“อะไร เกิดอะไรขึ้น”
เขายกปืนขึ้น แต่ศัตรูยังไม่โผล่มา
เพียงอึดใจเดียว เสียงฝีเท้าคนวิ่งจำนวนมากมายมหาศาลดังขึ้น มันดังปึง ๆ สะท้อนมาแต่ไกล ใกล้ขึ้น ดังขึ้น ใกล้ขึ้น ดังขึ้น จนแม้แต่หัวใจของเขายังเต้นแรงตามจังหวะพวกมัน “หนีเร็ว” ออสโล่เตือนสติ “ทำอะไรกันอยู่”
เขาพูดถูก แต่... “ไม่ใช่ทางนั้น มันมาจากทางที่พวกเราจะไป” เบนตะโกน คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันพุ่งตัวไปทางซ้าย ขณะที่บางคนโง่เกินกว่าจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา บ้างยังมึนงงและตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหน จนกระทั่งอเล็กซิสตวาดให้พวกเขาขยับก้นออกจากที่นี่แทนที่จะยืนบื้อโดนกำจัด
“พระเจ้า พวกมันมาแล้ว”
เหมือนสติไม่อยู่กับตัว เหมือนร่างกายไม่ขยับตามคำสั่ง สิ่งที่พวกเขาต้องสู้คือ มนุษย์...ไม่ใช่ มันไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนกับมนุษย์ มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ อะไรวะนั่น ดวงตาพวกมันว่างเปล่า การเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติแต่รวดเร็วและมุ่งจู่โจมโดยไม่เลือกหน้า ไม่สิ ไม่ใช่จู่โจม มันหมายจะกินพวกเขา
เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเท่านี้มาก่อน พวกมันกินมนุษย์ราวกับอาหารอันโอชะ แต่ละตัวทยอยสังหารพวกเต่าคลานและมีทักษะการเอาตัวรอดต่ำ ด้วยพละกำลังที่มากเกินกว่าปกติ พวกมันจึงสามารถฉีกทึ้งร่างเหยื่อแล้วกัดกินก้อนเนื้ออย่างหิวโหยได้อย่างง่ายดาย เสียงกรีดร้อง กลัว เจ็บปวด ดังระงมไล่หลัง เสียงนั้นตามหลอนไปตลอดทาง
แต่พวกนั้น...มนุษย์นี่
มันใส่เสื้อผ้าเหมือนมนุษย์
นี่ไม่ใช่เกม เบน ไม่ใช่ เขารำพึง ต้องโง่ขนาดไหนถึงคิดตื้นเขินขนาดนั้น นี่มันโชว์ฆ่าคนชัด ๆ
ชั่ววินาทีนั้น คลื่นพลังบางอย่างซัดกระแทกกลุ่มสัตว์ประหลาดจนพวกมันถูกซัดถอยออกไป แต่ไม่มีใครหยุดพวกมันได้ มันเริ่มคลานและทำท่าจะลุกวิ่งไล่ต่อ อเล็กซ์แสดงพลังของตัวเองออกมาในเวลาที่ประจวบเหมาะ ในขณะที่เบนลืมว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่จะให้ทำอะไรได้ ความสามารถของเขามีขีดจำกัด เขาสามารถควบคุมสิ่งของได้ แต่ไม่ใช่กับสิ่งมีชีวิตหรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต สุดท้ายจึงใช้ปืนที่ตัวเองถืออยู่แทน และเมื่อเสียงปืนของเขาดังขึ้น คนอื่นจึงได้สติว่าตัวเองถืออาวุธอยู่เช่นกัน เสียงสาดกระสุนสะท้อนไปตามกำแพง อย่างที่เขาคิด คนส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกใช้ปืนมาก่อน แทนที่จะสังหารตัวประหลาดอย่างเดียวกลับถูกเหยื่อที่กำลังถูกกัดกินล้มลุกคลุกคลานดึงรั้งพยายามจะให้ช่วยพาหนีไปด้วย แต่ตอนนี้คงไม่มีใครสนเรื่องช่วยชีวิตคนอื่นแล้ว ทุกคนต้องปกป้องตัวเองก่อนทั้งนั้น
เมื่อสติของเขากลับคืน เบนใช้พลังจิตเลื่อนสิ่งของที่อยู่รอบกายสร้างเป็นเครื่องกำบังไม่ให้พวกมันวิ่งตามได้ทัน โนเอลวิ่งนำทุกคน พยายามเสาะหาที่หลบจนเจอห้องห้องหนึ่งและทั้งหมดเลือกใช้เป็นที่หลบภัย หลายชีวิตกรูเข้าไปด้านใน ปิดประตู เลื่อนเก้าอี้ โต๊ะ ทุกอย่างที่มีขวางประตูไว้ไม่ให้ใครเข้ามา ทั้งมนุษย์และสัตว์ประหลาด
“ยังมีคนอยู่ข้างนอก!” ใครสักคนตะโกนลั่น แต่ไม่มีใครกล้าแตะเครื่องกำบัง เสียงกรีดร้องของเหยื่อด้านนอกบรรยายสภาพก่อนตายโดยไม่จำเป็นต้องออกไปให้เห็นกับตา เบนยืนนิ่ง พูดไม่ออก มันเป็นครั้งแรกที่เขากลัวไปถึงขั้วหัวใจ
“มันคืออะไรวะนั่น” นั่นคือประโยคที่ออกจากปาก “พวกมันคืออะไร”
ทั้งสองจ้องตากัน เบนกับอเล็กซ์ต่างพูดไม่ออก ดวงตาสีนิลของเพื่อนมีแต่ความสับสนและหวาดกลัว
“ฉันจะไม่ตายแบบนั้น ไม่แน่นอน” เขาสาบาน
“ซอมบี้ พวกมันเหมือนซอมบี้ แต่วิ่งเร็วฉิบหาย” อเล็กซ์เกาหัว “ใช่ไหม ใช่แบบนั้นหรือเปล่า”
เขามองไปรอบห้อง ทุกคนที่เขารู้จักยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครตาย ซาร่าห์ยืนตัวสั่นเกาะเวดที่ยืนนิ่งคล้ายกับถูกแช่แข็งไว้ อเล็กซิสและออสโล่จับมือกันราวกับชาตินี้จะไม่ยอมแยกจากกัน
มินนี่กอดหลังโนเอลแน่น เบ็กกี้ทำแบบเดียวกันแต่กับเรมี เทสซ่ายืนพิงกำแพง ก้มหน้า เขามองไม่เห็นสีหน้าของเธอเพราะผมสีน้ำตาลเข้มนั้นปรกไปทั่วหน้า แต่ดูจากอาการสั่นแล้วคงเหมือนคนอื่นประตูและเครื่องกำบังสั่นไหวอย่างรุนแรง พวกข้างนอกต้องการที่จะรุกล้ำเข้ามา อาจจะเป็นคนที่ยังเหลือรอด หรือไม่ก็พวกซอมบี้ หรืออาจจะทั้งคู่ คำถามคือ แล้วพวกเขาจะออกไปได้อย่างไรโดยที่ไม่ทำตัวเป็นอาหารจานด่วนให้กับพวกสัตว์คล้ายมนุษย์เหล่านั้น
หนึ่งชั่วโมงสามสิบห้านาที กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยไม่อาจอยู่รอดจนจบการทดลอง
เธอพยักหน้า ไม่แย้มยิ้มซึ่งเป็นสีหน้าปกติ ลู ยัง คู่รักของเซน เอเดน พวกเขาถูกแยกจากกันเมื่อเซนต้องไปประจำหน่วยรุกกลุ่มเอ ส่วนตัวเธออยู่หน่วยสนับสนุนกลุ่มบี “พวกแกฉลาดนะ ตามยัยนี่มาช่วยฉัน”“ไปเถอะ” หญิงสาวตัดบทแล้วเดินนำทางออกไป ทั้งสามเดินตาม โอลิแวนกระซิบว่า “พวกเราคิดว่าแกตายแล้ว ตะโกนใส่หูฟังเท่าไรแกก็ไม่ตอบ”“มันพัง”“อย่างที่เด็กคนนั้นเดาจริงด้วย”“ใคร”เพียซยิ้มแห้ง “อเล็กซิส เพราะเด็กคนนี้ พวกเราจึงขอร้องลู” เขาพยักพเยิดไปทางผู้หญิงข้างหน้า สายตาบลูมองเอวบางของหล่อนแล้วอมยิ้มนิด ๆ“เด็กนั่นเกี่ยวไร” เขาเริ่มรู้สึกว่าพักหลัง ชีวิตเข้าไปเกี่ยวพันกับเด็กคนนี้มากขึ้นทุกทีเพียซถอนหายใจ “พอตึกถล่ม แต่ละคนพยายามติดต่อคนที่ตกลงไป ไม่มีใครตอบเลยรวมทั้งแก พวกฉันไม่เป็นอันทำอะไรเลยรู้ไหม ภาวนาให้แกส่งเสียงตอบ แต่แกไม่ตอบ”“ก็มันพัง” เขาย้ำ “มันพังโว้ย ฉันติดต่อพวกแกไม่ได้เหมือนกัน ลองใช้ระบบแจ้งข่าวก็ไม่ได
ใครจะไปรู้วะ ก็ยัยทหารคนนั้นบอกเองว่าใช้งานได้ แถมไม่อธิบายฟังก์ชันอีก หากใครลงมาเห็นคงนึกว่าคนบ้าสวมหมวกอวกาศชกกำแพงอยู่คนเดียว “สัตว์เอ๊ย ไอ้เอไอ มึงช่วยหาทางออกได้ไหม”แถบกระจกปรากฏลายเส้นขึ้นกลายเป็นแผนที่ บลูเห็นจุดที่ตัวเองยืนอยู่เป็นแสงสีขาวกลม ๆ กะพริบถี่ ๆ “หาทางออกให้ด้วยสิเว้ยเฮ้ย ดูไม่รู้เรื่อง”“ผมต้องสแกนก่อนนะครับ”“เร็ว ๆ”เสียงจากระบบเงียบไป เขาโมโหหันตัวเตะกำแพงอีกรอบ “โง่ฉิบ...” ทว่าเมื่อจ้องดี ๆ ยามแสงสว่างบนหน้าผากจ่อเข้ากับตัวกำแพงจึงเห็นว่ามีตัวอักษรขีดเขียนไว้มากมาย ดวงตาตาชายหนุ่มเบิกกว้าง “นี่มันอะไรกัน” ทั้งคำและข้อความ...อิสรภาพ เขาเลื่อนตาไปอีก ตามกระแสน้ำไป บางประโยคเหมือนปลุกระดม เราจะออกไปให้ได้ เขาเอามือทาบบนกำแพง บางคำถูกสลัก บางคำถูกเขียนขึ้นแม้มันเป็นเพียงตัวอักษร แต่กลับส่งพลังบางอย่างที่ทำให้ตัวเขาตกตะลึงอยู่อย่างนั้น มันเหมือนกับว่าบางสิ่งที่หลับใหลมานานแสนนานถูกสะกิด คนพวกนี้...อาจเป็นคำปลุกระ
หลังของเขากระแทกปืนที่ห้อยอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าเพราะบอดี้สูทหรือเป็นเพราะตกลงมาไม่สูงมากนัก เพียงแค่ลงไปชั้นล่าง ทว่าแผ่นคอนกรีตขนาดเท่าตัวคนกำลังจะทับ โชคดีหรือร้าย เขาไม่รู้เพราะพื้นที่รองรับทรุดลงทำให้เขาตกลงมาอีกครั้ง คราวนี้เหมือนบลูตกลงมาพร้อมโครงสร้างคอนกรีตทั้งยวง แขนของเขาคว้าขอบชั้นไรสักอย่าง ของแข็งตกวืดผ่านไหล่ มือของเขาหลุดจากขอบ ร่างดิ่งลงชายหนุ่มร้องเจ็บปวดเมื่อร่างแตะพื้น ไม่ทันได้พัก เขากลิ้งอีกหลายรอบเพื่อหลบแท่งเหล็กแหลมเฟี้ยวที่ตกตามกันมา มันเสียบปักข้างกายห่างกันเพียงสองเซนติเมตร พรึบ หน้ากากกระจกเต็มไปด้วยเลือด มือปัดป่ายไปตามร่างกาย ไม่ใช่เรา เขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร ทว่าเลือดสีแดงข้นมาจากศพทหารที่ตกลงมาด้วยกันและเสียบเข้ากับเหล็กเมื่อครู่ มีเสียงดังตุบอีกสองสามทีพร้อมกับโครมใหญ่ เขาปัดเลือดออกแต่เห็นเพียงฝุ่นควันโขมง แต่ก่อนที่จะยืนตั้งหลักได้ พื้นที่ยืนอยู่ทรุดอีกทีแม่งเอ๊ย ชายหนุ่มพลิกตัวนอนหงาย เห็นรูโหว่ด้านบนพร้อมกับเสียงโครมดังสนั่นจนพื้นสะเทือน รูนั้นถูกปิดทับเรียบร้อยและเขาตกอยู่ในความมืดมิด“สัตว์เอ๊ย กูดิ่
เขาไม่รู้ว่าควรเรียกว่าศพเดินได้หรือผู้ป่วยติดเชื้อกันแน่ ทีแรก บลูคิดว่าพวกมันเป็นคนตายที่ถูกทำให้กลายเป็นปีศาจแบบที่เขาเคยเจอในด่านทดลอง แต่หากใช้คำว่าผู้ป่วยติดเชื้อ ก็ยากที่จะทำใจให้เห็นว่าเป็นคนปกติตอนยืนมองหัวที่หลุดออกจากร่างหนึ่ง เหมือนถูกมนต์สะกดให้มองแต่มัน ทั้งพิศวง ทั้งหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ดวงตาของมันกะพริบ ไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้อกระตุก แต่เพราะมันยังมีชีวิตอยู่ เจ้าสิ่งนั้นขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ขบฟันลงกับพื้นเพียงเพื่อช่วยให้มันเคลื่อนตัวได้ และเป้าหมายของมันก็คือบลูที่ยืนอยู่ ศีรษะเขยิบเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขบฟันลงบนพื้นทีละนิด ทีละนิดหัวของมันพลันแตกโพละ มันสมองกระจัดกระจายราวกับลูกแตงโมเพียงเขาเหนี่ยวไกหัวใจข้างในดิ้นเหมือนคนตีกลองในอก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นภายในเสื้อบอดี้สูท เขากลืนน้ำลายลงคออันแห้งผาก ห้าปีแล้วที่ไม่ได้เห็นพวกมัน ลืมไปว่าเคยพบกับฝันร้ายที่สุด เหตุการณ์เหล่านั้นเหมือนควันจางหายไป แต่หัวที่ขยับเมื่อกี้ตอกย้ำว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ฝันร้าย นรกไม่ได้อยู่แค่ในตึกทดลอง แต่มันกำลังแผ่อารยธรรมสู่โลกภายนอกและครั้งนี้มันน่ากลัวกว่าซอมบี้พวกนั้นเสียอีกซ่าช
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้น “อื้อ”“ฉันหมายถึง...” หางตาเด็กหนุ่มเห็นเงาคนแอบฟังอยู่ และคนคนนั้นเป็นผู้หญิง จึงเดินออกมาให้ห่างเพื่อไม่ให้อยู่ในรัศมีที่ได้ยิน “ไม่ใช่เพราะว่าเธอคือคนคนเดียวที่นายเหลืออยู่อะไรแบบนั้นนะ” นี่คือสิ่งที่เขากังวล...เขากลัวว่าอเล็กซ์จะยึดอเล็กซิสแบบที่เขายึด“ไม่ใช่แบบนั้น” ครั้งนี้แววตาของเขาแน่วแน่ ไม่มีลังเล ไมเคิลพยักพเยิดไปทางขวา อเล็กซ์ขยับปากเป็นคำว่า คิตแคต แล้วยักไหล่ไม่ให้สนใจ ไมเคิลจึงขยับเท้าให้เกิดเสียง เงานั้นหายไปเหมือนรีบหลบเขาถอนหายใจ ลังเลที่จะวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม แต่สุดท้ายก็วาง “ที่นายสงสัยฉันกับเธอ ไม่มีอะไรนะ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ได้คิดกับอเล็กซิสมากกว่าเพื่อน แต่เพราะพวกเราสนิทกันเรื่อย ๆ มันเหมือนมีบางสิ่งที่ดึงดูดฉันให้เข้าไปหาเธอ เธอเป็นคนอบอุ่นมาก”แก้มของชายหนุ่มกระตุกนิดหนึ่ง “อาคุสะบอกว่านายกับเธอมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น มันมากกว่าเพื่อน” ชายหนุ่มว่า“ฉันไม่รู้หรอกว่าอาคุสะจะเห็นอะไร” เขาส่ายหัว
ความโกลาหลชั่วครู่หยุดลง “กลุ่มบีทุกคนปลอดภัย ที่พวกผมดึงมือดีมาไว้ที่กลุ่มเอก็เพราะการปะทะกับหุ่นยนต์นั้นหนักหนากว่ามาก และเมื่อถึงเรดโซน เมื่อนั้นก็จะไม่มีกลุ่มเอและบี แต่จะเป็นกลุ่มเดียวกัน ผมขอให้พวกคุณเข้าใจเหตุผลด้วย ขอให้นึกถึงเพื่อนที่หายตัวไปเข้าไว้ พวกเรามาที่นี่เพื่อหาเหตุผลว่าทำไม พวกเขาถูกจับตัวไป”เมื่อกี้กลุ่มบียังรายงานอยู่เลยว่าเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเรดโซน แผนการไม่ได้ดำเนินไปตามที่วางไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาไม่ชี้แจง ทว่าคำพูดของกลีเมื่อครู่ทำให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ บางส่วนปล่อยให้หน่วยพยาบาลทำหน้าที่ต่อไป บวกกับทหารที่ล้อมเข้ามา กลีสั่งให้พวกเราพักก่อนจะเดินทางไปต่อยังเรดโซน และครั้งนี้พวกเขาประกาศชัดเจนว่ามีโซนติดเชื้อแน่นอน เพราะมันคือศูนย์อนามัยที่อเล็กซิสกับไมเคิลเคยเข้าไปเช่นกัน แต่สำรวจไปไม่เท่าไรก็ออกมา ทั้งห้าคนปรึกษากันโดยปราศจากแม่สาวคิตตี้...หรือคิตแคตแล้ว คนที่เงียบที่สุดกลับเป็นโคดี้ที่ไม่พูดอะไร หากแต่แววตาครุ่นคิดตลอดเวลา มินนี่นั้น...ก็ยังเป็นมินนี่ เธอห่วงเทสซ่า แต่ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก“บางทีเราอ
“เรากำลังจะอธิบาย ไปพักก่อน” หัวหน้าหน่วยรุก ไทรอนกล่าว หมวกนิรภัยของเขายังเปิดอยู่ แต่ไม่ปิดทั้งหน้าเหมือนตอนสู้ “ไทรอน กลุ่มเอ ภารกิจที่ศูนย์บัญชาการกลางเสร็จสิ้น”พวกเขากลับไปสมทบกับสองสาวที่เหลือ ทั้งหมดสบตากันแต่ไม่พูดอะไร เบลินดากับมินนี่ส่งน้ำให้พวกเขาดื่ม หน่วยพยาบาลเริ่มเดินตระเวนเช็กอาการบาดเจ็บทีละคน ขณะนั้น หางตาไมเคิลเห็นกลี หัวหน้าหน่วยพยาบาลปีนขึ้นบนรถถังก่อนจะนั่งลงเต๊ะท่า ทุกคนต่างมองเขาเป็นจุดเดียว เพราะไม่ใช่แค่อากัปกิริยาหากแต่เป็นภาพลักษณ์“ไอ้หมอนั่น กลี” โคดี้บอก ไม่รู้ว่าไมเคิลรู้จักแล้ว “หมอนั่นยืนกรานจะเข้าไปกับพวกหมอในฐานะหมอ ทั้งที่คนอื่นห้าม เขาเป็นหัวหน้าหน่วยพยาบาลก็จริง แต่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าทหารเสียอีก น่าจะเป็นพวกบ้า”“แปลกดีนะ” อเล็กซ์ว่าจู่ ๆ ก็มีสาวผมสั้นสีดำเดินตรงเข้ามาในกลุ่มพวกเขา แต่เธอจ้องแค่อเล็กซ์ “นายเป็นไงบ้าง ฉันเป็นห่วงแทบแย่” มือข้างขวาลูบแขนชายหนุ่ม ทั้งสี่คนมองตาม เมื่อนั้นโคดี้หลิ่วตาให้ไมเคิล เขาจำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้เคยวิ่งตา
“คุณยังไม่ได้เปิดไมค์”“ช่างเถอะน่า” ไมเคิลวิ่งถลันไปทางโถงบันได ทันใดนั้นกลุ่มหุ่นยนต์ที่ดักอยู่ข้างหลังปลิวกระเด็นไป ชายคนหนึ่งแตะไหล่เขา ไมเคิลรู้ว่าเป็นฝีมืออเล็กซ์ทันทีเมื่อเห็นดวงตาสีดำผ่านแถบกระจก ชายหนุ่มโยกหัวไปทางบันได เขาผงกศีรษะ ทั้งสองวิ่งลงไปก่อนทหารอีกสี่ห้านายจะตามลงมาประกาศยังคงดังเรื่อย ๆ “ทรอย ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน ย้ำ ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน”กลี? เขานึกออกแล้ว คุณหมอที่มีรอยสัก นั่นมันระดับหัวหน้านี่นา คนแบบนั้นลงสนามด้วยตัวเองเลยเหรอ ไมเคิลนึกชื่นชมในใจ เขากับอเล็กซ์แทบจะกระโดดลงบันไดในก้าวเดียว“ใครพาเขาเข้ามาในตึกวะ”เสียงแสตนเนอร์ดังก้องในหัว ดูท่าว่าทหารผู้นี้จะลืมปิดไมค์อเล็กซ์ซัดพลังอีกครั้ง พวกเขาถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว เห็นหน่วยพยาบาลสองคนนอนตายจมกองเลือดคาบันไดลงชั้นสองในขณะที่เปลหามร่างผู้ป่วยตกลงข้างกาย ส่วนคนเจ็บกลายเป็นศพขาดครึ่ง เขาเบือนหน้าหนี หน่วยสนับสนุนกำลังปกป้องหมอพยาบาลและคนเจ็บอยู่ เขาไม่รู้ว่าใครคือกลีแม้แยกหน่วยออก เพราะพวกหมอสวมเครื่อง
ด้ามแหลมโลหะฟันฉับตัดข้อต่อ ปืนกลอัตโนมัติหล่นพร้อมกับท่อนแขนเหล็ก ไมเคิลหมุนข้อมือขวาฟันดาบฉับตัดคอก่อนที่ระบบเลเซอร์ทำงาน เขาอุตส่าห์หักข้อมืออีกที กดด้ามดาบแล้วลากยาวจนลำตัวมันขาดครึ่งเพียงแค่อยากได้ยินเสียงคมดาบเสียดสีกับโลหะก็เท่านั้น“เบเลียน กลุ่มบี เป้าหมายถูกประกาศให้เป็นเรดโซนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”อะไรนะ เสียงประกาศดังขึ้นในหัว เขารับมือกับหุ่นยนต์อีกตัวที่โถมเข้ามา เป้าหมายของกลุ่มบีเหรอ คราวนี้มันไม่มีปืนกล และไมเคิลเคยประมือกับเพื่อนฝูงมันมาแล้ว อาวุธที่เขาเลือกเป็นดาบคู่ ไม่แน่ใจว่ามันเหมือนกับดาบของนายทหารที่ตายคนนั้นหรือไม่แต่ด้ามที่เขาถืออยู่คมกริบและใช้งานง่ายไม่ต่างจากครั้งก่อน ปืนสองกระบอกเหน็บข้างเอวและปืนไรเฟิลที่สะพายแปะอยู่กับหลังนั้นกลายเป็นม่าย เด็กหนุ่มสนุกกับการใช้ดาบมากกว่า ทว่า...เรดโซน? ข้อนี้ยังคาใจนัก“เบเลียน กลุ่มบี หน่วยกำกับการป้องกันโรคระบาดถูกเรียกประจำการ”โรคระบาด? เขาทำลายศัตรูอีกตัว เกิดอะไรขึ้นกับที่นั่นกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด เวลาถูกแยกออกจากอเล็กซิสทำให้สมาธิของเขาครึ่งหนึ่งหายไปกับเธอ เขาอยู่ในหน่วยรุกกลุ่มเอเหมือนกับอเล็กซ์ แ