ผู้โดยสารวัยกลางคนนั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง มือข้างขวาเกาะขอบกระจกเคาะนิ้วเป็นจังหวะถี่ ๆ ทัศนียภาพด้านนอกชวนมองเพราะท้องฟ้ากระจ่างใส เห็นเมฆบางเป็นริ้ว เขายังคงเคาะกระจกอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ตัวจนคนข้างหน้าถอนหายใจเสียงดัง “ขอโทษครับ” แม็กซิมอนจึงวางมือบนลงตัก
ยานโดยสารเริ่มลดระดับลงจนเห็นท้องทะเลสีน้ำเงินระยิบระยับ แววตาเด็กคนนั้นปรากฏขึ้นในหัว “หนูขอร้อง” เขาจับแผ่นแท็บเล็ตที่อยู่ในอกแน่น ไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน จากเมฆขาวและท้องฟ้าสีคราม หมอกเริ่มหนาจนบดบังวิวข้างนอก ร่างกายขยับตามแรงสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง
แสดงว่ายานผ่านเกราะคุ้มกันชั้นแรกแล้ว แม็กซิมอนเห็นเงาที่มีลักษณะละม้ายคล้ายกับต้นไม้ในเมืองคนยักษ์ มันแผ่กิ่งก้านสาขาโอฬารไม่มีสิ้นสุด ยามหมอกจางลงจึงเห็นชัดขึ้นว่าแนวกิ่งก้านโยงใยแท้จริงคือตึกรามบ้านช่องที่เชื่อมต่อกัน ยังมีท่อระโยงระยางสำหรับช่องโดยสารด่วนพิเศษ ตัวยานปรับระดับให้อยู่บนเส้นทางหมายเลขหนึ่งศูนย์สำหรับยานสาธารณะขนส่ง
ตัวยานจอดเทียบท่าเป็นที่เรียบร้อย แม็กซิมอนหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กแล้วลุกออกจากที่นั่ง คนไม่เยอะ
“แกลิสบอกผมแล้ว แล้วก็จำเงาพี่เขยได้นะครับแม้จะแกล้งทำทีอ่านแท็บเล็ต” ชายหนุ่มยิ้มกว้างในขณะที่แกลิสทำผมสีแดงอมชมพู น้องชายของเธอตัดผมสั้นเกรียน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเครื่องแบบนักวิจัยที่สวมอยู่ คนอื่นอาจนึกว่ากลีเป็นพวกศิลปินหรืออะไรทำนองนั้น เพราะเขาเจาะระเบิดหูข้างซ้าย แถมยังสักลายไว้ตามแขนอีก และเพราะกลีเคยเป็นรุ่นน้องร่วมทีมวิจัยสมัยที่แม็กซิมอนยังมีชื่อ เขาย่อมรู้ว่าแม็กซิมอนอยากมีส่วนร่วมกับการประชุมมากแค่ไหน เพราะมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาหลงใหลมาตลอดทั้งชีวิต...เอชโอวัน“เอานี่” เขาโยนสิ่งที่มีลักษณะเหมือนเพชรเล็ก ๆ สองเม็ดมาให้ “ใส่หูแล้วอย่าให้จับได้” ว่าแล้วก็ปิดประตูออกไป แม็กซิมอนยัดเข้าไปในหูทันที แต่ได้ยินเสียงคนขยับ คงเป็นเสียงกลีเดินกลับไปเขาหัวเราะ “รู้ดีจริง ๆ”พอกลีกลับเข้าไปนั่งที่ตัวเองในห้องประชุมแล้ว แม็กซิมอนจึงได้ยินเสียงข้างใน พวกเขาเริ่มประชุมไปสักพักแล้ว“...เราไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป แต่เรากำลังพูดถึงการส่งผ่านรูปแบบความสามารถ..
แม็กซิมอนรออีกหนึ่งชั่วโมง ลูซินด้าจึงพาเขาเข้าพบซีโนฮอฟ เอไลโต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแห่งนี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในสภาปกครองอันประกอบไปด้วยสมาชิกผู้เรืองปัญญาจากหลายสาขา การทหาร กฎหมาย วิศวกรรม นวัตกรรม อวกาศ ภาษาศาสตร์ และอื่น ๆ แม้ซีโนฮอฟเป็นหัวหน้าใหญ่ในกลุ่มสาขาวิจัยทางการแพทย์ แต่เนื่องจากเคสเอชโอวันและทอยซิตี้เป็นเคสพิเศษ หน่วยทหารจึงมีเอี่ยวชั้นผู้บริหารอยู่สูงขึ้นไปอีก และกว่าจะผ่านเข้าแผนกยังต้องสแกนม่านตาผ่านระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ทว่าเมื่อเข้ามายังห้องทำงานของซีโนฮอฟกลับพบเพียงร่างโฮโลแกรม นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ใช้วิธีเข้าประชุมผ่านการสื่อสารทางไกลร่างโฮโลแกรมซีโนฮอฟยืนอยู่หลังโต๊ะทำงาน พอเขาหันมาเห็นแม็กซิมอนจึงผายมือให้นั่ง ลูซินด้านั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ในมือถือแท็บเล็ตพร้อมจดรายละเอียด“ลูบอกว่าคุณมีเรื่องสำคัญที่ต้องพบผมโดยเฉพาะ”“ครับ” แม็กซิมอนกล่าว ซีโนฮอฟมีนัยน์ตาเรียวคมและแทบจะชิดกลืนไปกับคิ้ว ใบหน้าจึงเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หากนับตามอายุ แม็กซิมอนแก่กว่าเพียงยี่สิบปี แต่ลักษณะทางกายภาพของซีโนออฟอ่อนเยาว์กว่า ที่น่า
รอยเท้าบนพื้นทรายลากยาวไปตามตรอกจากนั้นเลือนหายไปกลายเป็นรอยล้อรถแทนที่ เขาหยุดอยู่ตรงนี้เป็นรอบที่เท่าไรแล้วจำไม่ได้ แต่ร่องรอยของสองคนนั้นมีเพียงแค่นี้ เสียงย่ำเท้าของอีกคนตามมาด้านหลัง“เธอคิดว่าพวกมันไม่เห็นกล้องเหรอ เธอคิดว่าพวกมันไม่มีทางไม่รู้ว่าพวกเธออยู่ไหนเหรอ” เทสซ่าไม่ตอบ เธอแค่วางมือบนไหล่เขาเพื่อปลอบใจการเริ่มต้นใหม่ขรุขระตั้งแต่วินาทีแรก เสียงน้ำฝนดังเป็นจังหวะช้า ๆ ก่อนจะตกรัวลงมาเป็นห่าใหญ่ น้ำจากเบื้องบนกระทบศีรษะเพียงนิดหน่อย เพราะเทสซ่ายื่นแขนกางร่มบังให้ ไม่นานทรายไหลมากองรวมกัน ร่องรอยทั้งหมดไม่เหลืออีกแล้ว เขาปาดละอองน้ำฝนและเหงื่อที่คลุกเคล้าเป็นน้ำเดียวกันออกจากแก้ม แดดร้อนอบอ้าวมาหลายวัน คืนนี้ฝนจึงตกหนัก“พวกเขาอาจหายไปในราซา มีคนหายไปเสมอ สองสามคนต่ออาทิตย์ ส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อนไม่มีชิป ไม่มีที่นอน” เสียงเทสซ่าสั่น “เข้าข้างในเถอะไมเคิล พวกเรามีเรื่องให้ถกเยอะแยะ”เขาไม่ขยับ พวกเขาถกกันมาหลายรอบแล้ว และสุดท้ายก็จบลงที่ความว่างเปล่า“เรมีบอกว่าพวกนายจะอยู่ที่นี่”เข
“ไม่หรอก ยากอยู่” ฟีบี้เถียง “เรื่องปล้นชิปก็น่าคิดนะ ขนาดเจ้าของบาร์ยังเตือนเลยว่าอย่าไปไหนเปลี่ยว ๆ ตามลำพัง”“แต่ถ้าปล้นก็ไม่น่าต้องเอาตัวไป” อเล็กซ์ว่า “หรือทั้งสองอย่าง”“จะว่าไป ฉันฝัน...” มินนี่แทรกขึ้น โคดี้กับฟีบี้พร้อมใจกันถอนหายใจยาว “ฉันพูดจริงนะ” เด็กสาวยืนกราน แววตาหาได้ล่องลอยอย่างเมื่อก่อนไม่ “ฉันคิดว่าเป็นฝีมือเบ็กกี้ เบ็กกี้พยายามติดต่อฉัน หลายคืนมานี้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองนอนนิ่งอยู่บนเตียง ขยับไม่ได้ เห็นดวงไฟสว่างจ้า อึดอัดมากเลย...”“เดี๋ยวนะ” ไมเคิลกับเรมีร้องออกมาพร้อมกัน ตกใจด้วยกันทั้งคู่“คือ ฉะ...ฉันก็เห็นอะไรคล้าย ๆ แบบนี้ ดวงไฟและความอึดอัดแบบ...” เรมีพยายามอธิบาย ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองไมเคิลเหมือนจะถามว่า ใช่หรือเปล่า เขาพยักหน้าหงึก ๆ น่าตลกที่ทั้งสองเป็นรูมเมทกัน แต่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยเพราะต่างคิดว่ามันเป็นแค่ฝัน ถึงแม้จะฝันติดต่อกันมาสองสามวันแล้วก็ตามคนทั้งโต๊ะเริ่มสนใจฟังมินนี่ขึ้นม
“ดีนะที่อเล็กซ์เลี้ยงเบียร์เมื่อกี้”เขาชะงักมือที่กำลังจะหยิบเบคอน “หา” นึกว่าเทสซ่ายกเบียร์ของเธอให้เขาเสียอีก (แน่นอนว่าพอเธอส่งให้ เขาไม่คิดถามว่าเลี้ยงหรือไม่สักนิด ให้คือให้)เรมียักไหล่ “อาคุสะกับอเล็กซ์เพิ่งชนะเควสประจำวันไป สองคนนั้นเลยมีเงินอื้อเลย”“หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยชิปกับคูปองเสบียงราคา ถ้าหารสองก็จะคนละหกพัน!” ไมเคิลกล่าวเหมือนท่องจำ (“หกพันสองร้อยสิบนะ อันที่จริง” เรมีแก้) “แม่ง” ว่าแล้วก็หยิบเนื้อสันในลงในตะกร้าทันที ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่ตัวเองวิ่งเร็วและมีพละกำลังเหนือคนอื่น แต่ก็ยังไม่สามารถหยิบธงโง่ ๆ ได้ นี่สินะที่ปาสคาลบอกว่ากลยุทธ์ที่ดีนั้นสำคัญ“มันราคาสามร้อยกว่าเลยนะ” อีกฝ่ายเตือนเขายักไหล่ “พรุ่งนี้ไปเล่นเควส อย่างน้อยก็ได้มาอีกสองร้อยห้าสิบ แล้วเวลาที่เหลือฉันจะทำงานล้างจานอย่างเดียว”เรมีฟังแล้วทำท่าคิดคำนวณในหัว “โอเค นายจะได้ชิปประมาณหกร้อยถึงเจ็ดร้อย แล้วเรื่องอเล็กซิสกับเบ็กกี้ล่ะ พวกเราจะมีเวลาสืบไหม&rdq
อากาศข้างนอกร้อนอบอ้าว แต่ข้างในระอุยิ่งกว่า บลูไม่ละสายตาไปจากดวงตาสองสีที่กำลังจับจ้องการเคลื่อนไหว จนกระทั่งเธอหลับตา ริมฝีปากเผยอก่อนครางออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสุขสุดยอด บลูครางในลำคอกระหึ่มด้วยความรู้สึกเดียวกันก่อนเอนตัวลงนอนทับร่างเปลือยเปล่า กลิ่นหอมจากตัวเดสซิเรทำให้เขานึกสงสัยว่าเธออาบน้ำมันหอมระเหยสกัดจากดอกไม้ทุกชนิดบนโลกหรืออย่างไร มือของเขาจับปลายผมสีทองไล่วนตรงเนินอก ฟังเสียงลมหายใจเข้าออกและจังหวะหัวใจที่เต้นช้าลง ยายบ้านี่ไม่ต่างจากม้าพยศที่ต้องการให้ครูฝึกอย่างเขาคอยปราบอยู่ตลอดไม่นานเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกล เขาลุกขึ้นปล่อยให้เธอนอนพักอยู่บนโซฟา “นึกยังไงถึงตัดผมสั้นข้างเดียว” แล้วใช้เท้าจิกเสื้อผ้าขึ้นมาสวมทีละชิ้น “ฮื้อ?”“ถ้ามันไม่เวิร์ค ก็ยังเหลืออีกข้างที่ยาวไง”นั่นสินะ ถ้าออกจากปากคนอื่นคงฟังดูงี่เง่า แต่เมื่อออกจากปากเดสซิเร มันฟังดูสมเหตุสมผลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ “ลุกเถอะ เจ้าเพียซมาแล้ว” เขาโกยเสื้อผ้าของเธอแล้วโยนใส่ หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะเสียงฝีเท้าดังตึงตังใกล้ขึ้นทุกที เขากดดันเดสซิเรด้วยการจ้องอยู่อย่างนั้นจนเธอค่อย ๆ ลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าอย่างเชื่องช้า
“เขาก็เป็นแบบนี้” เดสซิเรยักไหล่ ไม่ใส่ใจคำพูดของบลู “แต่เด็กคนนั้นน่ารักดีนะ ฉันชอบ ถึงจะดูนิ่ง ๆ ไปหน่อยก็เถอะ เฮ้อ อยู่กับพวกนายไม่มีใครมีเซ้นส์เลย ไปผูกมิตรดีกว่า” เธอเดินเหมือนเต้นรำแล้วออกไปอีกคน บลูเกาหัวยิก ๆ“เอมอนช่วยเด็กคนนั้นเพราะต้องการตอบแทน” ริงโก้เป็นฝ่ายเริ่มเล่า บลูอยากจะขอบคุณเขาสักร้อยรอบ “พวกเราปะกับกลุ่มเมลิสซ่าเข้าให้ นายก็รู้จักน้องตัวเอง พอเป็นผู้หญิง หมอนั่นก็ทำตัวสุภาพบุรุษ อีพวกนั้นร้ายจะตาย เล่นก็แรง เด็กคนนั้นช่วยเตือนให้ตอนจะถูกเล่นงาน พวกเราเลยเอาชนะเมลิซซ่าได้”“ร้องเตือน? โง่ชะมัด” บลูกอดอก โดยปกติแล้ว ไม่มีใครวิ่งทื่อ ๆ หรือล้มหุ่นยนต์เพื่อเคลียร์เอาธงหรอก แต่ละทีมล้วนต้องสกัดอีกทีมไม่ให้เข้าถึงธงได้ง่าย ๆ ด้วย “เด็กใหม่”“ใช่” ริงโก้เล่าต่อ “เธอไม่รู้เรื่องหยิบธง ไม่รู้เรื่องสกัดขา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สู้กับหุ่นอย่างเดียว แต่เพราะแบบนี้เอมอนเลยอยากตอบแทน”“ใจสู้ใช้ได้นะ” โอลิแวนเสริม แต่เมื่อเจอสายตาแฟนหนุ่มก็รีบท
เนื่องจากมติเอกฉันท์ว่าบรูโน่ต้องออกไป เย็นวันนั้นบลูกับเดสซิเรจึงเดินจ้ำอ้าวไปยังห้องหมายเลขสี่ของชั้นสอง หากมองเผิน ๆ คงดูเหมือนตึกบ้านเช่าทั่วไป ทั้งประตูไม้และกำแพงฉาบปูนเปลือย แต่พวกเขาใช้เวลาสองปีกว่าจะมีชิปพอซื้อตึกเป็นของตัวเอง แต่มันก็แลกกลับชีวิตของเพื่อน จากกลุ่มนับสิบคน เหลือสี่ จนมีเดสซิเรและโอลิแวนเข้ามาเพิ่ม ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ใช้สแกนนิ้วมือ รวมทั้งกลอนประตูก็ใช้วิธีนี้ ทันทีที่มาถึงจุดหมาย เขาเคาะประตู มีเสียงตะโกนออกมาดังลั่นว่า “ไม่จ่ายโว้ย ไม่มี ไม่มี เข้าใจกันบ้างสิวะ” มุมปากของผู้ที่อยู่เหนือกว่ากระตุกเป็นรอยยิ้ม ใช่ ถึงต้องใช้วิธีสแกนนิ้วแต่เพราะพวกบลูเป็นเจ้าของตึก ดังนั้นในหกคนนี้จึงมีสิทธิเข้าห้องไหนก็ได้เมื่อเห็นพ้องกัน และเมื่อนั้นระบบจะปลดคำสั่งสแกนนิ้วของห้องนั้นออกไป กลายเป็นห้องว่าง วิธีนี้นำมาใช้กับเวลาเลิกสัญญาเช่า เพียงบิดลูกบิดแล้วเปิด พวกเขาก็เข้าถึงตัวผู้เช่าจอมเบี้ยวหนี้บรูโน่ก้มตัวลง ท่าทีผิดจากน้ำเสียงตอนแรก “ได้โปรดเถอะบลู ฉันไม่มีชิปให้นายเลย”เขาส่ายหน้า “สองเดือนแล้วบรูโน่ ไม่มีข้อแม้
สาวผมแดงนั่งมองพวกเขาอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมร่างกายเปลือยเปล่าเพราะเสื้อผ้าถูกถอดออกทิ้งไว้บนพื้น อเล็กซิสกระตุกแขนไมเคิลที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ เธอส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มมากกว่าแสดงออกว่าโกรธ “อยากร่วมด้วยเหรอ” เสียงของหล่อนแหบกระเส่าจงใจยั่วอีกฝ่าย สุดท้ายอเล็กซิสลากไมเคิลออกไปได้สำเร็จไมเคิลมองหน้าเธอ ใบหน้าแดงก่ำ “ฉันคิดว่าเธอถูกทำร้าย” แล้วชี้ไปที่บลูชายหนุ่มชี้หน้าตัวเอง “ฮะ ถูกทำร้าย?” จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น จากที่โมโหดูจะพอใจมากกว่า “ขอโทษที่รุนแรงจนนายตกใจ แต่ช่วยไม่ได้เพราะลีลาชั้นมันเผ็ดร้อน” เขาตบไหล่ชายหนุ่ม แต่ไมเคิลมีกะใจเบี่ยงตัวออก“คือ...บลู ไมเคิลค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย ฉันขอโทษจริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจ” อเล็กซิสแก้ตัวให้เพื่อนและพยายามมองแค่หน้าของบลู ปกติแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ หรือตรงสเป็ก แต่หุ่นของเขานี่มัน...หน้าอกชายหนุ่มยังคงสั่นไปตามแรงหัวเราะ “พูดจริงดิ เพื่อนเธอไม่รู้จักเสียงเมื่อกี้เหรอ เอ แล้วที่อยู่ในห้องกันสองคนทำอะไรกันวะ” เขาหันไป
ไมเคิลพยายามทำตัวเป็นปกติ เขามานอนเล่นในห้องเธอตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะในห้องตัวเองเต็มไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสามหนุ่มไอทีอย่างโคดี้ เรมี กับอาคุสะที่พยายามถอดรหัสเข้าเครื่องให้ได้ ทอยซิตี้ไม่ใช่เมืองพักตากอากาศ หากพวกเขาไม่ดื่มหรือชมลานประลองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก ทั้งสองคุยกันว่าจะหางานทำช่วงเย็นดีไหม อย่างน้อยอาจแก้เบื่อแถมได้ชิปนิดหน่อย ไมเคิลเคยลองทำแล้วออกมาและอาจจะกลับเข้าไปใหม่วันนี้จึงผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับทั้งสองคน บางครั้งเธอนั่งจดบันทึกอยู่ เขาจะเริ่มเข้ามากระแซะ หลายครั้งเธออยากให้ตัวเองคล้อยตามแต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เธอหยุด สัมผัสของไมเคิลไม่ได้ทำให้เธอใจสั่น ทั้งที่หน้าตาและรูปร่างเป็นต่อ อาจเป็นเพราะแววตาของเขาแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าต้องการจริง ๆ และอาจเป็นเพราะเขาทำให้เธอรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างออสโล่กับลิ้ตเติ้ลชาร์ลีมากเกินไป ความใกล้ชิดของพวกเขายิ่งกว่าก่อนอเล็กซ์จะตีจากเสียอีก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนอนตัก กอด หรือถูกเนื้อต้องตัว พวกเขาไม่เคยไปไกลเกินกว่านี้ ถ้าไม่นับจูบทดลองคราวนั้นและสุดท้าย เด็กหนุ่มมักผล็อยหลับบนตักเธอเสมอ ไมเคิลชอบให้เธอเ
คำสุดท้ายแรงเหมือนตบหน้าโดยไม่ใช่มือ แววตาหยิ่งผยองเมื่อครู่กลายเป็นหวาดหวั่น และเมื่ออเล็กซิสเห็นเงาตัวเองในดวงตาคู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ความเกลียดชังในตัวเธอส่งผ่านออกมาจนเห็นชัดผ่านเงาสะท้อน และแม้แต่ตัวเองยังแทบรับไม่ได้กับใบหน้านั้น ดวงตาเธอเหลือบมองเทสซ่าและรีเวอร์ที่ยังคุยกันดี ไม่มีทะเลาะ จึงจับตัวมินนี่เลื่อนออกไป ให้ตัวเองมีช่องว่างปลีกตัวมินนี่ไม่สนใจ เธอเขยิบตัวแล้วก้าวไปเกาะกำแพงข้างหน้าแทน สายตาจดจ่ออยู่ที่พี่สาวตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง เวลานี้อเล็กซิสไม่สนใจแล้วว่าต้องรอเทสซ่าหรือไม่ แต่ฉวยโอกาสนี้กลับเขต ใบหน้าอาฆาตเมื่อครู่ยังติดอยู่ในหัว“ฉันไม่เคยอยากให้พวกเขาตาย”เท้าเธอหยุดกะทันหัน เบลินดาเดินตามมา “เวดยังไม่ตาย” เธอสวน หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้ที่มาจากที่เดียวกัน “เธอไม่เคยขอโทษ ไม่เคยรู้สึกผิด ตลอดเวลาฉันเห็นเธอลอยหน้าลอยตาราวกับตัวเองเป็นเหยื่อ...”“เพราะฉันเป็นเหยื่อ” เด็กสาวตรงหน้ากำหมัดแน่น มือทั้งสองข้างสั่นอเล็กซิสหัวเราะ “กล้าพูด”“เหยื่อของผองเพื่อ
“โอ้” ทำไมเราต้องรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ด้วยนะ เธอเหลือบมองเพื่อนสาวอีกที สองคนนั้นยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวว่ามีคนกล่าวถึง “หมอนั่นไม่ได้เป็นโรคจิตใช่ไหม” เธอถาม เพราะมินนี่ไม่เคยเก็บความลับของพี่สาวอยู่มินนี่ส่ายหัว “รีเวอร์น่ารักจะตาย ไม่กวนประสาทเหมือนโคดี้ด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่ โนเอลก็ชอบ” แววตาสีฟ้าอ่อนสลดลงเมื่อนึกถึงพี่ชายที่จากไป อเล็กซิสลุกขึ้นกอดเธอเป็นการปลอบโยน “ถ้าเขาไม่หายไปและไม่ทำให้เทสซ่าเสียใจก็ดี แต่มันไม่ได้แปลว่าฉันเชียร์เขาแทนโคดี้นะ” เด็กสาวเงยหน้าทำตาปริบ ๆ ถึงแม้เธอค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เอ็นดูน้องเล็กของพวกโธมัสคนนี้อเล็กซิสยิ้ม “ฉันรู้”เธอมองรีเวอร์อีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้ตัวจึงเดินหายไป เธอไม่เคยรู้เรื่องเขาเลย ไม่แน่ใจว่าเทสซ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับแฟนเก่า แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีเรื่องขัดข้องใจกับแฟนปัจจุบันก็คงดี อเล็กซิสถอนหายใจ เธอนึกถึงวันที่อเล็กซ์เจอเธอแอบอยู่หลังถังขยะข้างตึกที่พักไมเคิล สติตกอยู่ใต้อำนาจฤทธิ์ยา ถึงแม้เธอไม่อาจตอบได้
พวกผู้หญิงมีวิธีบรรเทาความเครียดต่างกับผู้ชาย ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน การได้จับจ่ายซื้อของคือความสุขและวิธีปลดปล่อยมวลพลังลบทั้งปวง ถึงแม้ที่นี่ไม่มีร้านบูติกแบรนด์ชั้นนำ หรือแม้แต่ร้านโนเนมดีไซน์ล้ำ มีเพียงตลาดมือสองและแผนกเสื้อผ้าในซูเปอร์ตั้งราวเรียงกันเป็นตับ ไร้รสนิยม แม้ทอยซิตี้ไม่มีตัวเลือกให้กับผู้หญิงมากนัก แต่แค่ได้สวมใส่ ลอง และซื้อ ก็สนองนี้ดได้ไม่ยาก และเพราะมันเป็นหนทางเดียวสำหรับพวกเธอคงมีแค่อเล็กซิสที่นั่งเท้าคางรอเทสซ่าแต่งตัวคนอย่างอเล็กซิสหรือจะแค่นั่งรอ เด็กสาวผู้ชื่นชอบสะสมเสื้อผ้าสวยและน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งที่ค่าตัวจากงานพิเศษต่าง ๆ ละลายไปกับของพวกนี้ เหตุใดเธอจึงนั่งเบื่อ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ใครคือคนที่ช้อปด้วยต่างหาก และก็ไม่ใช่เพราะเทสซ่าแน่นอนเทสซ่าเดินออกจากห้องลองเสื้อพร้อมเบลินดา สวมเสื้อแจ็กเกตดำแบบเดียวกับที่เธอชอบยืมอเล็กซิสใส่สมัยอยู่ในหอพัก (ท่าทางจะชอบจริง ๆ) เสื้อนอกทับเสื้อสายเดี่ยวสีเขียวข้างใน ด้วยบุคลิกทะมัดทะแมง ผิวสีเชสนัทเกลี้ยงเกลา และรองเท้าบูตส์หนัง เธอยิ่งสวยและเท่เหมือนนางเอกเดินออกจากหนังแอคชั่น “สามพันสองร้อยชิป ไม่ใช่หนั
ไมเคิลส่ายหัวปัดมือให้เธอถอยออกไป (ไม่กล้าแตะตัวเธออีก) อเล็กซิสในอ้อมกอดอเล็กซ์ไม่ได้นอนหรือหลับ หากแต่ตื่นอยู่แต่เหมือนไม่ค่อยมีสติ ริมฝีปากพึมพำว่า “ปล่อย” เบา ๆ ในลำคอ“เปิดประตูสิ” อเล็กซ์สั่งเพราะมือทั้งสองอุ้มเพื่อนของเขาไว้“นายก็เขยิบสิ” เขาสั่งกลับ อเล็กซ์เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ประตู เขาจับมืออเล็กซิสแตะที่ตัวสแกนเพื่อปลดกลอน มีเสียงดังกริ๊ก มือผลักบานประตูเปิดให้อเล็กซ์เข้าข้างใน “นี่” ไมเคิลไม่สนใจหญิงสาวเลยปิดประตูใส่หน้าหล่อนดังปัง เธอทุบครั้งหนึ่งก่อนจะด่าออกมา เมื่อนั้นเสียงฝีเท้าห่างออกไป ในที่สุด“ฉันอยากได้ผ้าชุบน้ำ”ไมเคิลพยักหน้า ส่วนอเล็กซิสก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียงให้ได้ “ไม่...ต้อง...” จนอเล็กซ์ดันตัวเธอลง “ไม่” สภาพอเล็กซิสไม่ต่างจากคนเมายา เขาไม่รู้ว่าเธอไปโดนอะไรมาแต่ก็ทำตามที่อเล็กซ์บอก นั่นคือเข้าไปในห้องน้ำแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็ก พอเปิดก๊อกก็พบว่าน้ำแรงปกติ โกหกจริงด้วย มือทั้งสองรีบบิดน้ำหมาด ๆ พอออกมาก็เห็นสองอเล็กซ์เถียง
ไมเคิลรุดไปยังหน้าต่างตรงทางเดิน ยกบานหน้าต่างจนสุดแล้วชะโงกหน้าออกไป ลมแรงตีปะทะหน้า ถึงแม้เขาจะชอบอากาศเย็นสบายมากกว่าร้อน แต่เมื่อทอยซิตี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ลมกลับไม่น่าพิสมัย สายตาของเขาเลื่อนไปช้า ๆ ทีละจุด ทีละจุด แต่ไร้ประโยชน์ ถึงอเล็กซิสอยู่แถวนี้ก็ยากที่จะเห็นอยู่ดี ทำไมต้องโกหก เธอไปไหนกันแน่ หัวใจบีบรัดเมื่อความผิดหวังจู่โจม เขาคิดว่าเธอไม่ไว้ใจเขา ทั้งที่เข้าใจว่าตนเองคือคนที่เธอสนิทใจที่สุด มากกว่าเทสซ่า แต่สุดท้าย เขาคิดผิดอเล็กซ์โผล่หน้าออกมาข้าง ๆ ผมของเขายาวจนต้องจับมันไว้ไม่ให้ปลิวและพัดเข้าหน้า “เขามีท่าทีแบบนี้มาสักพักแล้วยัง”ไมเคิลไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร ตอนนี้ดูเหมือนทั้งสองจะพักอารมณ์เหม็นขี้หน้าชั่วคราว ถึงแม้ทุกคนเห็นว่าเธอค่อนข้างโทรมและเงียบกว่าตอนอยู่ในศูนย์ฝึก แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นเลย ใช่แล้ว ไม่มีใครสังเกตเลยรวมทั้งตัวเขาเองด้วย“เขาบอกอะไรนายบ้าง” ชายหนุ่มเริ่มยิงคำถาม “มันเกี่ยวกับที่โดนจับไปหรือเปล่า หรือไม่ใช่”“ไม่รู้!” ไมเคิลตอบอย่างมีอารมณ์ “แล้วนาย
ห้องของไมเคิลกับเรมีแออัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อรองรับคนถึงเก้าคน คอมพิวเตอร์จอแบนขนาดสิบห้านิ้วตั้งกลางวง หน้าตามันดูดีจนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาประกอบกันเอง เรมีเสียบปลั๊กแล้วกดเปิด หน้าจอสีดำกะพริบถี่ ๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลปรากฏเปลวไฟเป็นตัวอักษรรูปตัวเอทับต้นไม้ มันพลิ้วไหวเหมือนไฟมีชีวิต “โอ้โห” พวกเขาตื่นเต้น ไม่นานกล่องสีขาวเด้งออกมาเพื่อให้กรอกรหัส“ข้างในมีอะไรบ้าง” อเล็กซิสยื่นหน้าเข้ามา มือกำขวดน้ำแน่นท่าทางกระหายน้ำตั้งแต่เข้ามาในห้อง“ต้องกรอกรหัสก่อน” เรมีย้ำ สายตาจดจ่อกับหน้าจอดังกล่าว“กรอกสิ” เทสซ่าเร่ง “ฉันอยากรู้แล้ว”“เอ่อ” หนุ่มน้อยวัยสิบหกเคาะคีย์บอร์ดสัมผัส “เรายังแฮคมันไม่ได้”“หา?” พวกที่เหลือร้องออกมาพร้อมกัน “ถ้าอย่างนั้น...พวกนายเรียกให้พวกเราดูแค่ว่ามันเปิดได้”“ใช่” เรมีพยักหน้าหงึก ๆ “ไม่ตื่นเต้นกันเหรอ”“ฉันบอกแล้วว่าเราควรเจาะรหัสให้ได้ก่อน” อาคุสะพูดเสียงเรียบ เข
อเล็กซิสเงยหน้ามองไฟข้างบนอย่างกับจะจับผิดระบบ แต่ไมเคิลรู้ตัวการดีจึงเหยียดเท้าถีบเก้าอี้ข้างหน้า แม้ยั้งแรงไว้บ้างแต่ตัวอเล็กซ์อัดเข้ากับขอบโต๊ะจัง ๆ ไม่ทันร้องว่าเจ็บก็ลุกพรวดจนเก้าอี้กระแทกโต๊ะข้างหลังซึ่งก็คือระหว่างไมเคิลและอเล็กซิส เขาหมุนตัวเตรียมจะพุ่งเข้ามา ไมเคิลรออยู่แล้วง้างหมัดเตรียมสวน ทว่าสงครามยุติก่อนที่มันจะเริ่ม อเล็กซิสกับเรมีพร้อมใจกันกดเขาไว้กับโต๊ะ ส่วนอาคุสะและฟีบี้ทำแบบเดียวกันกับอเล็กซ์“ตรงนั้นมีอะไรกัน!”“เข้าใจผิดครับ เข้าใจผิด” เรมีตะโกน “พวกนายหยุดเดี๋ยวนี้”ทั้งสองจ้องหน้ากันราวกับเป็นศัตรูมาช้านาน ยิ่งอเล็กซ์ไม่ได้ตัดผมโกนหนวด หน้าตารุงรัง ยิ่งทำให้สีหน้านั้นเอาเรื่องกว่าตอนใบหน้าเกลี้ยงเกลา “บอกให้เขาหยุดสิ” ไมเคิลเถียง เสียงแหบแห้งเพราะน้ำลายติดคอ“นายนั่นแหละที่หยุด” เรมีกดศีรษะเขาลง“เบา ๆ เรมี ไมเคิลนายอยู่นิ่ง ๆ” อเล็กซิสว่า“ฉันไม่ได้เริ่ม!” เขาจ้องหน้าอเล็กซ์เขม็ง“เฮ้ ๆ พวกนาย” เทสซ่ายืนขึ้นเตรียมพ