จากการต่อสู้เมื่อครู่ พวกเขาเดินมาถึงจุดเซฟโซนแรกโดยปราศจากศัตรูคอยสกัดแต่ต่างอยู่ในสภาพอิดโรย ได้ยินเสียงตูมตามแว่วมาบ้าง คงเป็นกลุ่มอื่นที่ยังเผชิญกับเจ้าพวกนี้อยู่ กลุ่มของเธอเหลือรอดทุกคน แต่เมื่อเห็นจำนวนคนลดลงจนบางตา เธออดใจหายไม่ได้ แม้แต่เด็กหนุ่มที่ชอบเถียงเธอ ตอนนี้กลุ่มของเขาเหลืออยู่แค่สองจากห้า และทั้งคู่เดินกอดกันแน่น ทั้งหมดเหลือกันไม่ถึงยี่สิบคน
จุดเซฟโซนจะมีจุดเด่นคือประตูกระจกอัตโนมัติเผยให้เห็นของกิน อาวุธ เครื่องมือปฐมพยาบาล และพื้นที่ว่างสำหรับนอนพัก มันกระตุ้นให้พวกเขาวิ่งกรูกันเข้าไป แต่ละคนหามุมของตัวเอง อเล็กซิสทำแผลรอยถากกระสุนของออสโล่เสร็จก็จัดการแผลฟกช้ำและรอยแผลเล็ก ๆ ของตัวเอง นอกจากนี้เธอมีอาการเคล็ดที่กล้ามเนื้อรุนแรงจึงต้องทายาคลายแทบทั้งแขน เธอภาวนาขอให้ยาในนี้ยังคงประสิทธิภาพเหมือนที่ทำให้แผลบนตัวหายไปครั้งก่อน อเล็กซิสไม่เคยได้แผลเยอะขนาดนี้มาก่อนหากไม่นับเหตุการณ์ที่เจอกับพวกบรูซและคาเมรอน
“เป็นไรมากไหม” เธอเงยหน้าถามเมื่อเทสซ่าเดินมาหยิบน้ำเปล่า เพื่อนสาวชูผ้าพันแผลที่แขนแล้วยิ้ม บอกว่าไม่เป็นอะไร
อยู่ ๆ ออสโล่ถ
อเล็กซิสทำหน้ามุ่ย “ในนี้ไม่น่าจะมีเครื่องดักจับควันแล้วมั้ง”เขาพ่นควันออกมา “อีกเหตุผลหนึ่งคือ พวกมันต้องการทดสอบขีดจำกัดของพวกฉันด้วย พลังน่ะ มันพัฒนากันได้นะ”ซาร่าห์ทำท่าเหมือนจะนอนซบตักเวดก็ลุกขึ้นมาฟังอย่างตั้งใจ เบนหลิ่วตาให้เธอ “เธอก็รู้นี่ สำหรับคนที่ค้นพบพลังมาตั้งแต่เด็กอย่างฉันจะเห็นความแตกต่างชัดมาก ถ้าเทียบกับสมัยก่อน ฉันเพียงแค่ขยับของได้นิดหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ก็อย่างที่พวกนายเห็น อเล็กซ์ก็เหมือนกัน ตอนแรกยังบังคับทิศทางคลื่นพลังตัวเองไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้เขาประยุกต์ใช้ได้หลายอย่างแล้ว ฉันไม่ได้ค้านเธอหรอกนะแบมบี้ เห็นด้วยกับที่เธอว่ามาทั้งหมด แต่แค่เสริมให้อีกหน่อย”อเล็กซิสพยักหน้า“แต่ว่า ด่านที่เราผ่านมาโคตรหินเลยนะ กว่าจะมีพลังแฝง กว่าจะรู้ว่าตัวเองมี” ซาร่าห์สั่นหน้า “ขนาดฉันยังจะไม่ไหวเลย ตายก่อนแน่”เบนส่ายหน้า “ถ้ารอดไปได้ เธออาจจะเบิร์นคนหรือสิ่งของได้พร้อมกัน ไม่ใช่ทีละตัวเหมือนวันนี้”“มันคือการสุ่ม” เวดออกความเห็น “ถ้ารอดตายและแ
ปืนหลากหลายรุ่นวางเรียงกันไม่เป็นระเบียบ ดวงตาสีน้ำตาลออกเหลืองไล่ดูจากซ้ายไปขวา มือข้างหนึ่งหยิบขึ้นพิจารณาแล้ววาง ทำแบบนี้จนเลือกได้ เขาเลือกขนาดกระบอกที่ใหญ่กว่าและสะดวกกว่าอันเก่า มืออีกข้างถือก้อนขนมปังรสชาติจืดชืดยัดเข้าปากไปพลาง พอเคี้ยวเสร็จหันมองเพื่อนที่ยังนอนไม่ยอมลุก เอาแต่จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น“ถ้าใช้พลังพร่ำเพรื่ออย่างเมื่อวาน เห็นทีได้นอนเป็นวันแน่” เขาโยนปืนกระบอกใหม่ให้อเล็กซ์ หนุ่มผมดำคว้าหมับ “ถ้าโผล่มานิดหน่อยก็ใช้ปืนเอา”อเล็กซ์ลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตา “ทำไมฝั่งนั้นคุยกันเครียดจังวะ” เขาบุ้ยใบ้ไปทางพวกอเล็กซิสที่กำลังถกประเด็นอะไรสักอย่างกับสาวน้อยช่างฝันเบ็กกี้ แต่ละคนดูจริงจังจนน่าตลก“ถามเขาดิวะ” เพื่อนร่างสูงค่อย ๆ คลานออกจากที่นอน มันสร้างจากกองเสื้อผ้าหลายสิบตัว เขาบิดขี้เกียจ “แล้วเมื่อวานคุยอะไรกันกับพวกนั้น”“อ้าว นึกว่าหลับไปแล้ว”“ง่วง ขี้เกียจคุยยาว กลัวว่าจะไม่ได้นอน”เบนยัดซองกระสุนลงไปในกระเป๋ามากกว่าครั้งแรก แม้หลับไปตื่นหนึ่งจะช่วยฟื้นฟูกำลังได้เยอะ แต่เขาต้องเผื่อสำหรับโอกาสที่อาจจะไม่ได้แวะจุดเซฟโซนด้วย เขาไม่อยากมีสภาพจนตรอกเหมือนพวกที่ไม่มีพลังพ
“ไง ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย พวกเราสูญเสียตัวอย่างการทดลองไปแล้วเกือบครึ่ง (“ตัวอย่างการทดลองงั้นเหรอ” เบนงึมงำในลำคอ) อย่าเพิ่งเสียกำลังใจไปเลย ทางออกอาจจะไกลแต่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ถ้าพวกเธอเร่งฝีเท้ากันสักนิด ระมัดระวังตัวอีกสักหน่อย ไม่แน่ ทุกคนที่ยังเหลือรอดอาจไปถึงครบทุกคนก็ได้ เพื่อให้มีกำลังใจต่อ เราได้ติดตั้งพอร์ตพิเศษขึ้นเพื่อพาออกจากสนามทดลองก่อนถึงจุดทางออกทั้งสาม พอร์ตที่ว่าจะตั้งอยู่สิบจุด จุดละหนึ่งเครื่อง นี่คือข้อเสนอพิเศษที่สุดแล้ว อ้อ อย่าลืมว่าแต่ละพอร์ตใช้ได้เพียงครั้งเดียวต่อผู้โดยสายหนึ่งท่าน ใครโชคดี ค้นพบก่อนเพื่อนก็จะสามารถออกจากที่นี่ได้ทันที ดังนั้นอย่ามัวพิรี้พิไร พวกเราหวังว่าจะได้เจอพวกเธออีกในเร็ว ๆ นี้ ขอให้โชคดี”เสียงลำโพงดังซ่าก่อนจะดับลงไป ข่าวใหม่ทำให้หลายคนฟื้นจากอาการหมดอาลัยตายอยาก“ไอ้หัวฟูลมูน” เบนพึมพำ จำเสียงได้“เร่งฝีเท้ากันเถอะ พวกเราต้องรีบหาเครื่องนั้นก่อนใครใช้ไป”เบนแค่นยิ้ม ดูแคลนเด็กชายที่พูดความคิดนี้ออกมา“มันเป็นกับดัก” โนเอลท้
เมื่อนั้นดวงตาของมันส่องประกายสีแดงอีกรอบ อเล็กซ์ลุกขึ้น ยื่นมือออกไปทันที หุ่นยนต์ที่อยู่บนพื้นถูกคลื่นพลังกระแทกอัดเข้ากับกำแพงจนตาที่กะพริบนั้นดับลง อีกครั้งที่เขาเห็นไมเคิลจู่โจมศัตรูด้วยแรงมหาศาลและความไวที่เร็วจัด เขาตรงเข้าล็อกคอแล้วดึงส่วนหัวออกด้วยมือเปล่า ปาเศษเหล็กลงบนพื้นแล้วเตะซากลำตัวออกไปเสียไกลแต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาทึ่งหรือยินดี ไมเคิลหันไปทางที่เขาโผล่มา หุ่นยนต์เหล็กอีกสองตัววิ่งเข้ามาปะทะ เสียงปืนพร้อมใจกันดังขึ้นสกัด ตัวหนึ่งกระโดดสูงแต่ถูกยิงจนร่วงหล่นสิ้นฤทธิ์ พวกมันจัดการง่ายกว่าหุ่นยนต์ชั้นล่าง แต่...อีกสิบกว่าตัววิ่งตามมาเสริมทัพพริบตานั้น หางตาของเขาเหลือบเห็นไอ้หน้าหล่อกระชับกระเป๋าเป้บนหลังแล้วเตรียมจะวิ่งหนี “ไอ้สัตว์”ปืนของเขาหันไปทางเด็กหนุ่มคนนั้นทันที “อย่าแม้แต่ขยับ” กรามของเขาสั่นระริก เพราะไอ้หน้าโง่นี่ พวกหุ่นยนต์ถึงโผล่มาเป็นฝูง “นายพาพวกมันมา อย่าคิดจะให้พวกเราจัดการให้แล้วชิ่งหนีไป”ดวงตาสีน้ำเงินเย็นชาของไมเคิลชำเลืองมองเบนด้วยหางตาแวบเดียว เขาไม่สนใจคำ
“จู่ ๆ เธอก็เล็งปืนไปที่หัว ฉันห้ามไม่ทัน” อเล็กซิสยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก มือที่ถือปืนนั้นอ่อนลง เลือดของเด็กสาวคนเมื่อกี้กระเซ็นเปรอะไปโดนเสื้อยืดสีขาวตัวใน แม้แต่เพื่อนของเธอ เวดและออสโล่ก็เอาแต่จ้องศพเด็กคนนั้นนิ่ง ไม่มีขยับเขยื้อนเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไร เขาไม่รู้จริง ๆ สายตาของเขามองเด็กที่ตายไม่ต่างจากศพอื่น เหมือนมองของเล่นที่พังแล้ว“ยิงต่อไป อย่าทำตัวขี้แพ้หน่อยเลย” เขาเตือนสติ แต่คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าตุ๊กตานั้นบิดเบี้ยวเหมือนเจ็บปวดไปถึงข้างใน“ยิง!” เขาคำราม เวดสบถแล้วยกปืนเล็ง วินาทีนั้นเจ้าหัวทองดูท่าจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าเพื่อนอีกสองคนเพราะนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้แล้ว หากคุณไม่มีความสามารถ คุณก็ต้องสู้ หรือถอดใจแบบเด็กที่ยิงตัวตายเบนพยายามนึกถึงเวลาที่เขาฝึกตัวเอง ฝึกทั้งพลังจิตและการใช้อาวุธ เขาจินตนาการว่าที่นี่คือสนามฝึกชั้นดีชนิดที่หาไม่ได้อีกแล้ว“ไม่ไหว จำนวนมากเกินไปแล้ว”เขาไม่รู้ว่าใครพูดเพราะตัวเองกำลังวุ่นอยู่กับศัตรู“แม๊กซ์ ยิงกระเป๋
นิ้วข้างซ้ายเหนี่ยวไกระรัว แสนรู้ราวกับมนุษย์ หุ่นยนต์ยกมือป้องกันจนแขนข้างขวากระจุยตามแรงกระสุนทะลวง มือข้างซ้ายของมันเพิ่มแรงบีบจนเธอเจ็บก่อนถูกกระตุกดึงลากจนล้มหน้าหงาย เธอกำลังจะถูกลากออกไปจากกลุ่ม“เวด!” เขาเอื้อมแขนสุดตัวหวังดึงเธอออกจากเงื้อมมือมัน แต่หุ่นยนต์อีกตัวเข้ามาขวางไว้ สุดท้ายอเล็กซิสถูกลากหายไปก่อนเห็นว่าเวดจะเป็นอย่างไร แขนสองข้างกระเสือกกระสนพยายามรั้งและยิงมัน มือซ้ายเหนี่ยวไกอย่างบ้าคลั่ง แขนทั้งสองข้างเกร็งไปหมด ทั้งปากยังกรีดร้อง ซึ่งช่วยให้จังหวะการยิงรัวหนักกว่าเดิมจนหัวเหล็กพรุน พอได้โอกาสจึงถีบมันออกไปแล้วยิงซ้ำให้แน่ใจ “ตายซะ ไอ้สารเลว” เธอชูนิ้วกลางใส่ซากหุ่นก่อนจะหันกลับไปยังจุดเดิม ทันใดนั้นเปลวไฟขนาดมหึมาพวยพุ่งแต่ก่อนที่ไอร้อนจะลามเลีย แรงผลักมหาศาลซัดร่างเธอกระเด็นราวกับลูกฟุตบอลที่ถูกเตะเข้าประตูก่อนคิดว่าจะไปถึงทางออกได้หรือไม่ ควรคิดว่าจะอยู่ครบสามสิบสองหรือเปล่า“อือ” อเล็กซิสคราง เจ็บระบมไปทั่วตัว พอตั้งสติได้ก็รีบคลานหนีออกห่างจากบริเวณนั
วินาทีนั้นพอลปาทุกอย่างที่เขาหยิบได้ใส่หุ่นยนต์เพื่อดึงดูดมัน ทั้งที่เจ็บสาหัสไปทั้งกาย เธอหยิบปืนพกที่เหลือกระบอกเดียวพุ่งตัวผ่านช่องว่างที่เหลืออยู่ พอตั้งหลักได้ ก็ลุกวิ่งโดยไม่หันไปมองว่าเขาจะเป็นอย่างไร ใช่ เธอเอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียวเพื่อเอาตัวรอด เสียงร้องของพอลดังโหยหวนก่อนจะเงียบไป หุ่นอีกตัวยังคงวิ่งตามไม่ลดละ ความไวของมันเร็วอย่างกับนักกีฬาทีมชาติ ไม่สิ ยิ่งกว่า แม้หันหลังเธอยังสัมผัสได้ว่ามือของมันใกล้เข้ามา จนเมื่อรู้สึกถึงเงาทะมึนข้างหลัง เธอหมุนตัวกลับไปจ่อยิงระยะประชิด แต่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แขนเหล็กปัดปืนทีเดียว อาวุธหลักหลุดออกจากมือ อีกข้างขวาของมันจับหมับเข้าที่คอแล้วบีบ ทันใดนั้นแรงบางอย่างซัดหัวมันกระเด็นหลุดออกจากร่าง มือเหล็กหลุดออกจากคอ เธอล้มลงพร้อมกับมัน“เบน เธอเจอเบนไหม” คำถามอเล็กซ์ดังขึ้นก่อนที่เขาจะถึงตัวเธอเสียอีก อเล็กซิสส่ายหน้าช้า ๆ มือยังกำที่คอ“เห็นคนอื่นบ้างไหม”เขาปฏิเสธใบหน้าอเล็กซ์มีรอยแดงนิดหน่อย แขนและมือทั้งสองข้างมีสะเก็ดแผลอยู่บ้าง แต่ดูจากการเคลื่อนไหวแล้ว ดูท่าจะไม่ได้รับแรงกระเทือนจากแรงระเบิดเมื่อค
“เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันรู้ว่าเธอกังวล แต่...” เธอหันไปมองหน้าอเล็กซ์ ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการพูดอะไร “ปกติเธอเป็นพลังบวกของทีมนะ”คลื่นความเงียบแผ่กระจาย เธอชี้นิ้วไปที่ตัวเอง “นายหมายถึง...ฉันเหรอ พลังบวก?”เขายืนเอียงคอมองด้วยแววตาที่อเล็กซิสไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง “ไม่ได้หวังจะให้ทำตัวร่าเริงหรอกนะ แต่ อเล็กซิส...เธอเป็นคนกล้าหาญ ที่ผ่านมาก็รับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่าคนปกติ ถึงแม้พวกเราจะแยกจากกลุ่มมา ฉันเชื่อว่าเธอกลับไปหาพวกเขาได้”“กล้าหาญ?” เธอยิ่งสับสน “ฉันกลัวจะแย่”เขาเลิกคิ้ว “โอเค แต่ก็มีสติกว่าคนอื่น อย่าลืมว่าเธอพาพวกเราออกจากห้องนั้นได้ จากกลุ่มซอมบี้พวกนั้น”มันมีบางอย่างปั่นป่วนในท้อง หาใช่อาการเขินหรือโรแมนติกแต่อย่างใด เพียงแค่คำพูดของอเล็กซ์ทำให้เธอรู้สึกว่า สิ่งที่เธอหวังจะไม่เกิดขึ้น แต่เธอยอมรับว่าพอแยกจากพวกออสโล่ สมองไม่อาจข่มความกลัวได้ดีดังเดิม ในทางตรงกันข้าม มันเพิ่มทวีคูณ ทั้งเสียงร้องและสภาพไหม้ครึ่งตัวของพอล ภาพที่เด็กคนนั้นยิงหัว
บลูรู้แล้วว่าเขาได้อยู่กลุ่มบี แต่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้อยู่หน่วยไหน และสุดท้าย “บลู เทอร์นเนอร์” เขาตบบ่าเพียซและโอลิแวนเพื่อไปเข้ากับหน่วยรุก ชายหนุ่มจงใจเดินผ่านลูกบ้านสาวตาน้ำเงิน เธออยู่กลุ่มบีกับเขา แต่น่าจะเป็นหน่วยสนับสนุน สีหน้าเด็กสาวบ่งบอกว่าประหลาดใจเมื่อเห็นบลู แค่นั้นเขาพอใจกลุ่มของเขาจะบุกตึกร้าง ซึ่งบลูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเพราะไม่ได้เข้าอบรมเหมือนคนอื่น แม้เขาเคยเห็นราซาในสภาพเมืองที่มีชีวิตมาก่อนเมืองร้าง แต่ในเมื่อมันเป็นเมืองร้าง ตึกทุกแห่งย่อมร้างผู้คน รถถังเคลื่อนทัพนำไปก่อน ภายในใจเริ่มปล่อยวางเมื่อเห็นว่าพวกทหารเป็นฝ่ายห้อมล้อมกลุ่มอาสา หาได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นแนวหน้าไม่ แม้จะอยู่ในหน่วยรุก พวกเขายังรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยอยู่ดี และพวกทหารจะเป็นฝ่ายเปิดคอยระแวดระวังให้ก่อน กลุ่มอาสามาเพิ่มกำลังให้จริงดังคำเชิญชวน บลูค่อนข้างเหงานิดหน่อยเพราะโอลิแวนและเพียซอยู่แถวหลัง ๆ แม้บางคนเขารู้จักแต่แค่เพียงผิวเผิน บลูจึงผูกสัมพันธ์กับรีเวอร์ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มต้องสงสัยไม่กี่คนในหน่วยนี้ เขาเรียกว่าไรดี การต่อสู้คราวนั้นก่อให้เกิดมิตรภาพได้ ด
“ถ้างั้นเลือกสักอย่างเผื่อไว้” เจ้าหน้าที่กดปุ่มบนโต๊ะ ตัวแผ่นพลิกขึ้นเผยให้เห็นคลังอาวุธข้างใน ทว่าแม้บลูจะพอเดาได้ว่าอันไหนปืน อันไหนมีด แต่เขาใช้ไม่เป็นเลยสักอัน จึงสุ่มเลือกมีดสั้นด้ามหนาขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนมีดพกธรรมดา เขาถนัดของเบสิก“อันนี้สามารถเสียบไว้ใต้แขน”ชายหนุ่มหงายแขนตัวเองขึ้น เห็นที่เสียบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ “ใช้ยังไงเหรอ”ทหารหนุ่มจับมีดแล้วตวัด ใบมีดโผล่ออกมา “เหมือนมีดพกก็จริง” เขาตวัดกลับ ใบมีดกลับเข้าไปข้างใน บลูจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อใช้นิ้วโป้งกดตรงสัน ใบมีดโค้งโผล่ออกมาจากปลายทั้งสองด้าน และเมื่อมันถูกเขวี้ยงออกไปกลับแล่นกลับมาหาเจ้าของคล้ายกับบูมเมอแรงนั่นเอง “ลองดู”บลูมองมีดในมือแล้วตวัดไปตวัดมา จากนั้นลองใช้แบบบูมเมอแรง อุปกรณ์นั้นใช้ง่าย อาจเป็นเพราะมันมีระบบอัตโนมัติติดตั้งเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก“มีสองที่ ก็เอาไปสอง” เขาหงายมือแล้วเสียบมีด จากที่ตัวเบาก็เริ่มพะรุงพะรังขึ้นนิดหน่อย “หมดแล้วใช่ไหม” เขาถาม&ldqu
หน้าประตูเหล็กสีดำ นายทหารสองนายยืนประจำการเฝ้าอยู่ พวกเขามองไปรอบ ๆ แปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มคนเลยทั้งที่นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเพิ่งเจ็ดโมงยี่สิบเจ็ดนาที ในใจบลูหวาดกลัวว่ามันอาจเป็นกลลวง และเอมอนอาจตกอยู่ในอันตรายจึงปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง พอเห็นชายสองคนตรงเข้ามา ทั้งสองนายพร้อมใจกันยกมือให้พวกเขาหยุด “อาสาสมัครใช่หรือไม่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”“พวกเราไม่ได้ลงทะเบียน” เขาตอบ “พวกเขาไปกันแล้วเหรอ”ทั้งสองคนมองหน้ากัน คนหนึ่งพยักหน้า ชี้นิ้วโป้งไปทางประตู “เตรียมตัวอยู่ข้างใน ถ้างั้นพวกนายก็กลับไปซะ”“เดี๋ยว” อีกคนยั้งเพื่อนไว้ ทำมือบอกพวกเขาให้รอตรงนี้ทหารคนนั้นทาบมือกับบานประตู แผ่นเหล็กเลื่อนลงเผยให้เห็นช่องทึบข้างใน บลูจะชะโงกหน้าดู แต่เมื่อเห็นอีกคนที่เฝ้าอยู่เหล่มองก็ก้มหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา “บอกชื่อพวกนายมา” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับริงโก้ แล้วตอบไป“บลู เทอร์นเนอร์”“โบธิสต้า ซานโดวอล”นั่นคือจริงของริงโก้ เขาไม่รู้ที่มาว่าทำไมชายคนนี
บลูสลัดมือแล้วเช็ดเสื้อชายหนุ่ม เวลาเขาอยู่ข้างริงโก้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์บอบบางที่พยายามล้มช้างแมมมอธ พอโดนแกล้งคืน ริงโก้ฮึดฮัด บลูยิ่งหัวเราะสะใจ “ฝากที่เหลือด้วยนะจ๊ะที่รัก” แล้วคว้าลังเบียร์เดินออกไปเลย ใครจะอยู่ฟังคำสบถแสลงหูเล่าดาดฟ้ากลายเป็นที่ประจำของบลูไปเสียแล้ว มือหนึ่งดีดฝาไฟแช๊ก อีกมือหยิบบุหรี่ ปากคาบแล้วจุดลมเย็นพัดผ่านร่าง หากไม่ได้สวมเสื้อแจ็กเกตกันหนาวคงสะท้านน่าดู ไม่ทันที่เขาจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เอมอนเปิดประตูเหล็กอย่างแรง มือหนึ่งถือกล่องกระดาษ อีกข้างถือแผ่นพับกระดาษ “เล่นกันไหม”“เออ จัดเลย”น้องชายกางตารางกระดาษลงบนโต๊ะ เทของข้างในออกจากกล่อง มันเป็นฝาขวดที่เขาสะสม จากนั้นวางมันลงแทนหมากบนตาราง “ยัยเด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”เอมอนแบมือ เขาส่งซองบุหรี่ให้ “อย่างที่ริงโก้ว่า เธอใช้ยาระงับอาการ ตอนริงโก้เคาะเลยเปิดให้ไม่ได้ ตอนนี้เดสก็ทดลองถอนพิษให้อยู่” ชายหนุ่มหยุดคิด “แต่ไม่น่าจะทำได้”ดูเหมือนว่าความล้มเหลวทำให้เอมอนเลิกโลกสวย “แ
เครื่องหมักเนยผสมกระเทียม มะนาว และผักชีลอยฟุ้งส่งความหอมละมุนผสมเปรี้ยว กลิ่นตลบผสานกับเนื้อแซลมอนบนกระทะร้อนส่งเสียงฉู่ฉ่าชวนให้น้ำลายสอ ด้านหลังโอลิแวน ไฟในเตาอบส่องสว่างฉายให้เห็นเนื้อหมูสันในอบกับมันฝรั่งหั่นเต๋าคละเคล้ากับเครื่องเทศมากมาย ส่วนผู้ปรุงแต่งสวมผ้ากันเปื้อนสีส้มอ่อน มือจับชามและทัพพีคลุกน้ำสลัด มีเพียซ ลูกมือคอยหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นอยู่ข้างกาย ระหว่างนั้นเอมอนวางผ้าปูเตรียมมีด ส้อมและแก้ว แต่ละคนล้วนปิดปากเงียบ ไม่พูดคุยกัน หมกมุ่นกับเรื่องในใจบลูเห็นดังนั้นจึงถามขึ้น “พรุ่งนี้ไปกันกี่โมง” ตั้งใจทำลายความเงียบและปลุกทุกคนออกจากภวังค์ เขาเขยิบก้นนั่งบนเก้าอี้ริมข้างเคาท์เตอร์บาร์“เจ็ดโมง” เอมอนวางแก้วเปล่าลงข้างหน้าพี่ชาย “หรือจะเอาเบียร์”“น้ำนี่แหละ” บลูตอบ “เจ็ดเลยเหรอวะ โคตรเช้า”เมื่อเดสซิเรเดินเข้ามา ไอ้น้องบ้าผู้หญิงไม่รอช้าบริการหญิงสาวทันที เธอนั่งมุมโต๊ะ จากนั้นริงโก้เข้ามาเป็นคนสุดท้าย เลือกนั่งข้างบลู สายตามองถาดเนื้อหมูในเตาอบ พอโอลิแวนวางชามสลัดลงตรงกลาง หนุ่มร่างใหญ่ยืดตัวขึ้นตักแบ่งใส่จานตัวเองทันที บลูฟังเดสซิเรทวนกำหนดการสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเหล่าอ
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้