ละคนถูกคุมตัว ยามนี้เขากลับชื่นชมในความนิ่งราวกับราชินีของหญิงสาว
เอโลดี้และเดวี่ต่างมีน้ำใจช่วยเหลือแม่ของอเล็กซิส พวกเขาเป็นเด็กดีเหมือนกับลูกสาวของเขา เดวี่ส่งขวดน้ำมาให้หวังจะให้น้ำเย็น ๆ ช่วยปลุกสติของเบียนน่า คาเลบขอบคุณเด็กหนุ่ม และเมื่อเขารับขวดน้ำ คาเลบจึงพบว่ามือของเดวี่สั่น
“ผมเสียใจด้วยนะครับคุณหมอ...ผมเสียใจจริง ๆ ” เขาบอก
“พวกเราเสียใจด้วยนะคะ” เด็กคนอื่น ๆ แสดงความเสียใจให้พ่อแม่ของเพื่อนตัวเอง ทุกคนพูดราวกับพวกอเล็กซิสเพิ่งตายจากไป ก็คงคล้ายแบบนั้น เขาขอบคุณพวกเด็ก ๆ แม่หนูเอโลดี้ยังคงรี ๆ รอ ๆ เขาต้องย้ำว่าไม่เป็นไร พวกเขาจัดการกันเองได้
“พาแม่ไปที่รถทีสิลูก” คาเลบวานเจสซี่ ลูกชายพยักหน้า
“พวกเธอสองคนกลับบ้านเถอะ” เจสซี่บอกเอโลดี้กับเดวี่
“ไม่เป็นไร ให้ฉันช่วยนะ” เดวี่ยื่นมือมา
เจสซี่ปฏิเสธ เขาอุ้มเบียนน่าได้ตัวคนเดียว ลูกชายเดินนำไปที่รถ โดยมีไบรซ์ ชาร์ลี เอโลดี้ และเดวี่ตามหลังต้อย ๆ สิ่งรอบข้างเงียบลงถนัดตา เพราะทุกคนทยอยกันออกจากสถานที่ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจาใด พวกเขาต่างกลับบ้านหลังจากเสียสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อน ตลอดกาล
คาเลบยังคงยืนอยู่ที่เดิม ความว่างเปล่าเกาะกินในอกและใน สมอง เหมือนมีรูกว้างเปิดรับลมอยู่ข้างใน นี่สินะ ที่เขาว่ากันว่าหัวใจสลาย หรือว่าใจหายกันแน่ มันเป็นแบบนี้ใช่ไหม อาการพวกนี้
“บางทีพวกเราอาจจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้กลับมาก็ได้นะ!”
เขายิ้มให้กับความว่างเปล่า พ่อสอนไม่ให้ลูกสัญญาในสิ่งที่ทำไม่ได้แต่เขากลับไม่ตำหนิเธอ
“ลูกรัก อย่าทำให้พ่อผิดหวังก็แล้วกัน อย่าทำให้พวกเราผิดหวังเด็ดขาดรู้ไหม” เขาพูดกับลม หวังว่ามันจะส่งข้อความของเขาไปถึงลูกสาว ไม่กี่วินาทีถัดมา เมื่อคิดว่าอารมณ์ของตัวเองคงที่แล้ว คาเลบเดินกลับไปที่รถ
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







