ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเช็กซองบุหรี่ที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าทรงดัฟเฟิลทำจากหนังแท้อย่างดี ตัวกระเป๋าเป็นรุ่นพรีเมี่ยมออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง ฟลาเวีย นีโร พอนับหมดแล้วพบว่ายังเหลืออยู่ครบยี่สิบซอง เทียบจากครั้งก่อน แสดงว่าไม่มีใครขโมยไป
“นับทำไมวะ ใช้ไม่ได้อยู่ดี”
เจ้ากระเป๋าใบนี้ถูกนำมาใช้เฉพาะกิจเพื่อเก็บแพ็กบุหรี่ยี่ห้อ ‘เบสต์ อามี’ ที่เขาหวงแหน มันเป็นยี่ห้อบุหรี่ที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ (ถึงแม้ว่าจะยัดไส้พิเศษก็ตาม) มันเข้าคู่กับไฟแช็กแฮนด์เมดที่ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ตกแต่งด้วยเพชรรูปไข่ขนาดเล็กรายล้อม บนตัวไฟแช็กมีอักษรย่อสลัก ‘บี.อาร์.’ เขาอยากจุดบุหรี่ขึ้นสูบเหลือเกิน อยากเห็นบุหรี่ในมือค่อย ๆ มอดไหม้พร้อมกับสูดควันศักดิ์สิทธิ์เข้าปอด แต่เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมา เขาจำต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน หนทางที่จะได้สูบมันอีกครั้งอาจจะยังมีอยู่...หรือไม่มีวันนั้นแล้วก็ได้ พอคิดแบบนี้ เขาถอนหายใจด้วยความเสียดายของ
ถ้าเลือกได้ เบนอยากสูบบุหรี่ให้หมดไปมากกว่าทิ้งมันไว้แบบนี้ บุหรี่พวกนี้ไม่สมควรถูกเก็บไว้ประหนึ่งของดูต่างหน้าในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว มันควรถูกใช้ให้หมด
ชายหนุ่มเช็กหน้าตาตัวเองหน้ากระจกก่อนที่จะออกจากห้อง ประตูเปิดออกเองอัตโนมัติ ด้านนอกยังคงเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกปิดล้อม ไม่มีช่องว่างให้เห็นโลกภายนอก กำแพงสีขาวสว่างจ้ารายล้อมรอบกาย ทั้งพื้นและเพดาน ล้วนทาสีขาวสว่างชวนให้แสบตา อาคารโอ่อ่าพอสมควร หากคำนวณวัดระยะพื้นทางเดินไปยังเพดานด้านบน ระยะห่างคงประมาณสามสิบเมตร ส่วนตัวกำแพงมีไฟประดับฝังอยู่ข้างใน คอยส่งแสงส่องสว่างให้กับคนที่เดินไปเดินมา
สีขาวไม่ได้ทำให้พวกแกดูใสซื่อประหนึ่งสาวบริสุทธิ์หรอกนะ เขาคิด
เบนเคาะประตูห้องข้าง ๆ ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาถอนหายใจอีกรอบ เซ็ง เพื่อนของเขาคงออกไปที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะล่วงหน้าไปยังห้องอาหารแล้วก็ได้ เบนจึงมุ่งหน้าไปยังที่นั่นตามลำพัง มันเป็นห้องโถงกว้าง ๆ ที่ไม่มีร้านขายอาหารเปิดบริการ แต่มีเครื่องทำอาหารอัตโนมัติตั้งไว้ เพราะยังเช้าตรู่ ข้างในจึงค่อนข้างโล่ง เขาเดินไปดูรายการอาหารบนจอภาพขนาดใหญ่ซึ่งจะบอกเมนูที่มีในแต่ละวัน
ครัวซองต์ เฟรนช์โทสต์ แพนเค้กกล้วยหอม เอ้กเบเนดิกต์ แซนด์วิช เฮ้อ ไม่ ไม่เอา น่าเบื่อ คร็อกเห็ดชองปิญอง...ไม่มีเนื้อเลยเหรอ ไม่เอาดีกว่า สร้างเมนูอาหารของคุณเอง แล้วจะมีรายการอาหารเฉพาะวันไว้เพื่ออะไรวะ!
“เอ่อ...วัฟเฟิลโรยไอซ์ซิ่ง ขอไข่เจียวออมเล็ต...อืม ใส่แฮมลูกเต่า หัวหอมสับ พริกเขียวสับ ชีส และซอสมะเขือเทศ ไม่เอาจากขวด ถ้าเชฟเกราะเหล็กอย่างแกเข้าใจอะนะ โรยฮาชบราวน์ข้างบนจะดีมาก อ้อ อย่าลืมไส้กรอก สลัดผลไม้สด แล้วก็น้ำแร่ด้วย”
เขาเคาะนิ้วบนเคาน์เตอร์อยู่ไม่กี่นาที อาหารที่สั่งก็ออกมาจากช่องหน้าต่างบานเล็ก อาหารในถาดส่งกลิ่นหอมกรุ่นและใช้ผลิตผลสดใหม่ เขาสงสัยอยู่เสมอว่าด้านหลังไอ้ตู้อาหารเหล่านี้ ใครทำหน้าที่เป็นเชฟกันแน่ ระหว่างหุ่นยนต์ หรือว่าคนที่คอยคุมเทคโนโลยีพวกนี้อีกที
เบนมองไปรอบห้องเพื่อหาเพื่อนตัวเอง แต่ไม่มีใครคุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักคน จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดอยู่ที่เด็กสาวสวยน่ารักราวกับตุ๊กตา เธอนั่งอยู่ระหว่างเด็กหนุ่มหน้าจืดสองคน เขาไม่เคยเห็นเธอเลย บางทีเธออาจจะเป็นพวกเด็กหน้าใหม่ก็ได้ เพราะพวกคนใหม่จะมาที่นี่ทุกวัน วันละสองสามคนบ้าง หรือกลุ่มใหญ่บ้าง แล้วแต่วันไป
เด็กสาวจับสายตาเขาได้ ดวงตาโตสีน้ำเงินมองกลับมาประหนึ่งใคร่รู้ว่าเขามองเพื่ออะไร เบนเผยอรอยยิ้มมั่นใจเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แทนที่เธอจะเขิน หรือส่งสัญญาณสักอย่าง เด็กสาวเพียงยิ้มตอบกลับอย่างสุภาพ เมื่อนั้นเขาจึงสังเกตเห็นว่าที่คางและลำคอของเธอมีรอยแผลฟกช้ำ แม้ดอกไม้ดอกนี้จะมีรอยตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ยังเหมาะที่จะถูกนำไปประดับในแจกันราคาแพงอยู่ดี หนุ่มหัวทองที่นั่งข้างเธอหรี่ตามองมาทางเบน ชายหนุ่มยักคิ้วส่งสายตาท้าทาย แต่เจ้าหมอนั่นเพียงแค่เขยิบที่นั่งเพื่อกันสายตาของเบนเท่านั้น
“เขาอุตส่าห์ยิ้มให้นะ” คนหัวแดงพูด
“ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่อยากนั่งตรงนี้” เจ้าหนุ่มตอบ แต่เบนรับรู้ได้จากโทนเสียงว่าเด็กคนนั้นไม่ชอบใจที่เขามองเพื่อนสาว
เบนหันกลับไปสนใจอาหารของตัวเอง รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนหน้า พอคิดว่ามีดอกไม้งามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดอก เขาคงมีกิจกรรมให้ฆ่าเวลาเล่นเพิ่ม คุกแห่งนี้ หรือที่ผู้คนเรียกว่า ‘หอพัก’ ค่อยมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย คิดเสร็จแล้ว เขาเริ่มจัดการอาหารในจานของตัวเอง
“หวัดดี เบน” เสียงหญิงสาววัยละอ่อนทักจากด้านหลัง พอเขาหันไปมอง เธอก็นั่งลงข้างกายแล้ว ไม่ขออนุญาตเลยสักคำ ส่วนเพื่อนของเธอเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเธอ พวกดอกไม้ที่เขาเคยหยิบมาดม และไม่คิดจะหยิบกลับมาอีก
“อาฮะ สวัสดี...” เขาตอบ
เธอเอนหลังพิงพนัก สลับขานั่งไขว่ห้าง เขาชำเลืองมองผิวขาวเนียนบนต้นขา ชายหนุ่มแค่นยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทัน เขาอาจเคยอยากสัมผัสผิวเนียนตรงนั้น แต่เมื่อได้สัมผัสไปแล้วก็ไม่คิดโหยหาอีก เพื่อนของเจ้าหล่อนยื่นหน้าเข้ามา หน้าอกขนาดแม่ช้างแมมมอธวางเผละลงบนโต๊ะ ปากถามว่า “นายรู้ไหมว่าอเล็กซ์อยู่ที่ไหน”
เขายักไหล่ ถ้ารู้ ฉันจะนั่งคนเดียวไหมเล่า
เด็กสาวที่นั่งข้างเบนไม่ได้สนใจเพื่อนเธอเลย เธอเอาแต่มองเขาอย่างเดียว “เบน นายเงียบจังเลยนะ เป็นแบบนี้มาสองวันแล้ว มีอะไรจะแก้ตัวไหม” เธอกอดอก ทำหน้าขึงขัง
เขาแน่ใจว่าเธอคิดถึงเขามาก เบนพยายามกลั้นหัวเราะ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะสมัยที่เขายังเป็นทายาทตระกูลโรซิเยร์ ใช้ชีวิตในวงสังคมชั้นสูงของเมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส
“เอ่อ ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันพยายามนึกชื่อเธอ แล้วก็เธอด้วย แต่น่าเสียดาย ไม่พบข้อมูลในหัวเลยสักตัว”
พวกเธอใช้เวลาราวสองสามวินาทีกว่าจะเข้าใจว่าเบนหมายถึงอะไร ช้าไปนะ เมื่อเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ สองสาวหุนหันลุกออกจากโต๊ะโดยทิ้งท้ายไว้ว่า “ไอ้สารเลว!”
ไม่ใช่คนแรกที่ด่าฉันแบบนี้หรอก เบนกลืนแฮมลูกเต่าลงคอ ไม่รู้สึกกระดากหรือต้องการน้ำแต่อย่างใด ไม่แม้กระทั่งสนใจสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ
คำผรุสวาทที่ออกจากปากพวกผู้หญิงเปรียบเสมือนกับแหล่งพลังงานชั้นดี พวกผู้ชายชอบบอกว่าเขานิสัยไม่ดี บางที พวกเขาอาจจะพูดถูก หรือพูดถูกที่สุดเลยก็ได้ ก็นะ อย่างเดียวที่เขาจำได้เกี่ยวกับเด็กสาวคนนั้นคงเป็นภาพที่เธอนอนนิ่งราวกับซากหิน เธอประทับใจเบนจนถึงขนาดพูดไม่หยุดว่านี่เป็นค่ำคืนที่ดีที่สุด เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ ๆ ปราศจากความเป็นมืออาชีพ ไม่จับใจเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งที่เขารู้สึกคือ มันเป็นคืนที่แย่ที่สุด เด็กสาวทำตัวเหมือนตุ๊กตาเซ็กซ์ทอย นอนนิ่ง ๆ ปล่อยให้เขาทำนู่นทำนี่ไป เบนไม่ใช่พวกถือสาอะไรพวกนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ของเขานั้น ถ้าคู่นอนมีความสุขและเขามีความสุข นั่นคือประสบความสำเร็จ เขาไม่สนใจหากตัวเองต้องเป็นฝ่ายนำ แต่กิจกรรมนี้ต้องการความร่วมมือ และมันมีข้อแตกต่างระหว่างคำว่า ‘ขี้อาย’ กับ ‘ห่วย’ พวกแรกอาจพัฒนาเป็นระดับบรมครูได้เลย แต่พวกหลัง เป็นพวกที่ไม่ต้องฝากความหวังอะไรไว้ เด็กสาวคนนั้นจัดอยู่ในประเภทที่สอง เธอสุขสม เขาไม่
แล้วอเล็กซ์ แม่งหายหัวไปไหนของเขาวะ เขาครุ่นคิดแต่ไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพียงแต่รำคาญใจเล็กน้อยที่ต้องนั่งรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพัง
เบนเหลือบมองเด็กสาวที่เพิ่งมาใหม่คนนั้นอีกครั้ง เธอเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งกลุ่มกำลังเดินออกจากโรงอาหาร ท่าทางยังสับสนกับทิศทาง เขาได้ยินพวกเขาคุยกันว่าจะหาสถานที่กลางแจ้ง เบนสั่นหัวในความไม่รู้ของเด็กทั้งสาม
หาให้ตายก็ไม่เจอหรอก
อาคุสะถอนหายใจอยู่ข้าง ๆ“อะไรอีก” อเล็กซ์ถาม“อเล็กซิสเป็นกลุ่มเสี่ยง” เขาตอบ “นายก็รู้ว่าพลังชีวิตของกลุ่มเสี่ยงมากกว่าคนปกติทั่วไป ยิ่งพวกเขาเป็นแฝด แถมยังเป็นแฝดที่เกิดจากแฝดพิเศษ สิ่งที่พวกเราเห็นอาจเป็นตัวพิสูจน์ อย่างน้อยตาเฒ่าทรอยก็ทำสำเร็จอยู่บ้าง ฉันคิดว่าพวกเขาพิเศษกว่ากลุ่มเสี่ยงอย่างพวกเราอีกนะ”ตอนนี้หัวของเขามึนตึบตามอาคุสะไม่ทัน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านสีหน้าออกจึงอธิบายต่อ “ร่างต้นแบบของลูก้าและเจมม่าเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มแรก ฝาแฝดที่มีพลังพิเศษ ร่างโคลนก็มีพลังพิเศษ ลูก ๆ ของพวกเขา...ไมเคิลก็มีพลังพิเศษ ตอนนี้เราก็เห็นแล้วว่าอเล็กซิสมี เป็นไปได้ไหมว่าถ้าพ่อแม่เป็นกลุ่มเสี่ยง ลูกก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน แล้วความที่พวกเขาเป็นแฝด จึงมีพลังเชื่อมเข้าหากัน เกื้อหนุนกัน”อาคุสะวางมือบนไหล่อเล็กซ์แล้วตบเบา ๆ “มันเป็นสัญญาณที่ดี เธอไม่ตายง่าย ๆ หรอก”อเล็กซ์ยืนนิ่งแต่ดวงตากวาดมองรอบ ๆ อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่บาดเจ็บ ยังมีคนเจ็บ บ้างมีแผลเล็กน้อย บ้างบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อนั้นจึงตบหน้า
ความเงียบเปรียบดั่งมีดคมเสียบแทงเข้าไปในหัวใจ หากเพียงคนที่บาดเจ็บเป็นเขาแทน เขายอมแลกทุกอย่าง อเล็กซ์ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่เพื่อมองทุกคนตายไปต่อหน้าต่อตา คนเหล่านี้ช่วยชีวิตเขาได้สำเร็จทุกครั้ง ไม่ว่าจะแม่ เบน และอเล็กซิส แต่เหตุใดเขาไม่เคยช่วยชีวิตใครได้เลย ไม่มีแม้แต่โอกาสได้ช่วย“อเล็กซ์!” ไมเคิลกระชากแขน เขาหันไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม“ไม่!” เขาตวาดใส่หน้า หากไมเคิลจะแย่งไปก็ทำได้ แรงของอีกฝ่ายมีมากกว่าและอเล็กซ์ก็ไม่เหลือพลังโต้กลับ แต่เพราะมีอเล็กซิส ไมเคิลจึงทำได้เพียงอ้อนวอน“ปล่อย ฉันจะช่วยเธอ!”“ไม่!” เขาตะโกนใส่หน้าเด็กหนุ่ม “ทุกครั้งที่ฉันปล่อยมือ เธอก็ห่างฉันไปทุกที...” ก้อนสะอื้นจุกในคอ เขาไม่อาจโต้ตอบได้อีกกล้ามเนื้อบนหน้าไมเคิลกระตุก เขาโกรธ โกรธมาก แต่ก็ยังพยายามควบคุมอารมณ์ “นี่พี่สาวฉัน ฝาแฝดของฉัน ปล่อยตัวเธอ ฉันอาจช่วยเธอได้ เมื่อกี้...”“ก็ทำสิ!” เขาดึงแขนเด็กสาวกลับ จ้องดวงตาสีฟ้าที่คล้ายกับของอเล็กซิสหากแต่สีนั้นอ่อนกว่า “ช่วยชีว
ไมเคิลไม่มีหลุมพราง และอเล็กซ์กลัวว่าอเล็กซิสจะไป พวกเขามีสายใยบางอย่างที่น่ากลัว หลังจากผ่านด่านทดลอง จากคนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนสนิท ไมเคิลเกาะติดอเล็กซิสแจทั้งที่ก่อนหน้าไม่ยอมเข้าสังคม อเล็กซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงเกลียดชังหนุ่มผมเงินมากขนาดนั้น อเล็กซ์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ถ้าหากถึงเวลานั้นจริง ๆ วันที่เธอเลือกไมเคิล เขารู้ว่าตัวเองคงทำใจไม่ได้ สู้ตัดใจแต่ตอนนี้ยังดีเสียกว่าเขาปล่อยมือเธอมันกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจจนถึงตอนนี้ ทั้งที่แทบเป็นบ้าเมื่อเธอหายไป แต่กลับโกรธแทบตายที่ไมเคิลเจอเธอ ทำไมต้องหมอนี้ด้วย(วะ) ไอ้หัวเงินดูแลเธอตลอด อเล็กซ์ใช้เวลาอันมีค่าไปกับการปฏิเสธความรู้สึกตนเอง ใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์เพื่อโกรธและเกลียด เพื่อตอบสนองความกลัวและขลาดเขลาด้วยการเดินออกจากแสงสว่างนั้น จนเมื่อไมเคิลบอกว่าเธอกำลังจะตาย มันไม่ต่างอะไรจากวันที่อเล็กซิสบอกว่าเบนไม่กลับมา และวันที่เบนเดินมาบอกว่าแม่ไปแล้ว ความกลัวพัฒนาจนความรู้สึกมากมายงอกเงย โมโห หึงหวง โกรธ เกลียด สุดท้ายอารมณ์ทั้งหมดก็มาลงที่ตัวเอง เขาเกลียดตัวเองที่สุดยามเห็นอเล็กซิสทรมานไม่ว่
สองครั้งที่อเล็กซ์เผชิญหน้ากับความตาย เหมือนหลับไปตื่นหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นคนที่เขารักก็จากไป ครั้งแรกคือแม่ และครั้งที่สองคือเบน เคยคิดว่าตัวเองชินชากับความตาย แต่ไม่เลย เขาไม่พร้อมเจอครั้งที่สามอเล็กซานเดอร์ โวลคอฟอาจถูกกำหนดให้อยู่เพียงลำพังและตายโดยลำพัง แต่สุดท้ายเขาก็ยังหายใจอยู่ช่วงแรกที่เขาพบเธอ เคยคิดว่ามันอาจเป็นแค่อารมณ์อ่อนไหว เขายังยี่สิบต้น ๆ และเธอก็อ่อนกว่าไม่กี่ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามที่เหมือนเดินออกมาจากนิตยสาร นิสัยใจคอที่ทำให้คนหลงรักได้ไม่ยาก มันก็แค่นั้น แต่นานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าเธอเหมือนแสงสว่างดวงน้อยที่มักอยู่ในสายตาเสมอ วันที่เขารู้ว่าเบนจะไม่มีวันกลับมา วันที่มืดมนที่สุดจนอเล็กซ์อยากหายไปจากโลกนี้ อเล็กซิสกลับอยู่เป็นแสงอันอบอุ่นปลอบโยนจนการมีชีวิตดูมีความหมายมากขึ้นก็ไม่ยากเท่าไรนักกับการมีชีวิตในโลกที่เขาไม่รู้จักมันเริ่มต้นมาจากวันนั้น...ในท้องฟ้าจำลอง แม้มองเห็นเพียงแผ่นหลังก็ยังรู้สึกถึงดวงจิตที่แตกสลายย่อยยับอยู่ภายใน ชั่ววูบหนึ่งเขาเห็นเงาของแม่ซ้อนทับ ดวงตาคู่งามแสนเศร้าและปลงตกในคราวเดียวกัน ประหนึ่งร่างของเ
บราวน์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้า วาร์กเนอร์เป็นหัวหน้าทีมคนก่อน“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แต่นัยน์ตาจับจ้องที่ดวงหน้าผู้ถาม สีหน้าของเดวิสดูซีดลงเล็กน้อย นัยน์ตาหม่นแสงลงคล้ายกับไม่สบายใจ เขาไม่แน่ใจนักว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไปถึงขั้นไหน แต่คงมากพอที่จะให้วาร์กเนอร์พยายามหาข้อมูลไปประเคนชายหนุ่มคนนี้ได้งี่เง่า โดยเฉพาะวาร์กเนอร์ที่ดันผันตัวจากไฟเป็นหิ่งห้อย“พวกเราตกใจนิดหน่อยว่าอาจมีปัญหาอะไรหรือไม่...” ดูเหมือนเขาพยายามจะหาเหตุผลเพื่อไม่ให้ตัวเองดูผิดปกตินัก นายน้อยโวลคอฟคลี่ยิ้มน้อย ๆ “...หรือมีข้อตกลงที่ฝ่ายคุณไม่พอใจเป็นต้น”“ไม่หรอกครับ” บราวน์ตอบทันที “ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่คุณวาร์กเนอร์ถูกย้ายไปประจำตำแหน่งอื่นที่เหมาะสมกว่า ทีแรกผมกังวลที่ต้องมาประสานงานต่อ แต่อย่างที่เห็น ทุกอย่างเรียบร้อยดี อีกอย่างการโยกย้ายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจเบื้องบน มัน...ค่อนข้างจะเป็นเรื่องภายใน ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ...” เขาวางมือลงบนโต๊ะ “...งานตรงนี้หรอกครับ”ในห้องเงียบไปสักพัก เค
ปัญหาไม่ใช่เนื้อหางานหรือรูปแบบของงานแต่อย่างใด แต่มันคือเหตุใดต้องเป็นเขาระแคะระคาย? ก็อาจเป็นไปได้ แต่อย่างที่บราวน์สรุปไปก่อนหน้า เมื่อไม่ลงมือก็แปลว่าขาดหลักฐาน เมื่อไม่จัดการก็แปลว่ายังต้องการอยู่ดังนั้นหากบราวน์จะรู้สึกเสียวสันหลังนิดหน่อยก็ไม่แปลกนัก การประสานงานกับคนภายนอก ทั้งยังต้องระมัดระวังข้อมูลไม่ให้รั่วไหล ยิ่งบราวน์ตงิดใจว่าถูกจับตามอง หากแม้เขาระวังตัวเพียงใด แต่คนใต้อำนาจเกิดสะเพร่าขึ้นมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรเสียเขาก็ต้องโดน...ก็นะ ถ้านี่ไม่ใช่กับดักขอเถอะ อย่างน้อยให้ส่งของก่อนสักพัก เคย์ซี่เข้ามาเสิร์ฟกาแฟ เมื่อเธอหันหลัง บราวน์อดไม่ได้เหลือบมองบั้นท้ายกลมกลึง กระโปรงของเธอยาวพอดีเข่า แต่เพราะมันรัดรูปจนเห็นเป็นทรงสวย...ผลของการสควอทสินะ เขาสังเกตเรียวขาที่มีเส้นกล้ามเนื้อบ่งบอกว่าออกกำลังกายอย่านอกเรื่อง เขาส่ายหัว อย่างไรก็เป็นผู้ชาย มองนิดมองหน่อยไม่เป็นไรแต่อย่าทำให้สมาธิเสียก็เท่านั้น เขายักไหล่ให้ตัวเองแล้วมองข่าวบนจอโทรทัศน์“...กองทัพส่งกำลังเสริมเข้าต้านฝ่ายก่อกา