“ก่อนที่พวกเธอเกิด รัฐบาลก่อตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อไล่ล่ากลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะ แต่เพราะคนกลุ่มนี้เริ่มปิดบังตัวตนจากภัยคุกคามที่จะมาถึงตัว การตามล่าจึงลำบากขึ้นกว่าเดิม รัฐบาลจึงประกาศคุณลักษณะของกลุ่มเสี่ยงออกมา จากนั้นจึงมีการบัญญัติคำว่า ‘กลุ่มต้องสงสัย’ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำ ดังนั้น คำนี้จึงถูกใช้เพื่อระบุกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ยังไม่มีอาการบ่งชี้ ตอนนั้นผู้คนบางส่วนต่อต้านและพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับอำนาจรัฐ แต่ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะปกครองสหพันธรัฐได้อย่างสงบสุข มีการจลาจลเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน พอมีคนก่อจลาจล รัฐบาลกวาดล้าง จากนั้นก็มีกลุ่มใหม่มาก่อความไม่สงบอีก วนเวียนอย่างนี้เรื่อยมาไม่รู้จบ ผู้ที่คุมรัฐบาลรู้ดีว่า หากปล่อยให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควบคุมมากเกินไป เมื่อนั้นปัญหาจะไม่มีทางจบสักที ด้วยเหตนี้ พวกเขาจึงปล่อยให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลยังอยู่ในกรอบอำนาจที่ประชาชนมอบให้ ต่อมา ทางการประกาศยกเลิกหน่วยพิเศษนี้เพื่อตอบรับและลดกระแสต่อต้าน แต่หน่วยงานนี้ยังคงทำงานกันอย่างลับ ๆ จนถึงทุกวันนี้”
“ครูรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงคะ” อเล็กซิสถาม แต่แล้วนึกถึงกรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของเดสซิเร ดัลคา ที่เจสซี่เคยยัดเยียดให้เธออ่าน นั่นหมายความว่า คนบางกลุ่มอาจรู้ แต่ไม่มีโอกาสส่งผ่านข้อมูลเหล่านั้น หรือพวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้กระทำ มันอันตราย แต่บางครั้งอันตรายก็เปรียบเสมือนของหวานต้องห้ามชวนให้ลิ้มลอง ในขณะที่การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบ ๆ กลุ่มต่อต้านใช่ว่าจะหยุดเปิดโปง อเล็กซิสจับน้ำเสียงของสองพี่น้องแล้ว แน่ใจว่าพวกเธอพูดความจริง ไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากจินตนาการแต่อย่างใด
“ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวคือช่วงนั้นสินะครับ” ออสโล่เดา
“ใช่แล้วล่ะจ้ะ ครูไม่เคยเข้าใจไอ้ความหวาดกลัวที่ว่าเลยจนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับครอบครัวของครูเอง สิ่งที่ทำให้กลุ่มต่อต้านพ่ายแพ้แก่รัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ ประชาชนที่เพิกเฉย มีคนไม่เยอะหรอก ที่จะสนใจสิทธิพื้นฐานของผู้อื่น ครอบครัวของครูก็เป็นคนกลุ่มนั้น พวกที่ไม่สนใจภัยของกฎหมายเล่มนี้จนมันเกิดกับตัวเอง วันนั้น พวกตำรวจมาถึงที่บ้าน จากพวกไม่ยี่หระต่อสิ่งใด พวกเราถูกทำให้กลายเป็นเหยื่อ วันนั้นเป็นวันเกิดของครู สามสิบปีผ่านมาแล้ว แม่และพี่สาวของพวกเราถูกฆ่าตาย” หยาดน้ำตาปรากฏอยู่ในดวงตาสีเขียวหยก เธอกำลังหวนนึกถึงความทรงจำที่แย่ที่สุด อเล็กซิสกอดเข่าตัวเอง ไม่แม้แต่กะพริบตา
“พวกตำรวจพยายามลากตัวมอลลี่ พี่สาวของพวกเราไปกับพวกเขา พวกเขาบอกว่าพี่สาวของครูเป็นตัวอันตรายต่อสหพันธ์ แม่ปกป้องพี่ และเธอก็ถูกยิง กระสุนนั้นสังหารคนทั้งสองทีเดียว วันเกิดของครูพังเละเทะไม่เป็นท่า แม้แต่ตอนนี้ ครูยังจำดวงตาของพี่ได้ ดวงตาที่ที่ค่อย ๆ อับแสงลงตอนที่เธอกำลังจะตาย สิ่งเดียวที่ครูกับแมรี่ไม่มีวันได้เห็นคงเป็นพลังพิเศษของพี่ พี่ตายไปก่อนที่ครูจะเห็นว่าเธอมีความสามารถแบบไหน หรือบางที เธออาจจะตายทั้งที่ไม่มีความสามารถที่ว่าเลยด้วยซ้ำ”
“หนูเสียใจค่ะ ครูโดบี้ส์” อเล็กซิสรู้สึกแย่เมื่อได้ยินเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ “ครูไม่จำเป็นต้องเล่าให้พวกเราฟังแล้วก็ได้ค่ะ ถ้ามันทำให้ครูรู้สึกแย่”
ครูสาวสั่นหน้า “ไม่จ้ะ เดวิส ครูต้องเล่าให้พวกเธอฟัง พวกเธอต้องรู้ ทุกคนต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเกิดเรื่องร้ายวันนั้น ครอบครัวของพวกเราย้ายบ้านถึงสองครั้ง เพื่อหนีจากความทรงจำแย่ ๆ ที่คอยหลอกหลอน แมรี่กับครูพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวไหนอีก ครูไม่อยากให้นักเรียนของครูต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกับพี่สาวของครู ครูรักพวกเธอทุกคนและอยากปกป้องพวกเธอ แต่พวกเราก็ไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้ เจสเซ่นส์ ความสามารถในการคิดคำนวณของเธอเหนือกว่าคนอื่นก็จริง ใช่ มันไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่ครูกลัว ครูกลัวจนเกินเหตุ กลัวว่ามันจะดึงดูดความสนใจของคนพวกนั้น ครูก็เลยปรับเปลี่ยนข้อสอบที่เธอทำก่อนจะส่งไปยังสำนักงานการศึกษาส่วนกลาง เธอยังคงได้เอเหมือนเดิม แต่เธอไม่ควรได้เอเพราะคะแนนเต็ม ครูทำเกินไป...และมันก็ทำให้เธอ...นักเรียนของครูถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย”
เธอหันมายังอเล็กซิส
“เดวิส ความจำของเธอนั้นเยี่ยมยอดเหลือเกิน แต่เพราะแมรี่ได้ใส่ข้อมูลเท็จลงในประวัติการรักษาของเธอแล้ว และเธอก็ไม่ใช่คนอวดอ้างอะไร ครูก็เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแมรี่เพียงคนเดียว”
“ผมไม่เคยทราบว่าสองคนนี้มีมันสมองเทพกันขนาดนี้” เวดพึมพำ
“ไม่ใช่สมองเทพหรอก” อเล็กซิสแก้ “แค่ทักษะธรรมดาเฉย ๆ”
“ใช่จ้ะ แค่ทักษะหนึ่ง พวกเราคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องพวกเธอ แต่ถ้าพวกเขาไม่พบว่าพวกครูทำอะไรแบบนี้ พวกเขาก็จะไม่สอบสวนพวกเธอ พวกตำรวจคงมองแค่ว่า มันเป็นเรื่องที่คาร์เตอร์สร้างขึ้นแล้วก็จะปล่อยพวกเธอออกไป”
อเล็กซิสคิดถึงพ่อและแม่ของตัวเอง ทั้งสองยืนกรานว่าพรสวรรค์นี้เป็นเพียงพรสวรรค์ธรรมดา แต่เธอไม่ควรอวดลักษณะพิเศษนี้กับใคร เพราะมันอาจทำให้คนอื่นรำคาญและเกลียดขี้หน้าเอาได้ มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เวลาเห็นคนทำอะไรเกินหน้าเกินตา ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าพวกเขาพยายามปกป้องเธอเหมือนที่ครูโดบี้ส์และพยาบาลสตีเว่นทำ บางครั้งพรสวรรค์ก็ไม่ต่างจากคำสาป
“หนูไม่รู้ว่าเราควรจะโทษใคร หนูไม่เห็นว่ามันจำเป็นด้วยซ้ำ” อเล็กซิสเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในขณะนั้น “พวกเขาต้องการจับพวกเราอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าไม่ใช่พวกเรา คนอื่นก็จะเป็นเหยื่อแทน ไม่ใช่เพราะพวกคุณหรอกค่ะ ยังไงพวกเขาจะทำให้พวกเราเป็นคนผิดอยู่ดี พวกเขาสามารถปล่อยเวดออกไปได้แต่ไม่ทำ ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นคนผิดหรอกค่ะ ครูโดบี้ส์ เพราะมันอยู่ที่ตัวระบบและคนใช้ระบบต่างหาก คาร์เตอร์อาจจุดไฟขึ้น แต่ถ้าไม่มีเชื้อเพลิง พวกเราคงไม่นั่งกันอยู่ตรงนี้”
“เธอพูดถูกนะครับ” ออสโล่ผงกหัวหงึก ๆ
“เชื้อเพลิงเหรอ ฉันนี่แหละ เชื้อเพลิง” พยาบาลสาวพูดเสียงแผ่ว “...เป็นเพราะพวกเรา พวกเขาเลยรื้อค้นข้อมูลในระบบของเขตทั้งหมด เด็กคนอื่นก็จะถูกจับ ถ้าเกิด...เม็ก! ถ้าเกิดพวกเขาเจอเด็กคนอื่นล่ะ เพราะพวกเราแท้ ๆ” น้ำตาเธอไหลเป็นสาย นางโดบี้ส์ปลอบโยนน้องสาว
“คุณไม่ใช่เชื้อเพลิงหรอกค่ะ” อเล็กซิสโต้ “ทั้งระบบกฎหมาย ทั้งรัฐบัญญัติ...และคนที่นั่งอยู่เบื้องหลังรัฐบาล...คนพวกนี้ต่างหาก พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับพวกเรา”
เด็กสาวนั่งมองเท้าตัวเองแม้ไม่ได้สนใจมันจริง ๆ เธอสงสัยว่าเคยรู้สึกอย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านี้ ทุนการศึกษาคือเป้าหมายที่เธออยากเอื้อมให้ถึงมาโดยตลอด แต่ถ้าหากเธอได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับระบบอุบาทว์และวงจรอำนาจเบ็ดเสร็จที่ปราศจากความเที่ยงธรรม การสวมบทบาทเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาเลยสักนิด
“เพราะเมื่อก่อนพี่เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาเหมือนเธอไง แต่ตอนนี้โตพอเข้าใจอะไร ๆ แล้ว” คำพูดของเจสซี่ดังขึ้นมาในหัว
แต่มันคงสายไปสำหรับฉันแล้วล่ะ เจสซี่
“แต่ฉันว่า พวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” คราวนี้ออสโล่แย้ง “เราถึงอยู่ในนี้ไง มันจบแล้ว พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากยอมรับความจริง ผมไม่โทษคุณครูหรอกนะครับ ครูตั้งใจช่วยผม มันมาจากเจตนาที่ดี ถ้าผมจะโทษใคร ผมคงโทษโชคชะตา ชีวิตของผมมันจบแล้ว ลาก่อนอนาคตอันรุ่งโรจน์” จากนั้นเขาเขยิบกายกลับไปยังที่ของตัวเอง ยอมรับชะตากรรมโดยจำนน
ไม่มีใครพูดอะไรอีก แต่ความเงียบสะท้อนให้เห็นว่าทั้งหมดเห็นด้วยกับสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าวไปเมื่อครู่
พวกเขาไม่ตั้งคำถามอะไรต่ออีกแล้ว เพราะครูโดบี้ส์แทบจะไม่มีแรงพูดคุยต่อ พวกเขาปล่อยให้เธอพักผ่อนกับน้องสาว ส่วนเบลินดาเอาแต่ร้องไห้ ทว่าไม่มีใครสนใจที่จะปลอบ เพราะทุกคนต่างแบกรับอารมณ์สิ้นหวังของตัวเองเอาไว้ อเล็กซิสนั่งพิงกำแพง พยายามจัดการความคิดตัวเอง มันจบแล้วดังที่ออสโล่ว่า ลาก่อนชีวิตมหาลัย ลาก่อนเพื่อนฝูง ไม่มีความฝันให้ต้องไล่ตามอีกแล้ว
ตอนเย็น พวกเขากินอะไรแทบไม่ลง ไม่มีใครแจ้งความคืบหน้าหรือข่าวใหม่ อเล็กซิสเลยไม่รู้ว่าเธอจะไปจากที่นี่เมื่อไร และพวกตำรวจจะอนุญาตให้ครอบครัวเข้าเยี่ยมได้ตอนไหน
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราไม่รู้เรื่องข้อมูลเท็จเลยนะครับ”
อเล็กซิสกับเพื่อน ๆ พยายามชะโงกหน้ามองผ่านลูกกรงทันทีที่ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหม่เข้ามา เด็กคนอื่นเริ่มถูกคุมตัวมาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้องของอเล็กซิส และตอนนี้แมรี่ สตีเว่นร้องไห้คร่ำครวญอีกรอบ
“ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าเธอทำอะไร!”
ครูโดบี้ส์เอาแต่มองน้องสาวที่นอนอยู่บนตัก อเล็กซิสรู้ว่าเธอยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี เด็กกลุ่มใหม่ที่ถูกจับเข้ามาตะโกนด่าหญิงสาวทั้งสอง รวมทั้งเบลินดาด้วย เด็กสาวนั่งแอบอยู่ในมุมของตัวเอง เอามือปิดหูไว้ทั้งสองข้าง
“เฮ้ พวกนาย บอกพวกเราหน่อยสิว่าพวกเขาจะทำอะไรกับพวกเราต่อ” แอนโธนี่
เฮอร์นานเดซถามเสียงดัง เขาอยู่อีกห้องหนึ่งอเล็กซิสอยากให้เขาหุบปาก จะตอบไปตามตรงก็อาจทำให้ตื่นกลัวไปก็ได้ แต่ถ้าเก็บปากเงียบก็คงส่งผลไม่ต่างกัน เธอไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“เดี๋ยวก็โดนไฟฟ้าช็อกกันหมดนั่นแหละ หุบปากได้แล้วโว้ย รำคาญ” เวดตะโกนตอบ แอนโธนี่ไม่กล้าถามต่ออีก บางทีคำตอบของเวดคงทำให้เขาตกใจพอแล้ว
“นายไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์กับพวกเขา เดี๋ยวได้กลัวกันหมดพอดี” อเล็กซิสต่อว่า
เวดไม่ตอบ เขาเอาแต่จ้องแขนที่มีแต่รอยฟาด
อย่างไรก็ตาม เด็กกลุ่มใหม่ยังคงคุยกันเจื้อยแจ้ว ส่วนพวกที่ถูกขังอีกสองห้องนั่งเงียบ (ไม่นับเสียงร้องไห้ของนางพยาบาลและเบลินดา) พวกน้องใหม่ยังมีความหวังอยู่ เหมือนกับพวกอเล็กซิสในตอนแรกไม่มีผิด จนกว่าพวกเขาถูกพาไปยังห้องนั้น ความหวังจึงดับลง อเล็กซิสนั่งมองเพดานด้วยสายตาเหม่อลอยจนหลับไป
เธอฝันว่าได้รับการปล่อยตัว มีการเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน พวกเขาถูกตัดสินใหม่ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงดังนอกห้องขังเหมือนกับมีใครกำลังเดินอยู่ เมื่อนั้นเธอตื่น แต่เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น อเล็กซิสไม่อาจลืมตาขึ้นได้แม้สติกลับมาอยู่ที่เดิมแล้ว เพราะง่วงจนหนังตาหนักถ่วงเอาไว้
“อย่าแตะต้องพวกเขานะ”
“พวกเธอจะมาแทนไหมล่ะ”
ใครพูด แต่ก่อนที่อเล็กซิสจะลืมตาเพื่อดูว่าใครพูดอะไร สติของเธอจมลงสู่นิทราอีกครั้ง
มือและเท้าเย็นเยียบขึ้นมา แต่บลูพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ่งเห็นทุกคนในห้องนี้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกก็ยิ่งสะกดกลั้นไว้ข้างใน แม้ภายในใจไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อนระหว่างกลัวตายกับสูญเสีย“พวกนั้นว่าไง แล้วเจ้าคนที่คุมหุ่นยนต์ได้ล่ะ”เมลิสซ่าส่ายหน้า “เด็กคนนั้นใช้พลังไม่ได้ แต่พวกเขาดูจะจัดการกับของพวกนี้ได้บ้าง” เธอหลิ่วตาไปทางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่รายล้อม “โคดี้พยายามจะปลดล็อกระเบิด ส่วนเรมีกำลังรวบรวมข้อมูลกับดักในตึกนี้ทั้งหมด แล้วก็เร็กกี้...” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก “เขาเคยทำงานในศูนย์วิศกรรมการบินและอวกาศของฟิวเจอร์ริสติกเลยพอจับจุดอะไรได้บ้าง ที่ฉันทำได้คือหาอะไรก็ได้ที่จะพอให้พวกมีมันสมองคิดออก เพราะคนอย่างฉัน แค่เปิดเครื่องยังงง”“ยาน?” ริงโก้ไม่แน่ใจนัก “เราจะหนีด้วยยานเหรอ”“อื้อ” เมลิสซ่าพยักหน้า “มันเป็นวิธีเดียวนี่”“แล้วคนอื่นล่ะ” เดสซิเรถามขึ้น “ยังมีคนกระจายอยู่ทุกเขต ซ่อนตัว หาท
เทสซ่านิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนสมองจะทำงานใหม่ เธอกลืนน้ำลายแล้วถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น พวกนั้นจะระเบิดตึกนี้...หรือทอยซิตี้?”แม้เป็นคนพูดเอง แต่เมื่อมันออกจากปากไปแล้ว เลือดในกายกลับเย็นวาบลงจนขนลุกไปหมด อเล็กซิสหน้าซีดลง สีหน้าแสดงออกว่ากำลังใช้สมองวิเคราะห์หนัก“เราต้องบอกลู” เทสซ่าสรุป ถ้าจะนับคนที่มีมันสมองดีเลิศ นอกจากเรมี อเล็กซิส และโคดี้แล้ว เธอนึกถึงลู หญิงสาวค่อนข้างเจ้าแผนการและมีประสบการณ์มากกว่า น่าจะเข้าใจตัวเลขนี้ได้ดีกว่า“บางที...” เรมีรุดเข้าไปที่โต๊ะแสตนเนอร์ อเล็กซิสเบี่ยงตัวเดินออกมาให้เขาจัดการ หน้าจอปรากฏข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เทสซ่าสบตากับรีเวอร์ แววตาของเขาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ถึงกับยอมแพ้3:24:34เทสซ่าจ้องมันราวกับว่าเธอจะมีพลังจิตสะกดให้หยุดได้...พลังจิต “โคดี้!” นึกได้แล้วก็หุนหันวิ่งออกไปแม้จะหลับสนิทไปไม่กี่ชั่วโมง แต่โคดี้ใช้พลังหนักหน่วงมากระหว่างอยู่นอร์ธ เลือดกำเดาออกถึงสองครั้ง และเมื่อครู่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในห้อง มีเพียง
บลูวิ่งตรงไปหาเพียซ เหมือนเขาพยายามจะพูด แต่ดูเหมือนสูดอากาศเข้าปอดมากกว่า เลือดไหลทะลักออกมาจากอก เดสซิเรย่อตัวข้าง ๆ ขณะที่โอลิแวนผลักบลูออกไป“ไม่เป็นไร เพียซ อดทนหน่อย ฉันจะทำให้นายไม่เจ็บ” แต่เสียงหญิงสาวสั่น “นายต้องอดทน ฉันจะพานายไปหาหมอ”หมอหรือพวกนั้นตายหมดแล้วบลูสบตากับเอมอนและริงโก้ พวกเขาส่ายหน้าเหมือนไม่อยากยอมรับความจริง ยังไม่อยากจะเชื่อ แค่เสี้ยววินาทีแค่นั้น“แกแม่งอึดจะตาย!” เขาหัวเราะออกมา “อดทนอีกนิดเว้ย” แต่ประโยคหลังเสียงกลับสั่น คำพูดที่ออกมาเสแสร้งสิ้นดี ในอกมีช่องว่างขยายเป็นวงกว้าง มือของเขาสั่นเพียซยกมือห้ามไม่ให้เดสซิเรใช้พลัง เขารู้ตัว...เขารู้ว่ามันสายไปแล้ว ต่อให้เธอใช้พลังให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เลือดที่ไหลออกมาไม่มีวันหยุด บาดแผลฉกรรจ์เกินไป “รีบ...เตือน...” มือนั้นตกลงข้างตัว ดวงตาสีฟ้าของเขาไม่ได้จับจ้องกับสิ่งใดอีก มันขาดประกายแห่งชีวิตไปแล้ว“ไม่ ๆ” โอลิแวนประคองศีรษะแฟนหนุ่มแนบอก เขาพูดอยู่คำเดียว “ไม่ ๆ”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่บลูเข้าไปข้างใน ศูนย์บัญชาการกลางก็เหมือนศูนย์รวมข้อมูล หากมีปัญหาอะไร ต้องการสอบถามเรื่องใดก็มาที่นี่ แต่เขาคุ้นชินกับสถานที่ยามเปิดไฟสว่างจ้าไม่ใช่มืดและรกร้าง มีเจ้าหน้าที่ประจำการทุกจุดหรือแม้แต่เสียงอัตโนมัติ ลิฟต์ข้างในยังใช้การได้แต่ไม่มีใครยอมขึ้น พวกเขาเลือกใช้บันได บางห้องเปิดทิ้งไว้ บางห้องปิดล็อกแน่นหนาบลูเดินวนไปวนมาอยู่บนชั้นสาม ยังไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต หรือว่าพวกนั้นหนีไปหมด แล้วเสียงเมื่อกี้ล่ะ? เขาเดินวนอยู่รอบห้องที่น่าจะเป็นส่วนสำนักงาน โต๊ะทำงานถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ กั้นด้วยกระจกขุ่นขนาดประมาณอก แต่ละโต๊ะวางคอมพิวเตอร์จอบางเฉียบ หน้าจอปิดสนิท บนโต๊ะไม่มีเอกสารใด ๆ เลย เหลือไว้เพียงข้าวของเล็ก ๆ เช่นแก้วกาแฟ ปากกา แล้วก็สมุดจด รอบห้องล้อมไปด้วยกำแพงกระจกขุ่น ตรงมุมเพดานมีกล้องวงจรปิด เขาเห็นเดสซิเรแตะไปที่หน้าจอแล้วผงะ“มีอะไร”“ตัวเลข” เธอชี้ไปที่หน้าจอ คอมพิวเตอร์ของที่นี่มีขนาดเล็กบาง บางครั้งหน้าจอก็โปร่งแสง บางครั้งขุ่นมัว เดสซิเรใช้นิ้วปาดทีเดียว หลังจอที่ขุ่นอยู่ก็ปรากฏตัวเลขขึ้นให้ท
ไอ้พวกไร้สมอง หัวกลวง!ก่อนหน้านี้ปืนในมือยังจ่อเล็งไซบอร์ก เวลานี้ปลายกระบอกกลับหันใส่พวกเดียวกัน พวกสมองน้อยตะโกนอ้อนวอนขอให้กลุ่มต่อต้านคุกเข่าวางอาวุธ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง บลูไม่รู้ว่าตัวเองสบถไปกี่คำ แต่มันอาจจะมากกว่าตลอดชีวิตที่เขาเคยสบถใส่รูปของพ่อที่ตายไป เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพียงได้ยินนิทานหลอกเด็ก นักโทษบางคนกลับหลงเชื่อคำพูดผู้คุม หาได้ไตร่ตรองถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่“พวกมึงบ้าไปแล้วหรือไงวะ กะอีแค่เสียงตามสายบอกว่าถูกรางวัล!” เขาตะโกนต่อ “แล้วแม่งก็เชื่อ สัตว์ กูอยู่มาห้าปียังไม่เคยได้สิทธิพิเศษนี้เลย”“แต่พวกเราไม่ได้อยากสู้แต่แรก” นั่นคือเหตุผลของคนโง่กูก็ไม่ได้อยากสู้หรอก ห่า เขามองหน้ามนุษย์ลิงแต่ละตัว บลูไม่ได้อยากให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ ไฟ ควัน ไหนยังจะเลือดและคนตาย อากาศก็หนาวเหน็บถึงกระดูก ยังมาเจอกับสภาวะล่มสลาย แต่มันก็สายเกินกว่าจะกลับไปยืนฝั่งไม่หือไม่อือ ห้าปีในทอยซิตี้สอนให้เขารู้จักทิ้งความหวังแล้วสร้างขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้ความหวังของเขาคือใช้ชีวิตอ
เสียงตามสายเหมือนเสียงแสตนเนอร์ อเล็กซิสจำได้ดีทีเดียว นอกจากทรอยแล้ว เจ้าหน้าที่เธอคลุกคลีด้วยมากที่สุดก็คือเขา“เราไม่ทันตั้งตัวเลย กลุ่มเสี่ยง...พวกคุณพัฒนาไปมากเหลือเกิน มากจนอันตราย มากจนเราไม่อาจต้านทาน แต่พวกคุณก็ยังจำเป็น ยังต้องอยู่ เอชโอวันหมายถึงอาการผิดปกติ คุณอาจจะมองว่ามันเป็นความพิเศษ แต่ก็ดูสิ่งที่พวกคุณทำกับทอยซิตี้ ทั้งหมดตอกย้ำว่าทำไมกลุ่มเสี่ยงต้องอยู่ในนี้ ทำไมพวกเราต้องหาคำตอบ ทำไมพวกเราต้องหาทางรักษา”“บลา บลา” โคดี้ตะโกน “พวกมันพยายามเจรจาโว้ย”“แล้วกลุ่มต้องสงสัยที่ไม่แสดงอาการเล่า พวกคุณยอมรับได้หรือ จู่ ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ทำลายทุกสิ่ง ทำลายชีวิตสงบสุข ทั้งที่อีกไม่กี่เดือน พวกเรารวบรวมรายชื่อผู้ที่อาศัยในทอยซิตี้ในฐานะกลุ่มต้องสงสัยจนไม่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงไว้ อีกไม่กี่เดือน รายงานฉบับนี้จะถูกส่งไปยังทางการ และเมื่อนั้น เราจะส่งพวกคุณกลับบ้าน...”อเล็กซิสกลืนน้ำลาย เธอเข้าใจแล้วว่าพวกเขาต้องการอะไร“อย่าไปฟัง” ใครคนหนึ่งตะโกน แต่ปืนในมือบางคนตกลงข้างตัว หลายคนตกตะลึงก