เวลาตีสอง คาเลบและเบียนน่าไม่อาจข่มตานอนหลับได้สนิท เพราะลูกคนที่สามยังไม่กลับบ้าน พวกเขาพยายามโทรหาเอโลดี้อยู่หลายรอบ แต่โทรเท่าไรก็ไม่ติดสักที เพราะสายโทรศัพท์ที่บ้านเอโลดี้มีคนถือสายอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเพื่อนของลูกสาวก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน ทั้งสองเริ่มวิตกกังวลและกลัวไปต่าง ๆ นานา จินตนาการว่าอาจจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับอเล็กซิสก็เป็นไปได้ ทำไมโทรศัพท์ไม่ว่างเลยสักที เป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องที่บ้านมิลเลอร์แน่นอน เขาลองโทรเข้าบ้านมิลเลอร์เพื่อเช็กว่ายังมีงานปาร์ตี้จัดอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าติดสายเหมือนกับบ้านเอโลดี้ คาเลบจึงคิดอยากขับรถไปคฤหาสน์หลังนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่นอนกันอีกคะ” ไบรซ์เพิ่งเดินออกมาจากห้อง เธอคงกำลังอ่านหนังสืออยู่แน่นอน และคงได้ยินเสียงคนในห้องรับแขก
เจสซี่ก็เดินลงมาจากห้องตัวเองเหมือนกัน “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมยังไม่นอนกัน”
“น้องสาวของพวกเธอยังไม่กลับมาเลย” เบียนน่าบอก “พวกเราโทรหาเพื่อน ๆ อเล็กซิสไม่ได้เลย สายยุ่งอยู่ตลอดเวลา”
คาเลบที่กำลังง่วนอยู่กับการหาเบอร์มือถือของคุณมิลเลอร์บ่นออกมา “ไม่มี ผมไม่มีเบอร์เขา ไปบ้านเขาเลยดีกว่า ให้ตายเถอะ ผมน่าจะเตือนให้อเล็กซิสเอามือถือไปด้วย ขี้ลืมจริง ๆ”
“อาจจะแค่กลับดึกก็ได้มั้งคะ” ไบรซ์ว่า
“ตีสองแล้วนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเป็นแบบนั้น น้องก็ต้องโทรมาบอกพวกเราแล้วสิ!”
“ใช่ครับ ถ้าน้องไม่ดื่มจนเมา เวลาเมามีสติที่ไหน” เจสซี่เดา “เดี๋ยวผมโทรหาแมทให้ก็แล้วกัน น้องสาวของเขาก็คงอยู่ที่งานปาร์ตี้เหมือนกับอเล็กซ์”
แต่เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นก่อน คาเลบกระโดดเพียงก้าวเดียวก็ไปถึงโทรศัพท์แล้ว คนที่โทรมาคืออเล็กซิสนั่นเอง เขาโล่งใจ คาเลบส่งสัญญาณบอกภรรยาให้สบายใจได้
“ลูกอยู่ที่ไหน รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วง...อะไรนะ อยู่ที่สถานีตำรวจเหรอ ทำไมถึงอยู่ที่นั่น”
เหมือนมีสปริงติดอยู่ใต้ฝ่าเท้าคนทั้งคู่ เพียงก้าวเดียว เบียนน่าก็มายืนอยู่ข้างเขาเช่นกัน พอคาเลบวางสาย เขารู้สึกตัวชาไปชั่วขณะ และเมื่อขยับแข้งขาออกก็รีบวิ่งไปที่บันได ลืมเบียนน่าไปสนิท แต่ก็ยังไม่ไวเท่าเบียนน่าอยู่ดี เธอคว้าแขนเขาไว้ทัน “เกิดอะไรขึ้นกับลูกคะ ทำไมเธออยู่ที่นั่น คุณอย่าเดินหนีพวกเรานะ”
“โดนจับตรวจสารเสพติดหรือเปล่าคะ” ไบรซ์แสดงความเห็น ในเมื่อน้องสาวไปงานปาร์ตี้ ก็มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นแหละ
คาเลบปฏิเสธ “เปล่า โดนรัฐบัญญัติ 2966 เล่นงาน เด็กในงานทุกคนถูกจับหมดเลย”
“หา! ทั้งหมดเลยเหรอคะ” ไบรซ์ร้อง “เป็นไปไม่ได้หรอก”
“มันเป็นไปแล้วลูก เพราะอย่างนี้ไง สายแต่ละบ้านถึงไม่ว่าง หรือไม่ก็ไม่มีใครรับ”
คาเลบรับรู้ถึงสายตาของเบียนน่า แต่เขาไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเธอในยามที่หัวใจตัวเองตกไปอยู่ตาตุ่ม ไอ้พวกฝันร้ายบ้านั่น...
“ใครสักคนแจ้งตำรวจว่ามีกลุ่มต้องสงสัยตามรัฐบัญญัติอยู่ในงานปาร์ตี้ พวกตำรวจก็เลยมา อเล็กซิสเพิ่งได้จับโทรศัพท์เมื่อครู่ เพราะจำนวนโทรศัพท์ที่นู่นไม่พอสำหรับจำนวนเด็กที่ถูกคุมตัว” เขามองหน้าลูกชาย ถึงเวลาแล้วที่เจสซี่จะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองเรียนมา แม้โอกาสจะริบหรี่ก็ตามเถอะ “เจสซี่ ลูกไปโรงพักกับพ่อนะ ส่วนไบรซ์ ลูกจัดกระเป๋าให้น้องที พ่อว่าน้องอาจจะอยากเปลี่ยนเสื้อ”
“ทำไมล่ะคะ อเล็กซ์ต้องอยู่ที่นั่นทั้งคืนเลยเหรอ” ลูกสาวถาม ท่าทางตกใจมาก “หนูคิดว่าเราน่าจะเอาตัวเธอออกมาได้ภายในคืนนี้เสียอีก มันเป็นเรื่องตลกแน่ ๆ ค่ะพ่อ พวกเขาจะจับเด็กทุกคนแล้วตัดสินว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มต้องสงสัยทั้งหมดได้ยังไงกัน”
เจสซี่ส่ายหน้า “เธอไม่รู้เหรอไงว่ากฎหมายนี้เข้มงวดขนาดไหน พวกตำรวจต้องสอบสวนทุกคนที่อยู่ในงานปาร์ตี้ก่อน ซึ่งน้องเราก็ต้องถูกสอบสวนด้วย จนกว่าจะเสร็จขั้นตอนทุกอย่าง พี่คิดว่าคงใช้เวลาประมาณสองสามวัน”
“สองสามวันเชียวเหรอ” ไบรซ์ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
หรืออาจจะมากกว่านั้น คาเลบคิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป ความฝันที่คอยหลอกหลอนเขานั้นเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวราวกับมีคนมากดปุ่มรีเพลย์
เบียนน่ายังคงยืนนิ่ง เธอกำลังคิดในสิ่งที่สามีของเธอคิดอยู่เช่นกัน หญิงสาวนึกถึงความฝันประหลาดที่คาเลบชอบเล่าให้ฟังเสมอ แน่นอนว่าในเวลานี้ เธอกลัวมาก คาเลบประคองใบหน้าของเธอ “ทุกอย่างจะเรียบร้อย เชื่อเถอะ”
“คุณพยายามบอกกับตัวเองมากกว่า” ภรรยาของเขาพูด จากนั้นพยักหน้าช้า ๆ พยายามที่จะเชื่อคำพูดของสามี
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” เจสซี่มองทั้งสองคนอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกเจสซี่ ลูกพร้อมไปหรือยัง”
“พร้อมนานแล้วครับ”
**********
คาเลบและเจสซี่มาถึงสถานีตำรวจภายในสิบนาทีต่อมา พวกเขาเจอผู้ปกครองมากมายดาหน้ามายังสถานีหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากบุตรหลานแจ้งข่าวคราวดังกล่าว คาเลบจำเป็นต้องจอดรถไว้ริมถนนแทนที่จะจอดในที่จอดรถ เพราะเต็มหมดแล้ว พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งชายและหญิง จำต้องรับมือกับอารมณ์อันเกรี้ยวกราดและคำผรุสวาทมากมายของพวกผู้ปกครอง (ที่ถูกปลุกยามดึก) เหมือนกับพวกเขากำลังรับมือกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน คาเลบรีบเดินตรงไปยังโต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนที่คนอื่นจะแซง
“ผมมาหาอเล็กซิส เดวิสครับ”
เจ้าหน้าที่สาวกวาดตามองจอคอมพิวเตอร์สีขาวสกปรก จากนั้นผายมือไปทางโซฟา “รอเรียกก่อนนะคะ” เสียงของเธอห้วนแม้ใช้คำสุภาพ ปราศจากความอ่อนหวานนุ่มนวลเจือปน เจสซี่พาเขาไปนั่งตรงที่ว่าง ส่วนตัวเองสำรวจอยู่รอบ ๆ พ่อแม่บางคนจำกันได้ก็ทักทายแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก ความตึงเครียดกระจายไปทั่วไปห้อง ทุกคนต่างกังวลว่าบุตรหลานของตัวเองจะเป็นอย่างไร
“ทำไมพวกคุณจับลูกสาวฉันไว้ เธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เธอไม่สมควรถูกจับแบบนี้!”
ทุกคนพร้อมใจหันไปมองหญิงสาวที่กำลังส่งเสียงดัง เสื้อผ้าหลากสีสันบนตัวเธอดึงดูดสายตาคนได้ดีพอกับเสียงตะโกนเหมือนหวูดเรือ หญิงสาวแหกปากด่าทอเจ้าหน้าที่ก่อนที่เท้าของเธอจะเหยียบเข้ามาในสำนักงานเสียอีก
“เราต้องคุมตัวเด็กทุกคนที่อยู่ที่นั่นเพื่อทำการสอบสวนขั้นต่อไป คุณนายคะ รบกวนนั่งรอทางนั้นด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่หญิงชี้มือไปที่โซฟาด้วยท่าทางและสีหน้าแบบที่คาเลบเจอเมื่อครู่
แต่หญิงสาวไม่ขยับตาม “เธอออกจากงานก่อนที่พวกคุณจะไปถึงงานปาร์ตี้ของเด็กคนนั้น เธอกำลังกลับบ้าน คุณจะไปลากตัวเธอระหว่างทางแบบนั้นไม่ได้ ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณมีหมายจับอะไร แต่พวกคุณไม่มีสิทธิทำแบบนี้เพราะลูกของฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น!”
ไมเคิลไม่ตอบสนองคำขอร้องของเร็กกี้หากแต่พยายามรวบรวมสมาธิภายในเวลาอันจำกัด เขาเคยช่วยอเล็กซิสจากระเบิดมาแล้ว ทำไมครั้งนี้เขาจะช่วยตัวเองและเร็กกี้จากความร้อนไม่ได้ เด็กหนุ่มพยายามนึกถึงตอนที่ตัวเองสู้กับไซบอร์กตัวแรก ยามนั้นเขาอยู่กับอเล็กซิส และเมื่ออยู่กับแฝดสาว ดูเหมือนพลังและความคิดอ่านจะเพิ่มทวีคูณภาพของร่างของพ่อหายวับไปกลับเปลวเพลิงผุดขึ้นมาในหัว เขาจะปล่อยให้ตัวเองและแฝดอีกคนตายแบบพ่องั้นหรือ ชะตากรรมของแฝดทั้งสองจะเหมือนลูก้าใช่หรือไม่ใช้ประสบการณ์ในตอนนั้น ไมเคิล คิด! เขาต้องออกไปให้ได้ และต้องช่วยให้เร็กกี้มีชีวิตอยู่ต่อ ทักษะของชายคนนี้จำเป็นต่อการอพยพ พ่อแม่ ปาสคาล ได้โปรดเถอะ ชี้ทางสว่างที เขาไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เคยเชื่อว่าใครอยู่เบื้องบนหรือจะมีจริงหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเป็นเพียงฝุ่นในจักรวาล แต่ในเมื่อฝุ่นตัวนี้มีชีวิตจิตใจและมีคนที่ต้องปกป้อง เขาอยากจะเชื่อว่าสิ่งลี้ลับบางอย่างจะประทานทางออกมาให้“ฆ่าฉัน!” เร็กกี้ตะโกนอีกครั้ง แก้มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกดูเหมือนเลือดฝาดหน่อย ๆ แต่เมื่อผ่านไปสักพักผิวกลับแดง
เขาคิดว่าตัวเองจะโดนกระแทกตาย แต่หลังกับกระแทกกับโครงอ่อนหนุ่ม...ไม่ถึงกับนุ่มมากนักแต่ไม่ได้ทำให้หลังเขาหัก อย่างน้อยมันก็ยืดหยุ่น ไมเคิลคลำมือลงบนสิ่งที่ว่า มันเหมือนกิ่งไม้สานต่อกันเป็นรัง เขาหันไปรอบ ๆ เจอเร็กกี้ติดแหงกอยู่ด้านบน ถ้าไม่ใช่เพราะมีไอ้นี่กันไว้ ลำตัวเขาคงกระแทกกับกำแพงหรือไม่ก็เพดาน ทว่าดูจากสภาพแล้วก็ยังมีบางส่วนบาดเจ็บแรงดูดยังคงอยู่ พวกเขาได้แต่นอนนิ่ง ๆ เหมือนหนูติดอยู่ในกับดักกาวเพียงแต่กาวเป็นรากไม้ เนื้อแก้ม ใบหู เส้นผมเหมือนถูกดึงอยู่ตลอดเวลา จนผ่านไปสักพัก ประตูทางเข้าปิดลง ร่างคนทั้งสองตกลงบนพื้น“นายเป็นไง” เขาถาม ขณะยืนขึ้น เร็กกี้ครวญออกมาคำนึงแล้วตอบมา“แขนหัก” สีหน้าชายหนุ่มเหยเก แขนข้างขวาห้อยกับลำตัว ใบหน้าและริมฝีปากซีด “ขอบใจฉันทีหลังได้”ไมเคิลมองไปข้างหน้า ประตูปิดสนิท เขาเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ราง ๆ เมื่อแรงดูดหายไป ข้างนอกเริ่มสู้ใหม่ ไมเคิลวิ่งไปจับประตู มันปิดสนิท พยายามผลักและเขย่าเท่าไรก็ไม่เป็นผล“กับดักอะไรของมัน นี่ใช่ไหม กับดักที่มันว่า เขาถามชายหนุ่ม
ร่างของเขาหล่นกระแทกบนพื้น แขนสะเทือนไปถึงหัวไหล่ แม้จะอยู่ภายใต้ชุดเกราะแต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิง เรี่ยวแรงที่สะท้อนกลับมานั้นยิ่งกว่าหุ่นยนต์พิฆาตทั้งสองรุ่นเลยทีเดียว ขณะที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมาใหม่ก็ได้ยินเสียงปะทะ คนที่เหลือคงซ้ำต่อ แต่เมื่อเขาเงยหน้าได้ก็เห็นว่าชายหนุ่มทั้งหมดนอนกระจายร้องโอยกันหมดมิน่ามันถึงเฝ้าประตูแค่ตัวเดียว เวลานี้ไมเคิลนึกกลับคำในใจ หรือว่ากับดักนั้นง่ายกว่า หรือว่านี่คือกับดัก และแล้วเขาก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้าของเร็กกี้ ไซบอร์กจะถูกปล่อยออกมาตามรอบเวลา แล้วพวกข้างล่างเล่า มันพอดีกับที่เจ้าตัวนี้โผล่มาหรือไม่เสียงหัวเราะของเด็กสาวดังขึ้นอีกครั้ง มันเดินมองไปทีละร่างเหมือนกำลังเล่นสนุก ยังไม่คิดจะเอาชีวิตใครสักคนในตอนนี้ ดวงตาบนหน้านั้นเหลือบไปมา ลักษณะท่าทางมีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต ดูซุกซนแต่ก็เย็นชา เขาไม่แน่ใจว่าเธออายุเท่าไร แต่น่าจะเด็กกว่าไมเคิล ทางการทำอะไรกับเหล่าไซบอร์ก เขารู้ว่าคนพวกนี้เคยเป็นมนุษย์ปกติ แต่ดูตรงหน้าสิ...เธอยังเด็กแต่กลับสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วหรือ“เธอพูดได้ไหม” เขาเอ่ยถามออกไปมันหยุดชะงักแ
ยิ่งได้กอด เขายิ่งรู้สึกว่าอเล็กซิสผอมลงมากจนน่ากลัว ยังดีที่ไออุ่นของเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันอบอุ่นเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ร้อนบ่มผิว เหมือนมีสายลมเย็นสบายพัดผ่านและทำให้เขาหวนนึกถึงแม่ตลอด การกอดครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฟื้นฟูพลังงานในกาย แต่เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง มันอาจเป็นการจากกันครั้งสุดท้ายหรือเริ่มต้นชีวิตใหม่อเล็กซิสไม่ห้ามให้เขาขึ้นไป เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ เธอก็จะตามไปหาเขาด้วย นาฬิกาชีวิตของทุกคนเหลือไม่ถึงสองชั่วโมงและมันก็ลดลงเรื่อย ๆ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ทุกคนก็ตาย เหตุและผลง่าย ๆ แต่พวกเขาจะยึดความหวังไว้จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย“จำไว้นะ หากฉันขึ้นไปได้ นายก็ต้องอยู่” ดวงตาสีน้ำเงินดูดุดันขึ้นยามเธอจริงจัง“อื้อ” เขาพยักหน้า “เราจะไม่จากกันอีก”“ไม่” เธอส่ายหน้า มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นน้อย ๆ “รักษาตัวนะ...น้องชาย”เขายิ้ม เธอพยายามจะเป็นพี่จนเขายอม เด็กหนุ่มหันไปสบตากับชายหนุ่มผมสีดำ ดวงตาสีเข้มคล้ายเม็ดนิลสบกลับมาเหมือนต้องการจะให้ความมั่นใจผ่านเพียงสายตา ไมเค
มือและเท้าเย็นเยียบขึ้นมา แต่บลูพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ่งเห็นทุกคนในห้องนี้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกก็ยิ่งสะกดกลั้นไว้ข้างใน แม้ภายในใจไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อนระหว่างกลัวตายกับสูญเสีย“พวกนั้นว่าไง แล้วเจ้าคนที่คุมหุ่นยนต์ได้ล่ะ”เมลิสซ่าส่ายหน้า “เด็กคนนั้นใช้พลังไม่ได้ แต่พวกเขาดูจะจัดการกับของพวกนี้ได้บ้าง” เธอหลิ่วตาไปทางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่รายล้อม “โคดี้พยายามจะปลดล็อกระเบิด ส่วนเรมีกำลังรวบรวมข้อมูลกับดักในตึกนี้ทั้งหมด แล้วก็เร็กกี้...” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก “เขาเคยทำงานในศูนย์วิศกรรมการบินและอวกาศของฟิวเจอร์ริสติกเลยพอจับจุดอะไรได้บ้าง ที่ฉันทำได้คือหาอะไรก็ได้ที่จะพอให้พวกมีมันสมองคิดออก เพราะคนอย่างฉัน แค่เปิดเครื่องยังงง”“ยาน?” ริงโก้ไม่แน่ใจนัก “เราจะหนีด้วยยานเหรอ”“อื้อ” เมลิสซ่าพยักหน้า “มันเป็นวิธีเดียวนี่”“แล้วคนอื่นล่ะ” เดสซิเรถามขึ้น “ยังมีคนกระจายอยู่ทุกเขต ซ่อนตัว หาท
เทสซ่านิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนสมองจะทำงานใหม่ เธอกลืนน้ำลายแล้วถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น พวกนั้นจะระเบิดตึกนี้...หรือทอยซิตี้?”แม้เป็นคนพูดเอง แต่เมื่อมันออกจากปากไปแล้ว เลือดในกายกลับเย็นวาบลงจนขนลุกไปหมด อเล็กซิสหน้าซีดลง สีหน้าแสดงออกว่ากำลังใช้สมองวิเคราะห์หนัก“เราต้องบอกลู” เทสซ่าสรุป ถ้าจะนับคนที่มีมันสมองดีเลิศ นอกจากเรมี อเล็กซิส และโคดี้แล้ว เธอนึกถึงลู หญิงสาวค่อนข้างเจ้าแผนการและมีประสบการณ์มากกว่า น่าจะเข้าใจตัวเลขนี้ได้ดีกว่า“บางที...” เรมีรุดเข้าไปที่โต๊ะแสตนเนอร์ อเล็กซิสเบี่ยงตัวเดินออกมาให้เขาจัดการ หน้าจอปรากฏข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เทสซ่าสบตากับรีเวอร์ แววตาของเขาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ถึงกับยอมแพ้3:24:34เทสซ่าจ้องมันราวกับว่าเธอจะมีพลังจิตสะกดให้หยุดได้...พลังจิต “โคดี้!” นึกได้แล้วก็หุนหันวิ่งออกไปแม้จะหลับสนิทไปไม่กี่ชั่วโมง แต่โคดี้ใช้พลังหนักหน่วงมากระหว่างอยู่นอร์ธ เลือดกำเดาออกถึงสองครั้ง และเมื่อครู่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในห้อง มีเพียง