“อะไร เกิดอะไรขึ้น”
เขายกปืนขึ้น แต่ศัตรูยังไม่โผล่มา
เพียงอึดใจเดียว เสียงฝีเท้าคนวิ่งจำนวนมากมายมหาศาลดังขึ้น มันดังปึง ๆ สะท้อนมาแต่ไกล ใกล้ขึ้น ดังขึ้น ใกล้ขึ้น ดังขึ้น จนแม้แต่หัวใจของเขายังเต้นแรงตามจังหวะพวกมัน “หนีเร็ว” ออสโล่เตือนสติ “ทำอะไรกันอยู่”
เขาพูดถูก แต่... “ไม่ใช่ทางนั้น มันมาจากทางที่พวกเราจะไป” เบนตะโกน คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันพุ่งตัวไปทางซ้าย ขณะที่บางคนโง่เกินกว่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา บ้างยังมึนงงและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหน จนกระทั่งอเล็กซิสตวาดให้พวกเขาขยับก้นออกจากที่นี่แทนที่จะยืนบื้อโดนกำจัด
“พระเจ้า พวกมันมาแล้ว”
เหมือนสติไม่อยู่กับตัว เหมือนร่างกายไม่ขยับตามคำสั่ง สิ่งที่พวกเขาต้องสู้คือ มนุษย์...ไม่ใช่ มันไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนกับมนุษย์ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ อะไรวะนั่น ดวงตาพวกมันว่างเปล่า การเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติแต่รวดเร็วและมุ่งจู่โจมโดยไม่เลือกหน้า ไม่สิ ไม่ใช่จู่โจม มันหมายจะกินพวกเขา
เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเท่านี้มาก่อน พวกมันกินมนุษย์ราวกับอาหารอันโอชะ แต่ละตัวทยอยสังหารพวกเต่าคลานและมีทักษะการเอาตัวรอดต่ำ ด้วยพละกำลังที่มากเกินกว่าปกติ พวกมันจึงสามารถฉีกทึ้งร่างเหยื่อแล้วกัดกินก้อนเนื้ออย่างหิวโหยได้อย่างง่ายดาย เสียงกรีดร้อง กลัว เจ็บปวด ดังระงมไล่หลัง เสียงนั้นตามหลอนไปตลอดทาง
แต่พวกนั้น...มนุษย์นี่
มันใส่เสื้อผ้าเหมือนมนุษย์
นี่ไม่ใช่เกม เบน ไม่ใช่ เขารำพึง ต้องโง่ขนาดไหนถึงคิดตื้นเขินขนาดนั้น นี่มันโชว์ฆ่าคนชัด ๆ
ชั่ววินาทีนั้น คลื่นพลังบางอย่างซัดกระแทกกลุ่มสัตว์ประหลาดจนพวกมันถูกซัดถอยออกไป แต่ไม่มีใครหยุดพวกมันได้ มันเริ่มคลานและทำท่าจะลุกวิ่งไล่ต่อ อเล็กซ์แสดงพลังของตัวเองออกมาในเวลาที่ประจวบเหมาะ ในขณะที่เบนลืมว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่จะให้ทำอะไรได้ ความสามารถของเขามีขีดจำกัด เขาสามารถควบคุมสิ่งของได้ แต่ไม่ใช่กับสิ่งมีชีวิตหรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต สุดท้ายจึงใช้ปืนที่ตัวเองถืออยู่แทน และเมื่อเสียงปืนของเขาดังขึ้น คนอื่นจึงได้สติว่าตัวเองถืออาวุธอยู่เช่นกัน เสียงสาดกระสุนสะท้อนไปตามกำแพง อย่างที่เขาคิด คนส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกใช้ปืนมาก่อน แทนที่จะสังหารตัวประหลาดอย่างเดียวกลับถูกเหยื่อที่กำลังถูกกัดกินล้มลุกคลุกคลานดึงรั้งพยายามจะให้ช่วยพาหนีไปด้วย แต่ตอนนี้คงไม่มีใครสนเรื่องช่วยชีวิตคนอื่นแล้ว ทุกคนต้องปกป้องตัวเองก่อนทั้งนั้น
เมื่อสติของเขากลับคืน เบนใช้พลังจิตเลื่อนสิ่งของที่อยู่รอบกายสร้างเป็นเครื่องกำบังไม่ให้พวกมันวิ่งตามได้ทัน โนเอลวิ่งนำทุกคน พยายามเสาะหาที่หลบจนเจอห้องห้องหนึ่งและทั้งหมดเลือกใช้เป็นที่หลบภัย หลายชีวิตกรูเข้าไปด้านใน ปิดประตู เลื่อนเก้าอี้ โต๊ะ ทุกอย่างที่มีขวางประตูไว้ไม่ให้ใครเข้ามา ทั้งมนุษย์และสัตว์ประหลาด
“ยังมีคนอยู่ข้างนอก!” ใครสักคนตะโกนลั่น แต่ไม่มีใครกล้าแตะเครื่องกำบัง เสียงกรีดร้องของเหยื่อด้านนอกบรรยายสภาพก่อนตายโดยไม่จำเป็นต้องออกไปให้เห็นกับตา เบนยืนนิ่ง พูดไม่ออก มันเป็นครั้งแรกที่เขากลัวไปถึงขั้วหัวใจ
“มันคืออะไรวะนั่น” นั่นคือประโยคที่ออกจากปาก “พวกมันคืออะไร”
ทั้งสองจ้องตากัน เบนกับอเล็กซ์ต่างพูดไม่ออก ดวงตาสีนิลของเพื่อนมีแต่ความสับสนและหวาดกลัว
“ฉันจะไม่ตายแบบนั้น ไม่แน่นอน” เขาสาบาน
“ซอมบี้ พวกมันเหมือนซอมบี้ แต่วิ่งเร็วฉิบหาย” อเล็กซ์เกาหัว “ใช่ไหม ใช่แบบนั้นหรือเปล่า”
เขามองไปรอบห้อง ทุกคนที่เขารู้จักยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครตาย ซาร่าห์ยืนตัวสั่นเกาะเวดที่ยืนนิ่งคล้ายกับถูกแช่แข็งไว้ อเล็กซิสและออสโล่จับมือกันราวกับชาตินี้จะไม่ยอมแยกจากกัน
มินนี่กอดหลังโนเอลแน่น เบ็กกี้ทำแบบเดียวกันแต่กับเรมี เทสซ่ายืนพิงกำแพง ก้มหน้า เขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอเพราะผมสีน้ำตาลเข้มนั้นปรกไปทั่วหน้า แต่ดูจากอาการสั่นแล้วคงเหมือนคนอื่นประตูและเครื่องกำบังสั่นไหวอย่างรุนแรง พวกข้างนอกต้องการที่จะรุกล้ำเข้ามา อาจจะเป็นคนที่ยังเหลือรอด หรือไม่ก็พวกซอมบี้ หรืออาจจะทั้งคู่ คำถามคือ แล้วพวกเขาจะออกไปได้อย่างไรโดยที่ไม่ทำตัวเป็นอาหารจานด่วนให้กับพวกสัตว์คล้ายมนุษย์เหล่านั้น
หนึ่งชั่วโมงสามสิบห้านาที กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยไม่อาจอยู่รอดจนจบการทดลอง
เย็นวันนั้น ไมเคิลปลีกตัวออกจากห้องอีกครั้ง วัน ๆ ได้แต่นอนและนั่ง ชีวิตน่าเบื่อไม่น้อย เขาตามหาเทสซ่ากับเรมีก็พบว่าเพื่อนสาวออกไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ กับกลุ่มเซนแล้ว น่าอิจฉาชะมัด ส่วนเรมีตัวติดกับโคดี้เพื่อศึกษาระบบในนี้ นาฮีมานายืนกรานว่าทุกคนต้องเรียนรู้เทคโนโลยีไว้ อย่างน้อยถ้าเกิดมีระเบิดอีก พวกเขาจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรโดยไม่พึ่งพลังของโคดี้แต่ไม่มีใครอยากเจอระเบิดอีกหรอก แม้ว่ามันจะเป็นระเบิดรักษาสิ่งแวดล้อมก็ตามตึกของกลีถูกสร้างมาเพื่อหลบซ่อนสายตาคนจริง ๆ รอบข้างจึงรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ต้นไม้เหล่านี้สูงตระหง่าน ไม่ว่าจะเดินไปทางก็มีแต่สีขาวโพลน หิมะสูงถึงข้อเท้า ไมเคิลมองไปรอบ ๆ มีไฟส่องทางเดินแค่เพียงห้าสิบเมตรจากตัวตึก เทสซ่าบอกว่าคนในนี้ก็ช่วยกันสร้างงานชิ้นหนึ่งขึ้นมา เนื่องจากไมเคิลเฝ้าอเล็กซิสตลอดจึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะหญิงสาวไม่ได้เฉลย แต่แววตาคู่งามยามพูดถึงสิ่งนั้นกลับแฝงด้วยความเศร้า คิดดังนั้นจึงเดินไปตามทางดังกล่าว มีแสงไฟสลัวให้เห็นราง ๆ เขาลอดผ่านกิ่งไม้แช่แข็ง ต้นตอของแสงมาจากกองไฟขนาดใหญ่ มันตั้งอยู่ตรงกลางก้อ
ห้องพักส่วนใหญ่จะอยู่ชั้นบน กลุ่มที่อยู่มาก่อนย้ายเตียงพยาบาลมาแทนเตียงนอน มันมีจำนวนไม่เยอะ เมื่อมีคนเข้ามาเพิ่ม พวกเขาก็สละเตียงให้คนเจ็บ และเมื่อคนเจ็บหายดี พวกผู้หญิงก็ได้สิทธิก่อน หากเพราะไมเคิลไม่อาจอยู่ห่างอเล็กซิสได้ เขาคงช่วยคนอื่นจัดของแล้วก็หาเสบียง เสบียงเป็นหัวข้อที่ทุกคนกังวลมากที่สุด เพราะจำนวนคนมีมากและอากาศยังหนาวเย็น การหาอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีใครเคยล่าสัตว์ ไมเคิลรู้ดีว่าหน้าที่เหล่านี้เหมาะกับเขามากแค่ไหน แต่ด้วยข้อจำกัดจึงได้แต่แนะนำไป อย่างน้อยทุกคนล้วนจับอาวุธได้อย่างคล่องแคล่ว ปัญหาก็คือ หาเหยื่อและเครื่องปรุงเขาเปิดประตูห้องเข้าไป ฝาแฝดของเขายังคงนอนนิ่งเหมือนเดิม แต่คนที่นั่งเฝ้าอยู่มองด้วยสายตาคาดคั้นครั้งนี้เขาอธิบายแบบที่นาฮีมานาว่า สีหน้าของอเล็กซ์จึงคลายกังวลลง แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่พวกเขาเห็นเธอนอนแบบนี้ไม่ได้ทำให้ดีใจได้สุดยาระงับความเจ็บปวดที่พวกเขามีก็เหลือเพียงห้าเข็มเท่านั้น ตั้งแต่อเล็กซิสนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา อเล็กซ์เข้มงวดกับไมเคิลมากที่สุด หากเขาไปไหนไกลก็จะรีบตามหา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วงอเล็กซิส แต่การอยู่ติดกับเ
ตึกหกชั้นตั้งโดดอยู่ในป่าทึบ มีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนอำพรางสายตา ฉากเบื้องหลังคือภูเขาหิมะตั้งตระหง่าน อาคารนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบุรุษวิปริตผู้หนึ่งด้วยจุดประสงค์อันวิปลาสแต่กลับกลายเป็นที่หลบภัยชั้นยอด เนื่องจากมันไม่ใช่ที่พักแรม ผู้อาศัยอยู่ก่อนจึงจัดวางเฟอร์นิเจอร์ใหม่ แบ่งพื้นที่ใหม่เพื่อให้ดูน่าอยู่มากขึ้น แต่กลิ่นอายของสถานทดลองทางวิทยาศาสตร์ยังคงอยู่ แม้อยู่ห่างจากทอยซิตี้ก็ใช่ว่าไกลเกินเอื้อม ผู้รอดชีวิตจึงยังคงหลงอยู่ในดินแดนอันแสนลึกลับดังเดิมร่างของฝาแฝดนอนหายใจแผ่วเบา หากมองเพียงสีหน้าคงเหมือนเจ้าหญิงที่กำลังติดกับดักในห้วงนิทรา เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจะเห็นว่าเธอยังคงสวมชุดเดิมจากวันนั้น ของเหลวสีแดงคล้ำแห้งกรังเกาะติดกาย มีองครักษ์สองนายประกอบคอยดูแลตลอดเวลาราวกับกลัวแม่มดใจร้ายมาขโมยร่างอเล็กซิสยังคงสภาพดังเดิมแม้ผ่านไปหลายวัน ไม่ตาย ไม่ฟื้น และเขาไม่อาจอยู่ห่างจากเธอได้เกินครึ่งวันอย่าจากฉันไป เธอสัญญาแล้วนะ เขาพูดกับเธอผ่านความคิดในหัว หวังว่าพวกเขาจะสื่อถึงกันได้พวกเขารอ รอ รอจนไมเคิลตัดสินใจไปขอร้องนาฮีมานาอีกครั้ง
“พ่อ” น้ำเสียงชายหนุ่มต่ำลง “ผมไม่เชื่อ มันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ผมไม่เชื่อว่านั่นเป็นภาพจริง มันเป็นไปได้ เรายังไม่รู้ว่าสถานที่อยู่ไหน ขนาดประกาศข่าวไฟไหม้โครม ๆ ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ ผมไม่เชื่อเด็ดขาด มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ พวกเขาจึงตัดสินใจพับโครงการ แต่ไม่ใช่เพราะไฟไหม้และมีคนตาย”“แล้วก็ประกาศให้กลุ่มเสี่ยงเป็นภัยที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุด ถ้าพบเจอจะถูกกำจัดทิ้งทันที” คาเลบพูดต่อเขาจำได้ ข่าวรายงานว่ากลุ่มเสี่ยงเป็นผู้ก่อไฟ“พ่อ เป็นไปได้ไหมว่าน้องหนีออกไปได้ น้องอาจอยู่ในกลุ่มที่คิดหนีก็เลยดึงรูปพวกเราออกไป แถมเครื่องเล่นซีดีก็หายไป” เขาเปิดกล่องซีดี “นี่ไง บางอัลบั้มแผ่นหายไป แน่สิ ยัยตัวเล็กต้องเอาคาร์เมนไป นั่น (เปิดดู) ไม่ได้หายไปแผ่นเดียว ของวงนี้ก็ด้วย” เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเข้มของคาเลบกลับมองอย่างเศร้าสร้อย“ก่อไฟแล้วเผาทุกคนวอด นั่นใช่น้องหรือ”แน่นอนว่าไม่ใช่“มันอาจมีอะไรผิดพลาด...พวกเขาจะหนี แต่ดันกลายเป็นอุบ
เจสซี่กลอกตา พวกเขาทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง ไบรซ์เห็นข่าวเขาคบกับจูน อดีตเพื่อนสนิทของอเล็กซิส เธอโกรธมากทีเดียว ไบรซ์ไม่ใช่คนโกรธใครง่าย ๆ แต่เวลาโกรธทีน่ากลัวที่สุด เธอหาว่าเขาทรยศอเล็กซิสแล้วความเป็นตัวเอง น่าขำ ขนาดน้องสาวทั้งสองยังคิดว่าเขาชอบผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์คนเราต้องจำกัดรสนิยมแค่เพศเดียวหรือไง แต่ประเด็นคือ เขาไม่ได้ชอบจูน“เราคุยกันแล้วนะ”ไบรซ์เงียบไป จากนั้นสายตัดงอนอีกแล้ว เขาส่ายหัวแล้ววางโทรศัพท์ ข้อเสียของไบรซ์คือ เวลาเธอโมโหจะใช้ความเงียบหรือตัดบทไม่พูดไม่จา ต้องรอให้เจ้าตัวเย็นก่อนถึงจะเข้าไปคุยได้ ความโกรธของไบรซ์ไม่ต่างจากน้ำแข็งเย็นยะเยือก ในขณะที่เจสซี่เป็นไฟเผาผลาญ พอหมดเชื้อก็หมดฤทธิ์ แต่กว่าไบรซ์จะละลายโทสะได้ก็ใช้เวลานานทีเธอมีแฟนยังงุบงิบจนฉันรู้เอง แล้วจะมาบังคับไม่ให้ฉันคบคนนู้นคนนี้ไม่ได้นะ นี่มันงานโว้ย เขาทำปากขมุบขมิบใส่เครื่องโทรศัพท์ประหนึ่งว่าเห็นน้องสาวอยู่ตรงนั้น ขณะนั้นชาร์ลีเดินผ่าน เด็กน้อยหยุดมองภาพครอบครัวแล้วโบกมือกับรูป จากนั้นวิ่งไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
มุมโต๊ะรับประทานอาหารก็มีแต่ขนมที่เขาซื้อมา เขาเดินออกไปที่สวนด้านหลังเพื่อข่มความโกรธ คาเลบไม่เคยทิ้งชาร์ลีไว้ในบ้านคนเดียวจนกระทั่งเบียนน่าตาย เขาก็มักไปเยี่ยมหลุมศพเธอเสมอ พูดกับเธอราวกับยังมีชีวิต เจสซี่เงยหน้ามองสภาพสวนที่เคยอุดมไปด้วยพืชพรรณ กลับต้องเจอกับสภาพผักสวนครัวเต็มไปด้วยวัชพืช ชายหนุ่มหันหน้าซบกำแพงทันที มือข้างขวาทุบอยู่สองสามทีเพื่อระบายความอัดอั้นก่อนจะตั้งสติลูบหน้าลูบตา เจสซี่มองหาคราดแล้วถางหญ้าที่บังกระถางออก จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์เช่นพวกกรรไกร เสียมแล้วจัดการกำจัดส่วนเกิน เขาพยายามตกแต่งให้มันสวยงามเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่สมัยก่อนเกลียดงานทำสวนที่สุด โดยเฉพาะเวลาแม่เรียกให้ไปช่วยตั้งแต่อเล็กซิสถูกจับไป เบียนน่ามีอาการเซื่องซึมอยู่ตลอด บางครั้งเธอก็จะแสร้งทำตัวปกติแต่ทุกคนสัมผัสได้ว่าในใจของแม่ปวดร้าว ทุกคนต่างเป็นห่วงสุขภาพจิตแต่ลืมไปว่ามันส่งผลต่อสุขภาพกายของเธอด้วย ที่สำคัญ แม่พยายามปิดบังอาการเจ็บป่วยในตัวมาตลอด อาจจะเป็นมานานแล้วก่อนเกิดเรื่องอเล็กซิสด้วยซ้ำ และเพราะพวกเขาตาบอดมัวแต่คิดว่าเธอไม่แข็งแรงเพราะความเครียดอย่างเดียว อีกอย่างเบียนน่ามีความอดท