[ป๊ากำลังกลับบ้านนะ อยากกินข้าวกับพิม]
'พิม หรือ พิมดาว จึงศิริพานิช' ลูกสาวคนโตของ 'ชาญ จึงศิริพานิช' เจ้าพ่อแห่งวงการเรือขนย้ายสินค้าชั้นนำของไทย กำลังอ่านข้อความที่บิดาส่งตรงมาจากต่างประเทศอย่างมึนงง ปกติพ่อของเธอไม่ค่อยได้พูดคุยหรือทานข้าวร่วมกับเธอเท่าไหร่ เพราะความที่มีภรรยาและลูกใหม่ เธอจึงเปรียบเสมือนส่วนเกินในบ้านหลังนี้
แต่พ่อก็ดูแลเธออย่างดี ให้การศึกษา และคุณภาพชีวิตที่ดีสมเป็นลูกคุณหนู แม้ว่าจะเดียวดายเป็นส่วนใหญ่เพราะแม่ของเธอจากไปตั้งแต่หญิงสาวเด็ก ๆ จนตอนนี้เธอโตเป็นสาวอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว แต่เธอก็ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่และไม่เคยลำบากอะไร
[ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับป๊า ติดต่อไปที่เบอร์ของ จาง หลี่หมิง xxx xxx xxx เพื่อนของป๊า เขาไว้ใจได้ ให้เชื่อใจเขานะ] คิ้วเรียวขมวดหากันแน่น เธอใจหายวูบกับข้อความที่พ่อส่งมา...แม้ว่าจะถูกสอนว่าให้ระวังตัวไว้เสมอเพราะเป็นลูกของคนมีเงิน แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นถ้อยคำพวกนี้จากพ่อของเธอ
นี่พ่อเธอไปฮ่องกงเพื่อทำอะไรกันแน่...?
"พิม...มาทำบะหมี่ให้น้องหน่อย"
"คะ-ค่า" ตนตัวเล็กละจากโทรศัพท์ไปขานรับเสียงสั่งงานของแม่เลี้ยงอย่าง 'อรวรา' ที่ต้องการให้เธอทำกับข้าวให้น้องชายตัวอ้วน 'ชัชชัย จึงศิริพานิช' วัยสิบขวบที่ติดการทานบะหมี่แห้งฝีมือเธองอมแงม
จะว่าไปความสัมพันธ์ของเธอและแม่เลี้ยงก็ไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ดีนัก เพราะลับหลังพ่อเธอจะชอบพูดเสียดสีให้หญิงสาวเจ็บใจเล่นเป็นประจำ แถมอรวราก็ไม่เคยใจดีกับเธอเลยด้วย แต่ก็ไม่ถึงขั้นแย่แบบในละครที่เป็นแม่เลี้ยงใจร้าย
"...เพล้ง!"
ระหว่างทำบะหมี่ให้เด็กอ้วน พิมดาวคงเหม่อลอยไปหน่อยจึงทำชามแก้วตกแตก
"เสียงดังอะไรน่ะพิม ทำอะไรระวังหน่อยสิ ถ้าเศษแก้วโดนน้องจะทำยังไง" มันจะไปโดนได้ยังไง...ในเมื่อน้องชายของเธอนั่งอยู่ในห้องโถง
"ค่ะ ขอโทษค่ะคุณอรพิมคงใจลอยไปหน่อย"
"ระวังด้วยแล้วกัน" ว่าจบเธอก็เดินออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง พิมดาวได้แต่ปิดไฟที่ต้มน้ำเดือดทิ้งไว้และก้มลงเก็บเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นโดยมีพี่แม่บ้านมาช่วยอีกแรง
หัวใจดวงน้อยของเธอมันบีบเข้าหากันอย่างแปลกประหลาด เธอไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพ่อถึงขนาดนี้มาก่อน...แม้ว่าเขาก็บินไปต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อส่งข้อความแปลก ๆ มาหาเธอแบบนี้
คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...อีกไม่กี่ชั่วโมงพ่อก็คงจะถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ และไม่ว่าจะดึกแค่ไหนเธอก็จะรอทำบะหมี่หมูแดงร้อน ๆ ให้พ่อทาน
เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงถัดมา
Rrrr Rrrr
พิมดาวแทบจะทำโทรศัพท์ตกลงพื้นเมื่อมีเบอร์ +852 โทรเข้ามาซึ่งมันเป็นเบอร์ขึ้นต้นของประเทศฮ่องกง
"สวัสดีค่ะ"
[ติดต่อจากกู้ภัยนะครับ คุณคือลูกสาวของนาย ชาญ จึงศิริพานิช ใช่ไหมครับ]
"ค่ะ ฉันคือลูกสาวเองค่ะ" พิมดาวตอบกลับด้วยมือไม้สั่นไปหมด หลังจากได้ยินคำว่า 'กู้ภัย' ขอล่ะอย่าให้เป็นแบบที่เธอคิดเลยนะ ได้โปรด...
[ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คุณพ่อของคุณเสียชีวิตแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมือง xxx ครับ]
"อะ-อะไรนะคะ! คุณตรวจเช็กดีแล้วหรือยังคะ อาจไม่ใช่พ่อฉันก็ได้..."
[เราจะพิสูจน์หลักฐานเพิ่ม แต่เบื้องต้นพบทั้งบัตรประชาชนและพาสปอร์ตยืนยันว่าเป็นศพของคุณชาญจริง ๆ ครับ...] พิมดาวแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน หัวใจที่เจ็บหน่วงของเธอถูกความเศร้าโศกและความตกใจเข้ากัดกิน
เธอเสียทั้งพ่อและแม่ไปแล้ว...และพวกท่านจะไม่มีวันกลับมาอีกตลอดกาล
สองเดือนถัดมา
หลังจากสูญเสียบิดาไปกระทันหัน ชีวิตพิมดาวก็ผกผันราวกับอยู่ในเครื่องเล่นชีวิต ในตอนที่เธอและอรวราเดินทางไปจัดการเรื่องศพนั้นก็ได้คุยกับตำรวจแล้วว่าการเสียชีวิตของพ่อเธอไม่น่าจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางธรรมชาติ
แต่น่าจะเกิดจากการ 'จัดฉาก' หรือเรียกว่า 'ถูกสั่งเก็บ' จากใครสักคนที่ทรงอิทธิพลมาก ๆ แม้ว่าเธอและแม่เลี้ยงจะพยายามให้ตำรวจสืบสาวราวเรื่องให้ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะตอนนี้ผ่านมากว่าสองเดือนแล้วแต่ตำรวจฝั่งฮ่องกงก็ยังเงียบ และไม่พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม
เธอทำได้เพียงร้องไห้และทำใจให้แต่ละวันผ่านไปอย่างทรมาน แต่นับว่าโชคยังดีมากเพราะช่วงงานศพนั้นมีจาง หลี่หมิง และภรรยามาคอยดูแลให้ทุกอย่าง ช่วงระหว่างงานสีดำนั้นเธอได้รับกำลังใจจากสองสามีภรรยานี้อย่างซึ้งใจ
และได้รู้ว่า จาง หลี่หมิง นั้นเป็นมาเฟียและนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮ่องกง เขาเป็นเพื่อนสนิทเก่าแก่ของบิดาเธอ และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัทยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถึงเธอจะไม่ค่อยได้อะไรกับฝั่งการทำงานของพ่อ แต่เธอก็เคยเจอเขากับภรรยาอยู่บ้าง
โดยความจริงที่โหดร้ายที่เขาเล่าให้ฟังในวันเผาศพของชาญนั่นก็คือ พ่อของเธอได้รับการเสนอเงินจำนวนมหาศาลในการขอซื้อกิจการจาก 'ผู้มีอำนาจ' นิรนามคนหนึ่ง แต่ตัวแทนของเขาไม่ได้บอกว่าคน ๆ นี้เป็นใคร เขาบอกพ่อเธอเพียงแต่ว่าเจ้านายของเขาสามารถพลิกผิดให้กลายเป็นถูกได้ ซึ่งตัวแทนของบุคคลนี้ได้พยายามเจรจากับพ่อเธอมาพักใหญ่แล้ว แต่พ่อเลือกที่จะไม่รับงานนี้ ถึงแม้จะเป็นจำนวนเงินที่เยอะจนใคร ๆ ก็ตกใจ
ทางตัวแทนไม่ได้แค่ขอซื้อกิจการเพื่อเห็นแก่มูลค่ามหาศาลเท่านั้น แต่เขายังบอกตรง ๆ ถึงความต้องการว่าเจ้านายของเขาอยากได้เส้นทางสัมปทานการเดินเรือของบริษัท 'J Shipping' เป็นอย่างมาก และที่สำคัญ...ตัวแทนของเขายังได้กล่าวว่าต้องการให้พ่อเธอขายธุรกิจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เพียงแค่หุ้นส่วนเท่านั้น
ด้วยความที่คร่ำหวอดอยู่กับวงการขนส่งมานาน ชาญย่อมสัมผัสได้ว่าทุกอย่างมันดูแปลกและน่าสงสัยไปหมด จึงถามไปตรง ๆ เลยว่า...
'อยากขนอะไรกันแน่'
เมื่อคำถามใจต่อใจตัวแทนก็กล้าตอบมาเช่นกัน
'ไม่ถึงกับดำ' หลังจากได้ยินคำตอบพ่อเธอก็ร้องอ๋อในใจเลยว่า 'ไม่ถึงกับดำ' ที่เขากล่าวก็คงจะเทาสุด ๆ เช่น ลักลอบขนอาวุธเถื่อน ยาเสพติด หรือร้ายแรงที่สุดคือแรงงานมนุษย์... ซึ่งพ่อเธอก็ตอบปฏิเสธไป
และมันคงทำให้ไป 'ขัดขา' คนใหญ่คนโตเข้า พ่อของเธอเลยถูกสั่งเก็บขณะกำลังเดินทางในวันที่เขาไปตรวจตราความเรียบร้อยของบริษัทฝั่งฮ่องกง และเขายังได้นัดพบกับจาง หลี่หมิง เพื่อนเก่าแก่พร้อมทั้งบอกถึงรายละเอียดเพื่อปรึกษากันแบบลับ ๆ ที่ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง แต่พอออกมาจากบริเวณนัดพบได้ไม่ถึงชั่วโมงก็เกิดอุบัติเหตุรถตกเขาเสียชีวิตพร้อมกับคนขับรถ
ในตอนแรกที่ฟังพิมดาวก็รู้สึกใจสั่นและหวาดกลัวที่พ่อของเธอไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้เข้า แต่เกศมณีหลี่หมิงนั้นให้การรับประกันว่าเธอจะปลอดภัยหากย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์ของพวกเขาที่ฮ่องกง...ในฐานะสะใภ้แห่งตระกูลจาง
'การที่หนูจะใช้ชีวิตต่อที่นี่มันเป็นเรื่องลำบาก เพราะพวกมันน่าจะหมายหัวหนูกับครอบครัวไปแล้วด้วย ฉันจะซื้อกิจการของพ่อหนูทั้งหมดและดูแลให้อย่างดี รวมถึงเรื่องการถูกสั่งเก็บฉันก็จะสืบให้เต็มที่ แต่หนูต้องมาอยู่ในความดูแลของฉัน'
หญิงสาวทบทวนคำพูดของเกศมณีเป็นครั้งสุดท้ายในระหว่างที่มาทำเรื่องดรอปเรียนชั้นปีที่ 3 ตอนนี้เธออายุยี่สิบเอ็ดแล้ว และชีวิตในสองเดือนให้หลังนี้ก็ไม่ได้ผ่านไปอย่างง่าย ๆ
เพราะในรอบสองเดือนนี้มีพัสดุลึกลับส่งมาที่บ้าน...พอเปิดกล่องมาก็เป็นรูปถ่ายตอนเธอไปเรียน ซึ่งนั่นคือคำเตือนว่าพวกมันจับตามองเธออยู่ตลอด และเธอก็หวาดกลัวสุด ๆ แต่ครอบครัวจางก็ดีกับเธอมาก เพราะหลังจากพ่อเธอเสียแบบไม่ชอบมาพากล พวกเขาก็ส่งทีมรักษาความปลอดภัยมาดูแลที่บ้านของพิมดาวตลอดสองเดือนนี้ทันที
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยเท่าไหร่...ดังนั้นเพื่อรักษาชีวิตของทุกคน เธอจึงตอบตกลงที่จะไปอยู่ในความดูแลของตระกูลจาง โดยที่แม่เลี้ยงอรวราและน้องชายของเธอตัดสินใจขอหอบทรัพย์สินและเงินที่ได้จากครอบครัวจางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ
หรือเรียกว่าแยกกันหนีก็อาจจะได้...
เพราะการจะเล่นกับผู้มีอิทธิพลที่สั่งเก็บพ่อเธอได้นั้น ก็ควรจะเป็นระดับเจ้าพ่อด้วยกัน...ไม่ใช่พิมดาวและอรวราที่ถึงจะมีฐานะพอสมควร แต่ก็ปราศจากอำนาจยิ่งใหญ่เหมือนมาเฟียตระกูลจาง
ถึงแม้ช่วงแรกเธอจะคิดทบทวนเยอะมากว่าจะไว้ใจพวกเขาดีไหม แต่เธอก็สัมผัสถึงความจริงใจที่เกศมณีและหลี่หมิงมอบให้ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาได้ และพ่อเธอยังเป็นคนยืนยันว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องไว้ใจจาง หลี่หมิงไว้ ดังนั้นการร่วมมือกับพวกเขาจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการตอบตกลงข้อเสนอ
และหลังจากตอบตกลงไปหญิงสาวก็รู้แค่ว่าเจ้าบ่าวของเธอเขาเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลจาง ชื่อ จาง อินหลง อายุยี่สิบเจ็ดปีและใช้ชีวิตอยู่อเมริกา โดยเกศมณีผู้เป็นแม่บอกว่า เขาน่ะเป็นคน 'เอาแต่ใจมาก' และ 'หัวแข็งมาก' ไม่ยอมกลับบ้านมาหลายปีแล้ว
เท่าที่ฟังมาคร่าว ๆ เขาก็ดูเป็นคนดื้อรั้นตามประสาลูกชายคนเล็ก ซึ่งจะต่างกับเธอที่เป็นพี่คนโต จาง หลี่หมิงจึงมอบหมายหน้าที่ให้เธอคอยดูแลและทำให้เขาอยู่ในฮ่องกงตลอดให้ได้อีกด้วย ซึ่งเธอก็รู้สึกหวั่นเกรงอยู่พอควรว่าจะทำได้ไหม
แต่ก็ต้องลองดูสักตั้ง เพราะการจะต่อกรกับคนที่ได้ชื่อว่าเอาแต่ใจและหัวแข็งมาก ๆ น่าจะเป็นภารกิจที่ยากสุด ๆ ...
"คุณพ่อลองอุ้มเลยค่ะ" เมื่อผ่านขั้นตอนการคลอดลูกจนมาพักอยู่ในห้อง VVIP แล้ว พยาบาลก็นำลูกน้อยของเขาและเธอมาให้คุณพ่อมาเฟียลองอุ้มแม้จะมือสั่นน้ำตาซึมไปบ้าง แต่ท่าทางของเขานั้นแสนจะแข็งแรงและดูมืออาชีพสมกับไปเข้าคอร์สติวการเลี้ยงลูกมาอย่างเข้มข้นตลอดหลายเดือนจริง ๆ ตอนนี้ทุกคนต่างอมยิ้มให้กับภาพที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็น...บุคคลที่เคยเอาแต่ใจและฝีปากเจ็บ ๆ จนทุกคนร้องไห้เพราะเขามามากกำลังอยู่ในโหมดคุณพ่อที่เห่อลูกเห่อเมียที่หนึ่งเขาอุ้มลูกน้อยอ้วนกลมโยกไปมาเบา ๆ อย่างเอ็นดู และจึงวางเหมยอิงไว้ที่เตียงเด็กแรกเกิดข้าง ๆ ภรรยา"น่ารักจังเลยหลานอาม่า โตมาสวยเหมือนหม่าม้าหนูแน่ ๆ " เกศมณีเดินเข้าไปมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของหลานสาวด้วยความรักตอนนี้ครอบครัวจางอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อตอนรับหลานสาวคนแรกของตระกูล...พวกเขาทั้งเอ็นดูและหมั่นแวะเวียนมาพูดคุยกับเจ้าตัวน้อยที่นอนหลับพริ้มอย่างรักใคร่ นั่นทำให้พิมดาวตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่ทุกคนรักและเอ็นดูลูกสาวของเธอแม้เธอจะเติบโตมาด้วยการเป็นลูกสาวที่พ่อไม่ค่อยจะรักสักเท่าไหร่ แต่เธอก็มั่นใจได้ว่าเหมยอิงจะไม่ได้รับประสบการณ์แบบเธอแน่นอน เพราะดวงใจ
"เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน!""..." หญิงสาวหยิบที่ตรวจครรภ์มาจากสามี ขีดทั้งสองนั้นชัดเจนจนมือไม้ของเธอสั่น แม้ว่าใจลึก ๆ จะพอรู้ว่าตัวเองน่าจะท้อง แต่เมื่อผลตรวจออกมาตอกย้ำความเป็นจริงแบบนี้ก็ทำให้พิมดาวดีใจจนน้ำตารื้นได้ ถึงจะดีใจแค่ไหนแต่หญิงสาวก็รู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ"พิมไม่ดีใจเหรอ" อินหลงรีบเดินมาโอบภรรยาด้วยความเป็นห่วง"ดีใจค่ะ แต่ก็กลัว...""กลัวอะไรครับ""พิมไม่มั่นใจ พิมไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ดีไหม" หญิงสาวพูดตรง ๆ ถึงความกังวลในอนาคต"โถที่รัก พิมต้องเป็นหม่าม้าที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว น่ารัก ใจดี ทำกับข้าวก็เก่ง มีอะไรที่ต้องกังวลครับ" ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูภรรยาตัวน้อย เขาเข้าใจที่เธออาจมีความกลัวและกังวล เพราะว่ากันตามตรงเธอก็อายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เอง แถมยังผ่านเรื่องราวมามากมาย และสามีก็ยังใจร้ายกับเธอมาตั้งนาน"ฮือ...พิมดีใจ" คนตัวเล็กโผเข้ากอดสามีที่เพิ่งจะดีกันได้ไม่กี่ชั่วโมงด้วยความรักใคร่ ไม่อาจปฏิเสธเลยว่าทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขา เธอมักจะรู้สึกปลอดภัยราวกับถูกโอบกอดด้วยภูเขาแสนอบอุ่นอยู่เสมอ"ฮ่า ๆ โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะครับ" อินหลงหัวเราะกับท่าทีเหมือนเด็กน้อยข
แสงพระจันทร์ยามค่ำคืนสาดส่องเข้ามาในห้องนอนที่เพิ่งเป็นสถานที่เปิดศึกรักไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เธอมองเห็นคือใบหน้าหล่อราวกับรูปปั้นสลักที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขหลังจากจบบทรักแสนเร่าร้อนบนเตียง เขาก็อุ้มเธอเข้าไปอาบน้ำและสูบพลังเธอไปอีกหลายครั้งจนหญิงสาวต้องบอกให้เขาพอก่อน เพราะเธอเขาสั่นจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว แม้คนตัวสูงจะแอบบ่นอุบอิบเพราะยังกินไม่หนำใจ แต่ก็ยอมใส่อาบน้ำใส่ชุดและมานอนให้เรียบร้อยตามคำสั่งภรรยาหญิงสาวกวาดสายตาไปมองนาฬิกาและพบว่าตอนนี้เวลาที่เธอสะดุ้งตื่นมานั้นประมาณตีสองเอง อีกนานกว่าจะเช้า หญิงสาวเลยพยายามหลับตาเพื่อจะนอนอยู่ในอ้อมกอดของสามีต่อแต่อาการปั่นป่วนก็เข้าเล่นงานเธอเวียนหัวมาก รู้สึกคลื่นไส้หนักจนต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำและนั่นทำให้สามีของเธอตื่นขึ้นมาทันที"พิม เป็นอะไรครับ!""อ้วก..." พิมดาวอาเจียนออกมาเต็มอ่างล้างหน้าโดยมีอินหลงเดินเข้ามาลูบหลังภรรยาที่กำลังอาเจียนอย่างหนัก น้ำตาใส ๆ เอ่อคลอเพราะความทรมานในการออกแรงอาเจียนใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเธอก็ปลดปล่อยของเสียออกมาจนหมด พิมดาวรีบล้างปากและกำลังจะทำความสะอาดซากอ้วกของต
"อ่า...เสียว" อินหลงสูดปากร้องครางเมื่อถูกการสุขสมของภรรยาบีบรัดตัวตนของเขาจนแทบจะเสียการควบคุม ชายหนุ่มดันเรียวขาขาวให้ขึ้นไปชิดกับทรวงอกนุ่ม จนตอนนี้สะโพกของเธอลอยเด่นขึ้นเหนือเตียงนอน พาให้ร่างกายนุ่มนิ่มรองรับการตะบี้ตะบันกระแทกของเขาอย่างลึกขึ้นไปอีกมือหนากดขาภรรยาจนแนบแน่นติดไปกับเต้าตูมและตะบี้ตะบันตอกกระแทกท่อนเอ็นใส่โพรงเนื้ออุ่นอย่างหนักหน่วงเสียงเนื้อกระทบเนื้อผสานกับเสียงครางของเขาและเธอดังก้องไปทั่วทั้งห้อง เขาไม่แคร์ว่าใครจะได้ยิน เพราะการได้เอากับเมียแบบดุเดือดแบบนี้แหละที่เขาโหยหามานานแสนนาน และเขาไม่จำเป็นต้องปกปิดความเสน่หาที่มีต่อร่างกายเธออีกต่อไปแล้วต่อจากนี้และตลอดไป เขาจะแสดงออกในทุก ๆ วันว่ารักและหลงใหลในตัวเธอมากแค่ไหน อินหลงอยากให้ภรรยาภูมิใจว่ามีสามีที่รักและเทิดทูนอย่างสุดหัวใจ"อ่า...เมียจ๋า รักนะครับ""รัก รักที่สุด" ระหว่างที่กำลังโจนจ้วงเข้าใส่ร่างบางอยู่นั้น เขาก็บอกความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมากับภรรยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะตอนนี้เขารักเธอจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว..."อ๊า...พิมก็รักเฮียค่ะ" แม้จะถูกสามีบดเบียดมาไม่ได้พัก แต่คำว่ารักของเขานั้นชัดเจนในหัวใจ เ
"บ้า! ไปปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยค่ะ" พิมดาวฟาดไปที่ไหล่แกร่งแรง ๆ อย่างเขินอาย จะให้แม่บ้านมาได้ยินตอนเธอกำลังทำอะไรต่อมิอะไรกับสามีได้ยังไง เธอก็เขินเป็นนะ"ก็ได้ครับ" เขาทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ยังคงไม่ยอมปล่อยเรือนร่างพิมดาวให้เท้าติดพื้น เขายังคงอุ้มเธอเกี่ยวเอวไว้อย่างนั้น และเวลาที่ก้าวเดินส่วนตรงนั้นก็จะเสียดสีกันอย่างน่าหวาดเสียวฟุ่บ...เมื่อปิดประตูเสร็จเรียบร้อย คนตัวสูงก็พาร่างเล็กลงมานอนบนเตียงและรีบทาบทับกายแกร่งลงมาคร่อมตัวเธอไว้ เขาประกบริมฝีปากลงมาและเริ่มจุมพิตอันดุดันอีกครั้งริมฝีปากของทั้งคู่ต่างบดขยี้กันและกัน ลิ้นร้อนแลกเปลี่ยนเป็นพัวพันเกี่ยวกระหวัดจนเสียงดังชัดเจน...เขาจูบเธอหนักแน่นราวกับต้องการกลืนกินลมหายใจที่โหยหามานานแสนนาน"อื้อ..." พิมดาวร้องครางอู้อี้ในลำคอเมื่อฝ่ามือร้อนของสามีปัดป่ายไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มและจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ของเธอให้หมดไป อินหลงผละริมฝีปากออกและหันไปจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองจนตอนนี้ทั้งสองเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงประจักษ์แก่สายตาของกันและกันริมฝีปากร้อนของเขาไล่จูบที่แก้มใสทั้งสองข้างและเลื่อนไล้ลงมาซุกไซ้กับซอกคอขาวเนียนที่มีกลิ่น
"เฮีย...อย่าร้องไห้ค่ะ" พิมดาวทั้งตกใจและสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่จริงใจของเขาจนน้ำตาไหลตามกัน ยิ่งเขาสะอื้นดังขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของพิมดาวก็เหมือนจะขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ "เฮียรักพิม..." คำบอกรักเจือเสียงหอบหายใจทำเอาหยาดธาราไหลรินออกมาเป็นสาย"เฮียจะไม่ยอมหย่ากับพิมเด็ดขาด ไม่…เฮียทำไม่ได้จริง ๆ เฮียขอร้องนะ ขอโอกาสให้ผู้ชายแย่ ๆ ที่รู้ตัวช้าได้ไหมครับ""เฮียรักพิม…เฮียขาดพิมไม่ได้ ฮึก" เขายังคงสะอื้นไห้อย่างต่อเนื่อง หยดน้ำตาของเขาหลั่งไหลออกมาจนเปรอเปื้อนบริเวณเอวเธอไปหมดเขากำลังเสียใจอยู่จริง ๆ … ไม่ใช่อาการผีออกผีเข้า แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยอมทุกอย่าง หมดสิ้นอีโก้ทุกทางตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว…และเธอยอมรับทั้งหัวใจอย่างซื่อสัตย์เลยว่า...โคตรรักเขาเลย รักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เสียใจนะที่เลือกจะมอบใบหย่าให้สามีพิมดาวเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าเขาเลย แต่เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน...ในวันแรกที่เธอคุยกับพ่อแม่ของเขาว่าจะหย่า พวกท่านก็ช็อกพอสมควรที่เธอตัดสินใจแบบนั้นแต่ที่เธอเลือกจะหย่า นั่นก็เพราะยึดมั่นในสัญญาที่เคยเซ็นไว้กับเขา คือเรื่องจบเมื่อไหร่