LOGINทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นวายร้ายในคราบตำรวจจิตใจดี มือแข็งแรงข้างหนึ่งยึดข้อเท้าเธอไว้แล้วลากกลับมา อเล็กซิสทรงตัวไม่อยู่จึงหน้าคะมำล้มลงกับพื้น ครั้งนี้ คางฟาดกับพื้นไปด้วย เธอได้ชิมเลือดตัวเองจนได้ คาเมรอนโกรธเลือดขึ้นหน้า เขาใช้ไม้กระบองฟาดตัวเด็กสาวอย่างแรง ทุกแรงกระทบเจ็บไปถึงกระดูก นี่คงเป็นความรู้สึกของเวดในตอนนั้น อเล็กซิสยกแขนขึ้นป้องกัน สู้ไม่ถอย เธอได้กลิ่นเหงื่อของมัน และสุดท้าย เขานอนกดเธอไว้สำเร็จ มือสกปรกล้วงเข้าเสื้อชั้นในทันที เด็กสาวไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้อีกต่อไปเพราะถูกปิดปากไว้สนิท คาเมรอนยั้งมือชั่วครู่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินก่อนจะพยายามรุกล้ำเสื้อผ้าของเหยื่อต่อ
“คาเมรอน ฉันว่าพวกเขาได้ยินว่ะ ถ้า...โจเซฟมา พวกเราตายแน่”
“หุบปาก ไอ้ขี้ขลาด แกออกไปเช็กสิวะ ฉันขอสั่งสอนยัยตัวแสบนี่สักหน่อย”
พวกคุณต้องได้ยินบ้างเซ่ อเล็กซิสหวังว่าตำรวจสองนายจะสังเกตเห็นหรือรับรู้ว่ามีอาชญากรรมอุบาทว์เกิดขึ้นในโรงพักที่ตัวเองประจำอยู่ มันเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเหยื่อ
หรือพวกเขาแค่เมินเฉยต่อเรื่องนี้กันแน่
หัวใจของเธอเกือบจะระเบิดออกมาเมื่อได้ยินคำพูดสกปรกที่ออกมาจากปากเน่า ๆ ของมัน อเล็กซิสไม่อาจฟังถ้อยคำน่าเกลียดต่าง ๆ นานาที่คาเมรอนวางแผนจะทำกับเธอได้ เธอนึกถึงครอบครัวแล้วร้องไห้ หยาดน้ำตารดลงบนมือหยาบช้า เขาเริ่มถอดกางเกงของเธอ แต่โชคดีที่มันเป็นกางเกงยีนทรงสกินนี่ที่ถอดยากกว่าปกติ “หยุดใส่กางเกงสกินนี่ได้แล้วสาว ๆ เพื่อสุขภาพของคุณเอง” เธอเคยอ่านบทความนี้ในหนังสือพิมพ์ แต่มันอาจช่วยปกป้องคุณจากการถูกข่มขืนได้ ถ้าเธอรอดไปได้ เธอสาบานว่าจะภักดีต่อกางเกงยี่ห้อเล็กซี่ไปจนตาย
อเล็กซิสยกแขนที่บาดเจ็บขึ้นสู้สุดฤทธิ์ คาเมรอนยังคงฟาดและตบเธอเหมือนระบายอารมณ์เล่น ๆ
“ไอ้บ้า เด็กจะตายเอา” บรูซเตือน
“ฉันจะเอากับศพมันนี่แหละ”
“พอแล้ว คาเมรอน”
“มีใครโผล่หัวมาเหรอไงวะ”
“เปล่า ไม่ได้ยินเสียงไร”
“แกก็เอาอีนั่นซะทีสิ”
ราวกับเป็นทาสเมื่อหลายพันปีก่อน ผู้มีอำนาจไม่ใช่แค่ทำลายชีวิตเธอ แต่ยังลดระดับความเป็นมนุษย์ในตัวเธอด้วย จะมีเหยื่ออีกกี่คนที่ถูกพวกเลวระยำพวกนี้ปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งของไร้ค่า
“ฉันไม่อยากเอากับศพโว้ย” บรูซจับไหล่คาเมรอนเพื่อหยุดไม่ให้เขาทำร้ายเด็กสาวจนถึงตาย พวกเขาปล่อยให้อเล็กซิสมีเวลาได้หายใจ ความเจ็บปวดครอบงำไปทั่วร่าง ทั้งสองคนทะเลาะกันเอง
“เอาเธอกลับไปห้องขังก่อน ถ้าพวกมันนั้นมาเห็น พวกเราตายแน่”
นี่คือนรกบนดินเหรอ อเล็กซิสพยายามจะคลานหนี
“ไม่เร็วเท่าไรนะ” คาเมรอนดึงผมเธอไว้ “มาช่วยฉันถอดไอ้กางเกงเวรนี่ทีสิวะ”
“หยุดได้แล้วคาเมรอน โจเซฟกับเฮลก้าอาจจะไม่ได้ยิน แต่อย่าลืมว่าไซลาสกับโรเจอร์อาจจะได้ยินก็ได้!”
ปัง!
แสงปาฏิหาริย์สาดส่องเข้ามาในห้องพร้อมกับที่ร่างสัตว์ร้ายที่ชื่อคาเมรอนลอยลิ่วไปกระแทกกำแพงฝั่งตรงข้ามเพราะถูกลูกถีบเข้าอย่างจัง บทสนทนานั้นเงียบลงทันที
บรูซผงะ เมื่อเห็นโจเซฟจัดการเพื่อนตัวเองไป
“พวกแกทำบ้าอะไรวะ”
อเล็กซิสได้ยินเสียงนายตำรวจหนุ่ม แต่เธอมองไม่เห็นเขา “ช่วย...ด้วย” เด็กสาวได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือ
“เซฟ ใจเย็น ๆ สิวะ ค่อย ๆ คุยกันดีกว่า พวกเราสนุกกับเด็กสองคนนี้ด้วยกันก็ได้นะ นายว่าดีไหมล่ะ” คาเมรอนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน พยายามจะเจรจากับเพื่อนอีกคน
“พวก...แก...ทำบ้าอะไรวะ!” มันไม่ใช่คำถาม อเล็กซิสค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เธอเกาะขาโต๊ะราวกับเป็นขอนไม้ในทะเล
“ถ้าแกไม่เข้าใจก็อย่าโกรธฉันละกัน” คาเมรอนเอื้อมมือไปหยิบปืนแต่ช้าเกินไป โจเซฟยิงไปหนึ่งนัด กระสุนเจาะเข้าที่ต้นขา ชายร่างเปลือยล้มลงร้องโหยหวนเหมือนสุนัขข้างถนน
บรูซ จอมขี้ขลาด ยกมือสองข้าง ไม่กล้าสู้ “ไอ้เวรนี่มันบังคับฉัน!” แต่โจเซฟไม่เชื่อ กระสุนอีกนัดดังขึ้น บรูซล้มลงทับตัวคาเมรอน โจเซฟตรงเข้าฟาดไม้กระบองใส่เพื่อนตัวเองจนเลือดกระเซ็นไปทั่วตัว ดวงตาเย็นชาสีฟ้าคู่นั้น ในเวลานี้ละลายกลายเป็นทะเลเพลิง
“แก ควร ปก ป้อง พวก เขา ไม่ ใช่ ทำ ร้าย พวก เขา ทำ ได้ ไง วะ”
เขายั้งมือตัวเอง ปล่อยบรูซและคาเมรอนที่นอนใกล้ตายทิ้งไว้เพื่อหันมาดูเหยื่อสาว ใบหน้าของโจเซฟเต็มไปด้วยหยดเลือดกระเซ็น อเล็กซิสที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดกลัวถึงขีดสุด เข้าใจแล้วว่าทำไมบรูซดูพะวงว่าคนคนนี้จะได้ยินเสียง เขาตัวสูงใหญ่และมีกำลังมากที่สุดจนขนาดสองคนนี้สู้ไม่ได้ และเป็นโชคดีที่เขาไม่เข้าร่วมกับพวกเวรระยำสองตัวนี้ กระนั้นเธอยังคงกลัว จึงมุดลอดใต้โต๊ะ อเล็กซิสตกอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างรุนแรง กลัวทุกสิ่งแม้กระทั่งคนช่วยชีวิต
“เกิดอะไรขึ้น” คู่หูสาวของเขาวิ่งเข้ามาแล้วยกมือปิดปากตัวเองเมื่อเห็นร่างบรูซกับ
คาเมรอนนอนจมกองเลือด“เฮลก้า พวกเขาพยายามที่จะ...” โจเซฟหลบตาเด็กหญิง “ดูเอาเองเถอะ”
“สารเลว!” เฮลก้าด่าอยู่สองสามคำ จากนั้นเอื้อมมือมาที่อเล็กซิสที่แอบอยู่ใต้โต๊ะ พอเห็นท่าทางเป็นห่วงเป็นใย อเล็กซิสจึงกล้าออกมาจากที่กำบังชั่วคราว ตำรวจสาวโอบกอดเด็กสาวด้วยท่าทางปกป้อง “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้วนะ” ความอ่อนโยนแรกที่เธอมอบให้กับผู้ที่ถูกจับกุม อเล็กซิสค่อย ๆ เหลือบตามองผู้ช่วยชีวิต แต่เขายังคงหลบตาเธอ ท่าทางที่เขาทำเวลาเจอพวกวัยรุ่นที่ถูกจับ วินาทีนั้น อเล็กซิสเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงทำหน้านิ่งแบบนั้นตลอดเวลา
ปกป้องไม่ใช่ทำร้าย
“ฉันจะปลดโซ่ออก แต่เธอต้องสัญญากับฉันนะว่าจะไม่ทำอันตรายพวกเรา ฉันจะส่งเธอไปโรงพยาบาล ครอบครัวของเธอจะไปที่นั่นด้วย ตกลงไหม” เขาพูดกับซอนย่าที่ถูกล่ามไว้อยู่
“เซฟ เด็กคนนั้นอันตรายกว่าที่คิดนะ” เฮลก้าค้าน
“เด็กได้รับบาดเจ็บ เธอรู้ว่าฉันหมายความว่ายังไงเฮลก้า ไม่น่าให้ไอ้เวรสองตัวนี้เฝ้าเลย...ถ้าฉันรู้ว่าพวกมันเป็นปีศาจในคราบมนุษย์ละก็”
อเล็กซิสเห็นเขาค่อย ๆ ปลดโซ่ออกอย่างระมัดระวังมือ เหมือนกลัวว่าจะทำให้ซอนย่าเจ็บ พอโซ่หลุดออกจากตัว ซอนย่าล้มลงในอ้อมกอดนายตำรวจหนุ่ม เขาปลดผ้าปิดตาและดึงเทปออกจากปากเธอเบา ๆ ซอนย่ามองไปรอบ ๆ เหมือนหาอะไรบางอย่าง จนมาหยุดที่อเล็กซิสและเฮลก้า
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เด็กสาวถามเสียงแหบแห้ง
อเล็กซิสพยักหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลเงียบ ๆ
“ฉันได้ยิน...เธอ...พยายาม...ช่วยฉัน...”
“ไม่ต้องพูดแล้วสาวน้อย ฉันจะพาเธอไปหาหมอนะ อย่ากลัวไปเลย คนพวกนั้นทำอะไรเธอไม่ได้อีกแล้ว”
เด็กสาวหัวเราะทั้งน้ำตา ทันใดนั้น เธอเงยหน้ามองไปยังหลอดไฟในห้อง
“เซฟ!” เฮลก้ากดศีรษะอเล็กซิสลงกับอกของตัวเองทันที ทุกอย่างเงียบฉับพลัน ความร้อนเลียวาบทั่วแขน พร้อมกับเสียงร้องเจ็บปวด เป็นเวลากว่าหลายนาทีกว่าที่ตำรวจสาวจะยอมปล่อยให้อเล็กซิสเงยหน้าขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลอดไฟสองหลอดแตกคาเพดาน แขนทั้งสองข้างของเฮลก้าแดงเถือกเหมือนถูกแดดเผารุนแรง เมื่ออเล็กซิสมองไปที่โจเซฟ ใบหน้าของเขาซีกหนึ่งแดงเหมือนกับแขนของเฮลก้า ส่วนซอนย่านอนตายในอ้อมแขนที่แดงเถือก ใบหน้าของเด็กสาวมีรอยไหม้รุนแรง แต่ที่น่ากลัวคือดวงตาเหมือนถูกไฟจี้ทั้งสองข้าง มันบอดสนิท รวมทั้งลมหายใจของเธอด้วย ไม่มีใครได้รับอันตรายร้ายแรงถึงขั้นชีวิตหรือพิการ ยกเว้นโจเซฟที่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บคล้ายไฟลวกหนักกว่าคนอื่น อเล็กซิสมองไม่เห็นว่าซอนย่าทำอะไรก็จริง แต่เธอรับรู้ว่ามันเป็นแบบไหน
“พระเจ้าช่วย! เซฟ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” เฮลก้าตกใจกับสภาพคู่หูหนุ่ม
เขาส่ายหน้า ไม่ได้สนใจผิวแดงไหม้น่ากลัวที่แขนเลยสักนิด “เธอฆ่าตัวตายแล้ว” ทั้งสองมองหน้ากัน เหมือนจะพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “เราต้องรายงานบอส ฉันจะเรียกไซลาสกับโรเจอร์มาช่วยจัดการไอ้เวรพวกนี้ ส่วนเธอพาเด็กคนนั้นกลับห้องขัง”
“แต่เธอก็บาดเจ็บนะ”
“เอาที่เธอเห็นควร อ้อ...เฮลก้า เธอต้องติดต่อครอบครัวโรมูลเลอร์กับครอบครัวเดวิสด้วย”
“อย่า” อเล็กซิสโพล่งออกมา
“อะไร” เขาดูผงะ
“พวกเขาเป็นห่วงฉันมากพอแล้ว” อเล็กซิสบอก แม่...แม่ไม่เป็นอันทำอะไรแน่
เฮลก้าส่ายหน้า “ยังไงพวกเขาต้องรู้อยู่ดี มากับฉันเถอะ เดวิส”
อเล็กซิสหมดสิ้นกำลังทุกอย่าง แม้แต่เพื่อคร่ำครวญ แม้น้ำตายังคงไหลเอื่อย ๆ อาบแก้มอยู่ก็ตาม ซอนย่า...ฆ่าตัวตาย ไฟโมหะลุกไหม้อยู่ภายในใจเด็กสาว ในหัวมีแต่คำถามว่า ‘ทำไม’ มากมาย ลึก ๆ แล้ว อเล็กซิสเข้าใจเหตุผลของซอนย่าที่ตัดสินใจเช่นนี้ คนพวกนั้นรังแกซอนย่าในสภาพนั้น ถูกล่ามโซ่ ไร้ซึ่งหนทางสู้ เพียงแค่นึกก็เหมือนเห็นทุกอย่าง อเล็กซิสรู้สึกเหมือนมีก้อนอาเจียนไหลขึ้นมาจากคอ เธออยากจะอ้วกออกมา
เฮลก้าพาเธอไปยังห้องพยาบาล แขนทั้งสองข้างของอเล็กซิสเต็มไปด้วยรอยช้ำและแผลเล็ก ๆ มากมาย ตำรวจสาวนึกอยากส่งเธอไปโรงพยาบาลแต่เปลี่ยนใจไม่พาไป อเล็กซิสมองดูตัวเองในกระจก เธอไม่ใช่อเล็กซิสคนเดิมที่ตัวเองรู้จักอีกแล้ว เด็กผู้หญิงที่อยู่ในกระจกนั้นอยู่ในสภาพที่เลวร้ายที่สุด ทั้งร่างกายและจิตใจ
“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น” ออสโล่ถามทันทีที่เห็นเธอกลับมา เวดกับเบลินดาเพิ่งตื่น พอทั้งสองเห็นสภาพอเล็กซิสต่างอ้าปากค้างด้วยกันทั้งคู่
“ทำไมต้องทรมานเธอด้วย” เพื่อนนักกีฬาวิ่งเข้าหาลูกกรง ยื่นแขนชูกำปั้นใส่ตำรวจสาว “คุณทำไปเพื่ออะไร!”
“เปล่า เธอไม่ได้ทำ” อเล็กซิสบอกเขา
เฮลก้าส่ายหน้าเบื่อหน่ายคำต่อว่าของเวด พออเล็กซิสเข้าห้องขังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเดินจากไปทันที เวดประคองเธออย่างระมัดระวังราวกับอเล็กซิสเป็นถ้วยกระเบื้องเคลือบ “เป็นอะไรไหม ทำไมพวกเขาไม่ส่งเธอไปโรงพยาบาล”
“เธอมองว่ามีแค่รอยช้ำกับแผลเล็ก ๆ เลยขอดูอาการก่อน” อเล็กซิสอวดแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลและยาให้เพื่อนดู “นายมีเพื่อนแล้วล่ะ เวด”
“เขาทำเหรอ” ออสโล่ขมวดคิ้ว “บรูซใช่ไหม”
อเล็กซิสพยักหน้า “ซอนย่าตายแล้ว ถูกล่ามโซ่ไว้ในห้องเก็บของ มีตำรวจเฝ้าเธออยู่ และ
บรูซกับเวรยามคนนั้น...”อเล็กซิสหยุด ไม่อยากพูดถึงมัน“พวกเขาปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง อเล็กซ์...แล้วเธอ...”
อเล็กซิสส่ายหน้าให้เวด “พวกเขาเอาแต่ตี...ไว้ค่อยเล่าทีหลังได้ไหม ฉันไม่ไหวแล้ว”
เวดกับออสโล่พยักหน้า “ได้เลย เอาที่เธอสบายใจก่อน” เด็กหนุ่มทั้งสองช่วยกันจับเธอนั่งลงช้า ๆ อเล็กซิสรับรู้ความห่วงใยของเพื่อนทั้งสองเป็นอย่างดี เธอนึกขอบคุณในใจ
“ฉันไม่ง่วงแล้วล่ะ เธอนอนบนตักฉันก็แล้วกันนะ นอนบนพื้นไม่ดีหรอก” เวดเสนอ
“ไม่เป็นไร นอนได้”
“ไม่หรอก ๆ เขาพูดถูกนะ ตอนนี้เธอบาดเจ็บอยู่”
“ก็ได้ ขอบคุณพวกนายทั้งสองมากนะ”
ทันทีที่อเล็กซิสปิดตาลง เธอเอนศีรษะนอนบนตักของเวดในที่สุด ขณะนั้นนึกถึงเสียงคนที่สนทนากันเมื่อคืนก่อนได้แล้ว
“อย่าแตะต้องพวกเขานะ”
“พวกเธอจะมาแทนไหมล่ะ”
สองคนนั้น คือ บรูซกับครูโดบี้ส์นี่เอง
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







