วันต่อมา ครอบครัวของวัยรุ่นทั้งสี่ได้รับคำสั่งอนุญาตให้เข้าเยี่ยม เอโลดี้มาพร้อมกับครอบครัวอเล็กซิสและเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว เพื่อนซี้ของเธอเอาแต่โทษตัวเองที่เป็นสาเหตุให้
อเล็กซิสถูกจับและถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย อเล็กซิสต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรเพื่อปลอบไม่ให้เอโลดี้รู้สึกผิด ทั้งที่เธอควรจะเป็นฝ่ายได้รับการปลอบโยนมากกว่า พ่อของเธอพูดกับเอโลดี้ว่า ถึงแม้อเล็กซิสไม่อยู่ในงานปาร์ตี้ ลูกสาวของเขาก็จะโดนจับอยู่ดี เพราะคำสารภาพของแมรี่ สตีเว่น (หรือพูดให้ถูกคือ ถูกบังคับให้สารภาพ) ทำให้พวกตำรวจไปตามจับเด็กที่ถูกแก้ประวัติเพิ่ม“หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า นักเรียนหัวกะทิแห่งซานโบซ่าข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่รู้ว่าเขียนข่าวมั่วซั่วแบบนั้นได้ยังไง” เจสซี่บ่น
“พวกนักข่าวก็คงถูกบังคับให้เขียนรายงาน ไม่ได้ตั้งใจหรอกลูก” พ่ออธิบาย เขาเข้าใจสถานการณ์มากกว่าลูกชาย
“อย่างน้อยก็ไม่มีชื่อพวกเราในนั้นใช่ไหม”
“ไม่มี ถ้ามีพี่จะฟ้อง”
“พี่พูดเหมือนคุณมิลเลอร์เลย!”
อเล็กซิสสังเกตเห็นว่าแม่และไบรซ์ไม่ค่อยพูดค่อยจา แม่กับไบรซ์ไม่ใช่คนที่จัดการกับความรู้สึกได้เก่งเท่าไร ทั้งสองนั่งเงียบ มองอเล็กซิสกับเจสซี่คุยกัน อีกมุมก็มีเสียงร้องไห้ของเอโลดี้ดังคลออยู่ตลอด แม้แต่พ่อกับเจสซี่ยังดูอ่อนล้ามากราวกับไม่ได้นอนมาหลายวัน พวกเขาคงพยายามทุกวิถีทางแล้วเพื่อจะช่วยเธอออกไปจากที่นี่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ตัวเจสซี่เองเหมือนขาดความมั่นใจไปเลยเมื่อเทียบกับเมื่อสองวันก่อน อย่างว่า ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ ในเมื่อ จู่ ๆ อเล็กซิสกลายเป็นผู้กระทำผิดทางกฎหมายและเป็นภัยต่อประเทศชาติเสียอย่างนั้น
“ทุกคนทำหน้าซังกะตายอย่างกับพวกซอมบี้เลยนะ” เธอพยายามจะมีอารมณ์ขัน แต่เท่าที่เคยเล่นมุกมา มุกนี้ฝืดที่สุด
“พี่ต้องจากพวกเราไปเหรอครับ” เจ้าชาร์ลีถาม เด็กชายเป็นคนเดียวที่ไม่มีท่าทางหดหู่เหมือนคนอื่น อาจเป็นเพราะชาร์ลียังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าพี่สาวของเขาไม่มีวันกลับไปหาเขาอีกแล้ว ไม่มีวันสอนเขาวาดรูป พาเขาไปรับประทานไอศกรีมและพิซซ่า และเล่นกับเขาอีก ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
“พี่เขาจะต้องกลับมา” ไบรซ์พูด พี่สาวโถมตัวเข้ากอดจนเธอหายใจแทบไม่ออก “ใช่ไหม เธอจะกลับบ้านกับพวกเราใช่ไหม”
สองสาวนอนห้องเดียวกันมาตั้งสิบห้าปี ทั้งไบรซ์และอเล็กซิสเป็นทั้งพี่น้องและเพื่อนสนิท จนวันหนึ่ง เหลือเพียงคนเดียวที่ต้องนอนอย่างเดียวดาย มันเป็นความรู้สึกที่แย่เกินกว่าจะจินตนาการความโดดเดี่ยวนี้ได้
“พี่...หายใจไม่ออกแล้ว” อเล็กซิสขอร้องเบา ๆ ความพยายามที่จะสกัดกั้นเจ้าก้อนน้ำตาเหมือนพยายามจะกั้นกระแสน้ำหลาก เจ้าชาร์ลีก็อีกคน เขาจ้องมองเธอเขม็ง เพราะอเล็กซิสยังไม่ตอบสักที
“พี่จะพยายามนะ เจ้าลิง” พี่สาวตอบ เด็กชายจึงพอใจ
“คุณรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า” แม่ของเธอถามขึ้นหลังจากที่นั่งเงียบมานาน แต่เธอถามพ่อ ไม่ใช่อเล็กซิส “คุณรู้ว่าแมรี่ป้อนข้อมูลเท็จใช่ไหม”
คาเลบพยักหน้า รู้สึกผิด
“แล้วคุณก็ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นเหรอ”
“ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ” เด็กสาวแทรกซึ่งทันก่อนที่แม่จะพูดอะไรต่อ เธอไม่อยากให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้าทุกคน แถมยังในเวลาแบบนี้อีก พวกเขาไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้งตั้งแต่เธอเข้ามาเป็นลูกสาวบ้านเดวิส ความเศร้ากลืนกินความรู้สึกดีไปจนหมด ถึงกระนั้น อเล็กซิสไม่อยากให้เกิดบรรยากาศลุกเป็นไฟจากการทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัว เพราะเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันน้อยลงทุกวินาที และทุกวินาทีมีค่าสำหรับเธอ
“พวกตำรวจบอกว่าจะประกาศวันเดินทางภายในพรุ่งนี้ อเล็กซ์ พี่ขอโทษนะ พี่ช่วยเธอไม่ได้เลย พี่มันไม่ได้เรื่อง ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“บอกแล้วไงว่าไม่มีใครผิด” อเล็กซิสย้ำ จากนั้นจึงดึงแขนของไบรซ์ออกจากคอได้สำเร็จ มิเช่นนั้นเธอคงขาดอากาศตาย
เบียนน่าวกกลับมาถามเจสซี่อีกรอบว่าเขาจะหาทนายฝีมือดีได้หรือไม่ และพวกเขาต้องนั่งฟังเจสซี่อธิบายไปเรื่อย ๆ (รอบที่เท่าไร เธอจำไม่ได้) สำหรับกฎหมายรัฐบัญญัติปี 2966 ผู้กระทำผิดและถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มเสี่ยงจะไม่สามารถหาทนายมาช่วยแก้ต่างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ กฎหมายเล่มนี้ยังไม่อนุญาตให้อุทธรณ์อีกด้วย ดังนั้นคำตัดสินถือว่าเป็นอันสิ้นสุดแล้ว ตลอดสองชั่วโมง พวกเขานั่งถกเถียงเรื่องข้อกฎหมาย ความเป็นไปได้ที่อเล็กซิสจะถูกปล่อยตัว และระบบรัฐ ช่วงนาทีสุดท้าย เบียนน่าไม่อาจควบคุมอารมณ์ให้นิ่งได้ เธอร้องไห้ตัดพ้อเจสซี่ ขอร้องให้เขาหาวิธีช่วยอเล็กซิส เจสซี่จำเป็นต้องพาแม่ออกไปก่อนที่พวกตำรวจจะพาเธอออกไปเองด้วยวิธีการป่าเถื่อน
อเล็กซิสมองไปยังนาฬิกาที่ติดอยู่ในห้อง หมดเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว เด็กสาวส่งยิ้มให้พ่อ พยายามจะทำตัวเข้มแข็งในสายตาเขา
“พรุ่งนี้พวกเราจะมาเยี่ยมลูกอีก ดูแลตัวเองนะสาวน้อย” พ่อบอกแล้วจูบหน้าผากลูกสาว ไบรซ์กับเอโลดี้ทำแบบเดียวกัน ส่วนเจ้าชาร์ลียืนรอไม่ยอมไป “พี่สัญญาว่าต้องกลับมานะ ผมอยากวาดรูปช้างเป็น พี่วาดเก่งที่สุดแล้ว เจสซี่พยายามจะสอนเหมือนกัน แต่ฝีมือของเขาโคตรห่วยเลย”
“ชาร์ลี ไปเรียนคำพูดแบบนี้มาจากใครเนี่ย” อเล็กซิสร้องแล้วอุ้มเขามานั่งบนตัก
“ผมได้ยินเจสซี่ชอบพูดว่า ระบบห่วย ๆ มีแต่คนระยำบริหาร”
อเล็กซิสหลับตา สั่นหัวช้า ๆ ควรมีใครสักคนสอนพี่ชายให้รู้จักใช้คำพูดเวลามีเด็กอยู่ด้วย “มันหยาบคายรู้ไหม พี่ไม่สัญญากับเราหรอกนะเจ้าลิงน้อย แต่พี่จะพยายาม ตกลงไหม”
อเล็กซิสไม่ได้ให้สัญญากับชาร์ลี เพราะเธอรู้ดีว่าเธอจะผิดสัญญาแน่นอน เพียงหอมแก้มกลมของเจ้าน้องชาย พ่อเคยสอนว่า อย่าให้สัญญากับใครถ้ารู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ อเล็กซิสทำตามคำพ่อสอนเสมอ
เจ้าชาร์ลีกระโดดลงจากตักและหันมาโบกมือพร้อมกับรอยยิ้มสดใสก่อนออกไปหาครอบครัวที่รออยู่ข้างนอก เพราะกุญแจล็อกข้อมือเธอให้อยู่กับโต๊ะหรอก อเล็กซิสเลยได้แต่มองพวกเขาเดินออกไป แต่ในใจนั้นอยากตามไปด้วยจะแย่
วันนั้น กลุ่มเพื่อนและคุณครูที่โรงเรียนมาเยี่ยมพวกเด็กที่ถูกจับเช่นกัน อเล็กซิสเริ่มเห็นใจเบลินดาอยู่บ้างที่ถูกบอยคอต เพราะทุกคนขอเข้าพบแค่กับเด็กสามคนเท่านั้น มีเพียงเพื่อนไม่กี่คนที่มาเยี่ยมเบลินดา พวกเพื่อน ๆ ในโรงเรียนยกโขยงกันมายกทีม อย่างเช่น ทีมเชียร์ลีดเดอร์ ชมรมฟุตบอล ชมรมบาสเกตบอล ชมรมดาราศาสตร์ และคนอื่น ๆ เดวี่มาพร้อมกับชมรมฟุตบอล ส่วนจูนหรือ เธอหายตัวไปจากเมืองแล้วมั้ง แม้แต่แม่ของจูนที่ค่อนข้างสนิทสนมกับครอบครัว
อเล็กซิสยังไม่แม้แต่ติดต่อมาเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจสักนิดถ้าเธอมาหาฉัน ฉันจะลืมทุกอย่าง ให้อภัยทุกอย่าง อเล็กซิสคิดถึงเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงแม้ความขัดแย้งของทั้งคู่ได้ทำลายมิตรภาพที่ยาวนานจนยากจะซ่อมกลับมาเหมือนเดิม แถมบาดแผลที่จูนทำยังคงเจ็บเบา ๆ แต่เพราะอเล็กซิสรู้ว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว จึงอยากลาจากกันแบบดี ๆ มากกว่า อีกเหตุผลหนึ่ง ในเมื่อจูนเป็นคนหยิบมีดแทงหลังอเล็กซิส เธออยากให้เพื่อนเป็นคนดึงมันออก แล้วทั้งสองจะได้เริ่มต้นกันใหม่ เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ อันที่จริง ลึก ๆ แล้ว อเล็กซิสเพียงแค่อยากให้จูนขอโทษแค่นั้นเอง นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด
อเล็กซิสถูกพาตัวออกจากห้องเยี่ยมก่อนคนอื่น เธอยืนรออีกสามคนที่กำลังเดินมาสมทบ นายตำรวจบรูซยืนอยู่ข้าง ๆ ตบบ่าเธอเบา ๆ เหมือนต้องการปลอบใจ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูก็ได้เจอพวกเขาใหม่ อย่าเศร้าไปเลย”
เธอพยักหน้า รู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ยังมีคนใจดีหลงเหลืออยู่บ้าง “หนูขอถามเพียงแค่คำถามเดียวได้ไหมคะ”
“ถามมาเลยแม่หนู”
เด็กสาวยิ้มโล่งอกที่นายตำรวจคนนี้ไม่ได้เย็นชาเหมือนอีกสองคนที่เธอเจอบ่อยครั้ง
“พวกเราจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อเข้าโปรแกรมบำบัด คุณพอทราบไหมคะ”
บรูซถอนหายใจ “ฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกนะสาวน้อย เพราะว่าฉันไม่รู้จริง ๆ ขอโทษนะ”
“ไง” เวดทักเมื่อเดินมาถึง
“กลับได้แล้ว” นายตำรวจนำทาง พวกเขาเดินผ่านกลุ่มแอนโธนี่ที่กำลังจะเดินไปยังห้องสอบสวน
“โชคดีนะพวกนาย!” เวดตะโกนบอก พวกนั้นจึงหันมามองเขาทั้งกลุ่มเพราะไม่เข้าใจความหมายของเวด
“เดินต่อไป!” ตำรวจสาวผมทองเร่งแล้วชี้นิ้วมาที่เวด เตือนเขาไม่ให้พูดอะไรอีก
อเล็กซิสมองดูเด็กกลุ่มนั้นหายเข้าไปในห้องที่ว่า“นายมันร้ายจริง ๆ” เธอศอกใส่เพื่อน
“ก็แค่เตือนเอง” เวดอ้าง
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
อเล็กซิสหันกลับไปยังห้องนั้น ดูเหมือนจะเกิดเรื่องอลหม่านขึ้นด้านใน มีเสียงกรีดร้องดังลอดออกมา เธอได้ยินเสียงพวกตำรวจตะโกนบอกใครสักคนให้หยุดทำการบางอย่าง ส่วนพวกเด็ก ๆ ที่เหลือต่างร้องโวยวาย พวกอเล็กซิสยืนมองอย่างอกสั่นขวัญหาย
“กลับ ๆ กลับเข้าห้องขังเดี๋ยวนี้” บรูซออกคำสั่ง แต่เด็กทุกคนยังคนยืนทื่อ ไม่ให้ความร่วมมือ มือของเขาหยิบวิทยุสื่อสารออกจากเอว
“เราต้องการกำลังเสริม มาที่ห้องสอบสวน ย้ำคำสั่ง เราต้องการกำลังเสริม มาที่ห้องสอบสวน!”
“พ่อ” น้ำเสียงชายหนุ่มต่ำลง “ผมไม่เชื่อ มันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ผมไม่เชื่อว่านั่นเป็นภาพจริง มันเป็นไปได้ เรายังไม่รู้ว่าสถานที่อยู่ไหน ขนาดประกาศข่าวไฟไหม้โครม ๆ ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ ผมไม่เชื่อเด็ดขาด มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ พวกเขาจึงตัดสินใจพับโครงการ แต่ไม่ใช่เพราะไฟไหม้และมีคนตาย”“แล้วก็ประกาศให้กลุ่มเสี่ยงเป็นภัยที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุด ถ้าพบเจอจะถูกกำจัดทิ้งทันที” คาเลบพูดต่อเขาจำได้ ข่าวรายงานว่ากลุ่มเสี่ยงเป็นผู้ก่อไฟ“พ่อ เป็นไปได้ไหมว่าน้องหนีออกไปได้ น้องอาจอยู่ในกลุ่มที่คิดหนีก็เลยดึงรูปพวกเราออกไป แถมเครื่องเล่นซีดีก็หายไป” เขาเปิดกล่องซีดี “นี่ไง บางอัลบั้มแผ่นหายไป แน่สิ ยัยตัวเล็กต้องเอาคาร์เมนไป นั่น (เปิดดู) ไม่ได้หายไปแผ่นเดียว ของวงนี้ก็ด้วย” เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเข้มของคาเลบกลับมองอย่างเศร้าสร้อย“ก่อไฟแล้วเผาทุกคนวอด นั่นใช่น้องหรือ”แน่นอนว่าไม่ใช่“มันอาจมีอะไรผิดพลาด...พวกเขาจะหนี แต่ดันกลายเป็นอุบ
เจสซี่กลอกตา พวกเขาทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง ไบรซ์เห็นข่าวเขาคบกับจูน อดีตเพื่อนสนิทของอเล็กซิส เธอโกรธมากทีเดียว ไบรซ์ไม่ใช่คนโกรธใครง่าย ๆ แต่เวลาโกรธทีน่ากลัวที่สุด เธอหาว่าเขาทรยศอเล็กซิสแล้วความเป็นตัวเอง น่าขำ ขนาดน้องสาวทั้งสองยังคิดว่าเขาชอบผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์คนเราต้องจำกัดรสนิยมแค่เพศเดียวหรือไง แต่ประเด็นคือ เขาไม่ได้ชอบจูน“เราคุยกันแล้วนะ”ไบรซ์เงียบไป จากนั้นสายตัดงอนอีกแล้ว เขาส่ายหัวแล้ววางโทรศัพท์ ข้อเสียของไบรซ์คือ เวลาเธอโมโหจะใช้ความเงียบหรือตัดบทไม่พูดไม่จา ต้องรอให้เจ้าตัวเย็นก่อนถึงจะเข้าไปคุยได้ ความโกรธของไบรซ์ไม่ต่างจากน้ำแข็งเย็นยะเยือก ในขณะที่เจสซี่เป็นไฟเผาผลาญ พอหมดเชื้อก็หมดฤทธิ์ แต่กว่าไบรซ์จะละลายโทสะได้ก็ใช้เวลานานทีเธอมีแฟนยังงุบงิบจนฉันรู้เอง แล้วจะมาบังคับไม่ให้ฉันคบคนนู้นคนนี้ไม่ได้นะ นี่มันงานโว้ย เขาทำปากขมุบขมิบใส่เครื่องโทรศัพท์ประหนึ่งว่าเห็นน้องสาวอยู่ตรงนั้น ขณะนั้นชาร์ลีเดินผ่าน เด็กน้อยหยุดมองภาพครอบครัวแล้วโบกมือกับรูป จากนั้นวิ่งไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
มุมโต๊ะรับประทานอาหารก็มีแต่ขนมที่เขาซื้อมา เขาเดินออกไปที่สวนด้านหลังเพื่อข่มความโกรธ คาเลบไม่เคยทิ้งชาร์ลีไว้ในบ้านคนเดียวจนกระทั่งเบียนน่าตาย เขาก็มักไปเยี่ยมหลุมศพเธอเสมอ พูดกับเธอราวกับยังมีชีวิต เจสซี่เงยหน้ามองสภาพสวนที่เคยอุดมไปด้วยพืชพรรณ กลับต้องเจอกับสภาพผักสวนครัวเต็มไปด้วยวัชพืช ชายหนุ่มหันหน้าซบกำแพงทันที มือข้างขวาทุบอยู่สองสามทีเพื่อระบายความอัดอั้นก่อนจะตั้งสติลูบหน้าลูบตา เจสซี่มองหาคราดแล้วถางหญ้าที่บังกระถางออก จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์เช่นพวกกรรไกร เสียมแล้วจัดการกำจัดส่วนเกิน เขาพยายามตกแต่งให้มันสวยงามเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่สมัยก่อนเกลียดงานทำสวนที่สุด โดยเฉพาะเวลาแม่เรียกให้ไปช่วยตั้งแต่อเล็กซิสถูกจับไป เบียนน่ามีอาการเซื่องซึมอยู่ตลอด บางครั้งเธอก็จะแสร้งทำตัวปกติแต่ทุกคนสัมผัสได้ว่าในใจของแม่ปวดร้าว ทุกคนต่างเป็นห่วงสุขภาพจิตแต่ลืมไปว่ามันส่งผลต่อสุขภาพกายของเธอด้วย ที่สำคัญ แม่พยายามปิดบังอาการเจ็บป่วยในตัวมาตลอด อาจจะเป็นมานานแล้วก่อนเกิดเรื่องอเล็กซิสด้วยซ้ำ และเพราะพวกเขาตาบอดมัวแต่คิดว่าเธอไม่แข็งแรงเพราะความเครียดอย่างเดียว อีกอย่างเบียนน่ามีความอดท
มันยังคงเป็นเมืองเล็กอันเงียบสงบ แต่บรรยากาศที่สัมผัสได้ตั้งแต่ขับรถเข้ามาแตกต่างจากวันที่รถตู้ตำรวจพาเด็กพวกนั้นไป และหนึ่งในนั้นเป็นน้องสาวของเขา สำหรับเจสซี่ ซานโบซ่าไม่มีวันกลับไปเหมือนวันวาน ทั้งที่ชาวเมืองยังใช้ชีวิตกันปกติ ผู้คนลืมเลือนเหตุการณ์ในวันนั้น ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เขาตระหนักความจริงข้อนี้ดีแต่ไม่อาจเริ่มต้นแล้วก้าวต่อไปได้สักที นับวันเส้นทางข้างหน้าคล้ายตรงดิ่งสู่เหว ความเหงาเปรียบดั่งเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายเงียบเชียบและติดต่อกันในสมาชิกครอบครัวไม่ต่างจนเจ็บไข้ได้ป่วยคนรุ่นราวคราวเดียวกันต่างออกไปตามหาความฝัน กลุ่มเพื่อนแยกย้ายกันไปทำงานเมืองอื่น เจสซี่แทบไม่เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะแต่ละคนต่างอยู่ในช่วงเริ่มงาน รุ่นเด็กลงไปเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย พอมาเจอเด็กวัยรุ่นในเมือง เขาก็ไม่คุ้นหน้าแล้ว บางคนพอจำได้ก็ส่งยิ้มให้เกือบปีเท่านั้นเอง...แต่กลับเหมือนสิบปีเขาจอดเจ้าโวลคอฟรุ่นเอ็มสามสิบเก้าไว้หน้าบ้าน มันเป็นรุ่นกลาง ได้มาตอนรับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายกฎหมายของวลาดิเมียร์ โวลคอฟ เนื่องจากโวลคอฟไม่ใช่รุ่นยอดนิยมในซานโบซ่านัก เพราะคนส่วนใหญ่เดินทางใช้รถเก่า ๆ และจักรยาน เมื่
อาคุสะถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ“อะไรอีก” อเล็กซ์ถาม“อเล็กซิสเป็นกลุ่มเสี่ยง” เขาตอบ “นายก็รู้ว่าพลังชีวิตของกลุ่มเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไป ยิ่งพวกเขาเป็นแฝด แถมยังเป็นแฝดที่เกิดจากแฝดพิเศษ สิ่งที่พวกเราเห็นอาจเป็นตัวพิสูจน์ อย่างน้อยตาเฒ่าทรอยก็ทำสำเร็จอยู่บ้าง ฉันคิดว่าพวกเขาพิเศษกว่ากลุ่มเสี่ยงอย่างพวกเราอีกนะ”ตอนนี้หัวของเขามึนตึบตามอาคุสะไม่ทัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสีหน้าออกจึงอธิบายต่อ “ร่างต้นแบบของลูก้าและเจมม่าเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มแรก ฝาแฝดที่มีพลังพิเศษ ร่างโคลนก็มีพลังพิเศษ ลูก ๆ ของพวกเขา...ไมเคิลก็มีพลังพิเศษ ตอนนี้เราก็เห็นแล้วว่าอเล็กซิสมี เป็นไปได้ไหมว่าถ้าพ่อแม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ลูกก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน แล้วความที่พวกเขาเป็นแฝด จึงมีพลังเชื่อมเข้าหากัน เกื้อหนุนกัน”อาคุสะวางมือบนไหล่อเล็กซ์แล้วตบเบา ๆ “มันเป็นสัญญาณที่ดี เธอไม่ตายง่าย ๆ หรอก”อเล็กซ์ยืนนิ่งแต่ดวงตากวาดมองรอบ ๆ อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่บาดเจ็บ ยังมีคนเจ็บ บ้างมีแผลเล็กน้อย บ้างบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อนั้นจึงตบหน้า
ความเงียบเปรียบดั่งมีดคมเสียบแทงเข้าไปในหัวใจ หากเพียงคนที่บาดเจ็บเป็นเขาแทน เขายอมแลกทุกอย่าง อเล็กซ์ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อมองทุกคนตายไปต่อหน้าต่อตา คนเหล่านี้ช่วยชีวิตเขาได้สำเร็จทุกครั้ง ไม่ว่าจะแม่ เบน และอเล็กซิส แต่เหตุใดเขาไม่เคยช่วยชีวิตใครได้เลย ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ช่วย“อเล็กซ์!” ไมเคิลกระชากแขน เขาหันไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม“ไม่!” เขาตวาดใส่หน้า หากไมเคิลจะแย่งไปก็ทำได้ แรงของอีกฝ่ายมีมากกว่าและอเล็กซ์ก็ไม่เหลือพลังโต้กลับ แต่เพราะมีอเล็กซิส ไมเคิลจึงทำได้เพียงอ้อนวอน“ปล่อย ฉันจะช่วยเธอ!”“ไม่!” เขาตะโกนใส่หน้าเด็กหนุ่ม “ทุกครั้งที่ฉันปล่อยมือ เธอก็ห่างฉันไปทุกที...” ก้อนสะอื้นจุกในคอ เขาไม่อาจโต้ตอบได้อีกกล้ามเนื้อบนหน้าไมเคิลกระตุก เขาโกรธ โกรธมาก แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ “นี่พี่สาวฉัน ฝาแฝดของฉัน ปล่อยตัวเธอ ฉันอาจช่วยเธอได้ เมื่อกี้...”“ก็ทำสิ!” เขาดึงแขนเด็กสาวกลับ จ้องดวงตาสีฟ้าที่คล้ายกับของอเล็กซิสหากแต่สีนั้นอ่อนกว่า “ช่วยชีว