“ในเมื่อไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร ฉันว่ายังไงเราก็ควรเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด ดูจากแผนที่แล้ว แค่หนึ่งวันก็น่าจะไปถึงทางออกได้...มั้ง แต่พวกเขาให้เวลาตั้งสิบวันแน่ะ แล้วยังอาวุธพวกนี้อีก คงมีอะไรรออยู่”
“หรือว่าเราต้องสู้กับพวกหุ่นยนต์” หนุ่มผมบลอนด์เดา
“หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด” แม่หนูมินนี่สองเสริม พอทุกคนเงียบที่เธอโพล่งออกมาก็รีบบอก “ขอโทษ ๆ”
“ฉันไม่เข้าใจ การทดลองบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันดูน่ากลัว เบ็กกี้อาจพูดถูกก็ได้นะ” เทสซ่ารำพัน “แถมพวกเขายังปล่อยให้พวกเราอยู่สบายมาตั้งนาน เพื่ออะไรก็ไม่รู้ อย่างน้อยถ้าให้เตรียมใจสักหน่อยยังจะดีเสียกว่า”
“แล้วแผนคืออะไร” เบนตัดบทคนอื่น
“คนนั้นบอกว่าให้คอยระวังตัว เหมือนให้พวกเราตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ต้องพยายามเกาะกลุ่มกันไว้ มุ่งหน้าไปที่จุดเซฟโซนให้ได้ ดีไหม” โนเอลเสนอ พลางทำเครื่องหมายลงบนแผนที่ “ยึดแค่เส้นทางและจุดหมายก็พอ ถ้าเกิดใครหลงออกจากกลุ่ม ก็พยายามกลับทางเดิม ยังไงก็ต้องไปทางเดียวกัน อาจจะตามทันได้ไม่ยาก ที่แน่ ๆ อย่ารีรอถ้าใครหายไป เราจะไม่รอ เน้นเดินผ่านจุดเซฟโซนตรงนี้ (เขาลากเส้น) ไปตรงนี้ก็จะถึงโซนสอง และถ้าหากเลือกทางที่สั้นที่สุด ทางออกหมายเลขสองคือจุดหมายของพวกเรา” เขาวงตรงทางออกหมายเลขสอง
ทุกคนยกเว้นเบนพยักหน้าอย่างว่าง่าย เชื่อฟังพี่ใหญ่
“พี่เป็นผู้นำก็แล้วกัน พี่มีประสบการณ์ในการฝึกทหาร ทุกคนก็คงเห็นด้วยใช่ไหม” เทสซ่าเสนอ ไม่มีใครค้าน พวกเขาจำเป็นต้องมีหัวหน้าคอยตัดสินใจ เพราะไม่รู้ว่าจะเผชิญกับอะไรบ้างในหนทางข้างหน้า หัวหน้าทีมจะเป็นคนนำทีมและควรเป็นคนที่มีวุฒิภาวะเหมาะสม ถ้ามองจากวัยและนิสัยคนในกลุ่ม โนเอลสมควรเป็นหัวหน้าทีมที่สุดแล้ว ส่วนตัวเบนไม่สนใจนัก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาโฟกัสแค่ตัวเองกับอเล็กซ์
เขาพอแล้วกับการนั่งขบคิดค้นหา ‘จุดประสงค์’ ของการทดลองหรือการที่ถูกจับมาอยู่แบบนั้น เอาตัวรอดและออกไปจากสถานที่บ้า ๆ แห่งนี้คือเป้าหมายเดียวที่เขาวางไว้
“มือเธอเย็นมาก” ออสโล่พูดขึ้นทันทีที่เขาจับมือเพื่อนสาว
อเล็กซิสถอนหายใจก่อนยกแขนกอดตัวเอง ดวงตามองไปยังแผนที่ แววตานั้นเหมือนไม่มั่นใจกับสิ่งใดเลย
“ฟาร์มในอีสต์แลนด์” เธอเงยหน้าบอกเพื่อนผมแดง
ฟาร์มเหรอ?
ออสโล่ส่ายหน้า “พวกเราจะไม่เป็นอะไร ก็แค่เกมผจญภัยเท่านั้นเอง”
เกมเอาตัวรอด
เขาผละจากสองคนนี้แล้วหันกลับไปหาคู่หูของตัวเองที่กำลังเช็กปืนอยู่ ดูจากสีหน้า อเล็กซ์กำลังฟังบทสนทนาของเด็กสองคนนั้นอยู่เหมือนกัน พอมองสภาพเพื่อนและตัวเองในเวลานี้ เขาบังเกิดความรู้สึกประหลาด อดีตคุณชายแห่งโวลคอฟและโรซิเยร์กลายเป็นตัวอย่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์แสนพิลึกพิลั่นที่สุดไปเสียแล้ว
“อย่าประมาทอีกล่ะ”
เขาจ้องเพื่อนตัวเอง “ไม่มีทางหรอกน่า ไม่เห็นเหรอ ฉันพกระเบิดเชียวนะ”
“เปล่าหรอก นายนึกสนุกต่างหาก ฉันไม่คิดว่าเรื่องมันจะง่ายสำหรับพวกเราที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหรอกนะ” ทายาทโวลคอฟวางปืนลง
เมื่อตัวเลขนาฬิกาเปลี่ยนเป็นเลขเจ็ด ห้องทั้งห้องหมุนทันที คนเกือบสามร้อยคนได้แต่อึ้ง เบนอยากรู้นักว่าขอบเขตความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของพวกรัฐบาลมีถึงขั้นไหนกันแน่ ประตูทางเข้าเปิดอีกครั้ง แต่มันไม่ได้นำพาพวกเขาไปทางเดิม หากแต่ไปยังเส้นทางใหม่
ไม่มีใครกล้าเข้าไป ไม่มีใครขยับตัว ไม่มีใครอยากเป็นตัวอย่างแรกที่เดินเข้าสนามทดลอง
เมื่อนั้น กำแพงโลหะสั่นสะเทือนราวกับมีแผ่นดินไหว ทว่าครั้งนี้มันไม่ใช่ฝีมือของอเล็กซ์ ตัวกำแพงประกอบด้วยแผ่นโลหะแผ่นเล็กประกบกัน และเมื่อแผ่นเหล็กเลื่อนลง จึงเผยให้เห็นลำกล้องปืนโผล่นับร้อยฝังอยู่ภายในกำแพง ไม่จำเป็นต้องรอคำอธิบาย ทั้งหมดก้าวขาออกทันทีก่อนที่ตัวปืนจะเลื่อนออกมาจากรูด้วยซ้ำ
โซนแรกให้บรรยากาศที่คล้ายกับตึกทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งคงไม่แปลกนักเพราะพวกเขายังอยู่ในการทดลอง พวกเขาเดินอยู่ในทางเดินยาวเหมือนทางเดินในหอพัก เมื่อมาถึงสามแยกที่หนึ่ง บางกลุ่มเริ่มแยกตัวออกไปตามทางที่กำหนดไว้ กลุ่มของเบนยังคงรวมกับกลุ่มอื่นเดินตรงต่อไป คณะเดินทางมีสมาชิกราวร้อยกว่าคนได้ เหนือศีรษะ หลอดไฟฟลูออร์เรสเซนต์ลักษณะเป็นท่อยาวส่งแสงกะพริบถี่ ๆ พร้อมกับเสียงกระแสไฟ มันสร้างบรรยากาศที่ทำให้เขานึกถึงตัวละครกำลังเดินเข้าไปในอุโมงค์ปีศาจ รายล้อมไปด้วยความเงียบที่แอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ และฉับพลันพวกเขาจะพบกับบางสิ่งที่แสนน่ากลัว
หยุดจินตนาการเถอะ
“อย่าเปิดประตูสุ่มสี่สุ่มห้า!”
เบนได้ยินเสียงโนเอลตวาดเวดที่เอื้อมมือจะแตะประตูที่อยู่ด้านข้าง (เขาเป็นคนที่โง่ที่สุดในกลุ่ม เบนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้หมอนี่ถึงได้รับคัดเลือกให้เข้าชิงทุนเหมือนอีกสองคน)
ประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเริ่มเบื่อ
“โชคดีที่เราเลือกเส้นทางถูก” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น เขาจึงได้เห็นสีหน้าเหยเกของพวกพี่น้องโธมัส
ราวกับอ่านใจเขาออก อเล็กซิสถามสามคนนั้น “ทำไมทำหน้าอย่างงั้น”
“ใครพูดแบบนี้มักมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นทุกทีน่ะสิ” สาวผิวเข้มอธิบาย
คนที่พูดเป็นเด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับแก๊งตัวเอง อายุน่าจะราวสิบห้าสิบหกกันหมด ไม่น่าเกินจากนี้ เขาเดา
เมื่อมาถึงห้องที่เหมือนกับห้องแล็บขนาดใหญ่ ทั้งหมดจึงเห็นโต๊ะคอมพิวเตอร์จำนวนมากถูกจัดวางไว้ไม่เป็นระเบียบ สายไฟสายต่ออุปกรณ์ยาวระโยงระยางกันมั่วไปหมด ด้านหน้าจะมีสามแยกอีกอัน เหมือนเดิมนั่นคือ พวกเขาต้องเลือกว่าจะไปทางขวา ทางซ้าย หรือตรงไป จำนวนคนเริ่มลดลงเมื่อแต่ละกลุ่มแยกตัวไปอีก
กลุ่มของเบนต้องเลือกแล้ว อย่างที่ตกลงกันไว้ พวกเขาเลือกเส้นทางที่สั้นเพื่อให้ไปถึงทางออกให้เร็วที่สุด นั่นหมายความว่า ทั้งหมดต้องเดินตรงไป แต่โนเอลกลับบอกให้ทุกคนรอก่อน
“ฉันว่าพวกเราควรเดินหน้าได้แล้วนะ” เบนเร่ง สายตามองกลุ่มอื่นที่ยังเกาะกับกลุ่มเขา เบนผู้ไม่ชอบตามหลังใครจึงไม่อยากรั้ง
ทันใดนั้นเสียงสะท้อนดังออกมาจากทางข้างหน้า มันเป็นเสียงกรีดร้องบ่งบอกความกลัวถึงขีดสุด
กลุ่มกบฏบางกลุ่มต้องการทำลายนิวโฮป จึงไม่ใช่ทุกกลุ่มที่ยินดีอ้าแขนต้อนรับพวกเขา และข้อสำคัญคือ พวกเขาจะติดต่อคนเหล่านี้ได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการไม่มีใครตอบได้ แม้แต่บลูก็จนแต้ม เขาเพียงแค่อยากอยู่ที่นี่ ใกล้กับหลุมศพน้องชาย“ไมเคิล ฉันว่าไม่ปกตินะ” จอห์นปลุกสติของเขาอีกครั้งสายฟ้าของอเล็กซ์ฟาดซัดต้นไม้แถบนั้นเป็นจุณทีเดียวนับสิบต้น ขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าแล่นเป็นวงรอบตัวเขา อาคุสะเริ่มตื่นตัว ออร่าสีเขียวและเหลืองแผ่ออกไป“อเล็กซิส ถอยออกไป!” เป็นอเล็กซ์ที่ตะโกนเตือนแฟนสาว “ฉันคุมมันไม่ได้!”“แย่ละ” ไมเคิลกับจอห์นวิ่งเข้าไปอเล็กซิสควบคุมมวลน้ำเพื่อดับไฟ แต่กระแสไฟฟ้าของคนรักยังแล่นออกมาเรื่อย ๆ จนเธอเริ่มหาที่หลบไม่ได้ เขาหาทางจะเข้าไปช่วยฝาแฝด ตอนนี้แทบมองไม่เห็นอเล็กซ์เพราะมีแต่กระแสไฟฟ้าพัวพันรอบตัวเทสซ่าหวีดร้องขึ้นมา เธอกับอาคุสะจับมือกันแน่น พื้นดินบริเวณนั้นสั่นสะเทือน เขาสบตากับจอห์น ใช่ แผ่นดินไหว แต่...ฝีมือธรรมชาติหรือสัญชาตญ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่แท้นาฮีมานาไม่ได้คิดจะให้พวกเขากลับนิวโฮปแต่แรก ไมเคิลหันไปมองพวกเพื่อน ๆ เทสซ่านั้นคิ้วขมวดจนเป็นปม เธอนั่งกอดอกหลังตรงแล้วเม้มปากแน่น หากแต่ไหล่สั่น ขณะที่คนอื่นถกเถียงกัน อเล็กซิสก็นั่งเท้าคางใช้ความคิด ไมเคิลสัมผัสความรู้สึกร่วมของคนในนี้ได้อย่างหนึ่ง นั่นคือความเศร้าเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้กลับบ้าน หรืออาจจะไม่มีวันได้กลับ“ถ้าหาก...ถ้าหากเราทำให้เมเคอร์เข้าใจได้ว่าพวกเราไม่เป็นภัย พวกเราเป็นชาวนิวโฮป อยากปกป้องบ้านเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เขาเห็นจุดยืนของพวกเราว่าไม่ได้เป็นภัยต่อไลบราเรีย ต่อโลก...” ไมเคิลเลิกคิ้ว เพราะเทสซ่าพูดเหมือนอเล็กซิสเปี๊ยบ“ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเทสซ่า เมเคอร์ไม่มีวันให้กองกำลังกับพวกเธอแน่”“ฉันไม่ได้หมายถึงกองกำลัง ฉันหมายถึงตัวพวกเราเอง ถ้าเขามองว่าพวกเราเป็นภัย ทำไมไม่มองว่าพวกเราเป็นอาวุธให้พวกเขาได้”“เทสซ่าพูดถูก” เซนว่า “ทหารสามคนนั้นก็เป็นกลุ่มเสี่ยง”“ลูเซียนบอกว่าเพราะพวกเขาเป็นชาวไลบราเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังถ
มีเพียงสิ่งลมเขย่ากิ่งไม้ไปมา แสงสีแดงริบหรี่จนแทบเลือนหายไป ความมืดย่างกรายแทนที่ แต่ดวงตาสีน้ำเงินของอเล็กซิสกลับสว่างไสว ช่างเหมือนกับดวงตาคู่นั้นที่คอยจ้องเขายามค่ำคืน ไมเคิลในวัยเด็กมีอาการตื่นตระหนกบ่อยครั้ง และลูก้าเป็นคนปลอบเขา ถึงแม้เขาไม่เคยล่วงรู้เรื่องแฝดอีกคน แต่เพราะดวงตาของเธอเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอ ในยามนี้เขาอ่านความคิดเธอออก ผ่านแววตาและสีหน้า ทั้งคู่ไม่คิดว่าลูเซียนโกหก อย่างไรก็ตามยังคิดว่าอีกฝ่ายบอกไม่หมด ความปรารถนาดีมีบางอย่างเคลือบแฝง ผลงานของลูเซียนคือเครื่องมือที่ฆ่าโนเอลและเบน เขาไม่มีวันให้อภัย เพียงแต่ว่า พวกเขาจะต้องชั่งใจให้ได้ว่าการเชื่อฟังลูเซียนจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพิกเฉยหรือไม่เขารู้ว่าอเล็กซิสเสียใจ เธอบอกน้องชายคนนี้เสมอว่านิวโฮปจะเป็นบ้านใหม่ของพวกเขา“อเล็กซิส ไมเคิล” หญิงสาวผมสีดำเรียกสติฝาแฝดทั้งสอง “กลับกันเถอะ มืดแล้ว”“เดี๋ยว...” เขาชะลอเธอรอฟัง แต่เป็นพี่สาวของเขาที่พูด“ถ้าคุณอยากให้พวกเราคล้อยตามลูเซียน คุณต้องบอกมาให้หมดว่าคุณกับเขารู้จักกัน
ดวงตาสีแดงกลอกไปมาราวกับดูแคลนคำพูดของพวกเขา “ผมหวังดี ที่พวกเขากลับไปไม่ใช่เพราะถอย แต่จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทหารและอาวุธมากมาย เมเคอร์ไม่ปล่อยพวกคุณแน่นอน เขาไม่อยากยืดเยื้อ และคราวนี้ได้คงใช้วิธีดึงอาร์คาเดียมาช่วย ทั้งนิวโฮปก็เจอปัญหา ดังนั้นถ้ากำจัดพวกคุณได้เร็วเท่าไร ฝ่ายทหารจะโฟกัสกลับนิวโฮปได้ดีขึ้น”“เกิดอะไรกับนิวโฮป” อเล็กซิสซักทันที “เมเคอร์...เจ้าชายเมเคอร์ใช่ไหม ที่คุณว่า”ลูเซียนพยักหน้า “ใช่ ตำแหน่งเขาสูงกว่าผม ถ้าคุณสังเกตคำนำหน้า ผมเป็นลอร์ด เขาถือตำแหน่งเจ้าชาย เมเคอร์ต้องการทำลายกลุ่มเสี่ยง เขาเห็นว่าพวกคุณเป็นภัย” ชายอัลบิโนขยับตัว มีภาพยานสงครามฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น เขาชี้ไปที่รูปพวกนี้ “นี่คือสิ่งที่พวกคุณจะเจอ ในดิสก์แผ่นนี้ ผมมอบโลเคชันให้พวกคุณหนีไปหลบภัย รับรองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับที่นี่ได้ เมื่อสถานการณ์ในนิวโฮปดีขึ้น ผมจะหาทางทำให้เมเคอร์เปลี่ยนใจ”“คุณมีพลังจิตไม่ใช่หรือ คุณควบคุมจิตใจเขาได้...” อเล็กซิสว่า“ถ้าผมทำได้ผมทำไปนานแล้ว” แต่สาย
แดดสนธยาส่องผ่านร่มไม้จนเกิดลำแสงสีทองเป็นริ้ว คนสามคนเดินย่ำเท้าไปตามใบไม้แห้ง ลมเย็นโชยสลับผสานกับลมร้อนในตอนกลางวัน เวลากำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางคืน“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าไม่ใช่กับดัก” อเล็กซิสถามยายแม่มด (และพักนี้ไมเคิลมักใช้คำนี้บ่อย เพราะไอ้นิสัยชอบรู้เรื่องมากมายแต่ไม่ยอมเล่าให้หมดของนาฮีมานาทำให้เขารำคาญ) “เราจับโดรนสอดแนมมาได้สามวัน แล้ววันนี้เขาก็เรียกแค่พวกเราแค่สามคน ทำไมต้องเป็นคุณ ทำไมต้องเป็นพวกเรา”“เขาไม่ชอบคนเยอะ อาจเป็นเพราะพวกเธอเห็นหน้าเขาแล้วมั้ง แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นจุดประสงค์ดี”เธอมั่นใจอะไรในตัวคนคนนี้กัน คนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเมื่อไรก็ได้เพียงแค่ควบคุมสมองไม่ให้มองเห็น สามารถปรับเปลี่ยนความคิดใครก็ได้ แล้วจะเชื่อใจนาฮีมานาได้อย่างไร ไมเคิลสงสัยนัก“ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ” เขาโพล่ง “ลูเซียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราผ่านอะไรมาบ้างกับงานของทีมวิจัย เราต้องเสียอะไรบ้างกับงานของเขา”“ฉันรู้ดี” นาฮีมานาตอบโดยไม่หันมามอง เ
เช้าวันต่อมา บอร์ญ่ายังคงเป็นคนมาเสิร์ฟอาหาร และบราวน์ไม่เข้ามาอีกเลย เขานั่งนับวันตั้งแต่โดนจับจึงนึกได้ว่านี่คือวันศุกร์ เจ้าของบ้านคงออกไปทำงาน ดังนั้นทั้งวัน เขาเอาแต่ทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นบอก“ตัวตนที่ยังหลงเหลือ” เจสซี่ไม่มีความรู้เรื่องสมองของมนุษย์ คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาโทรหาไบรซ์หรือคาเลบได้ ความทรงจำของมนุษย์ถูกลบได้หรือเปล่า สมองของมนุษย์ทำงานอย่างไร“ไลบราเรียน...เอไลโต” เขาท่อง “ฟุตบอล ออสโล่”เมื่อถึงมื้ออาหารเย็น แคดมันเดินเข้ามา อาหารเย็นวันนี้มีเพียงแซนด์วิชกับน้ำเปล่า และช็อกโกแลตบาร์สองแท่ง เมื่ออีกฝ่ายวางถาด เขาเอื้อมไปจับข้อมือ“เวด”แคดมันสะบัดออกจนน้ำหกกระจาย ดวงตาที่มีสีฮาเซลอ่อนกว่าจ้องกลับมา แววตาคู่นี้ขึงขังดุดันและพร้อมจะเอาเรื่องได้ตลอดเวลา“นายจำอเล็กซิสได้ไหม”“หุบปาก”“ออสโล่ เด็กหนุ่มผมสีแดงใบหน้าตกกระ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”“หุบปาก!”“ซานโบซ่า!”มือข้างขว