“แม่แก่ชรามากแล้ว หวังได้เห็นเจ้าเป็นฝั่งเป็นฝา มีชายาที่เจ้ารักและรักเจ้า ถือว่าแม่ขอได้หรือไม่”“เสด็จแม่อยากให้ลูกรับไฉ่อีเป็นชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่”“เช่นนั้นคือ...”“แม่อยากเห็นคนที่ลูกรักและอยากอยู่ด้วย ที่สำคัญแม่กลัวเจ้าเหงา แม่อยากเห็นหลานน้อยน่ารักก่อนตายได้หรือไม่”“โธ่!” หลี่ชงเหอนึกได้รีบโบกมือไล่นางกำนัลที่คอยชายตามองออกไปก่อนจะพยุงมารดาที่กำลังออกแรงลุกนั่ง แต่ดูเหมือนอ่อนล้าเต็มที พอลับตานางกำนัลเขาจึงค่อยผ่อนคลายลง“เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนั้นลูกจะจัดการได้”“แต่ก็ไม่จัดการเสียที”“ก็ลูก...”อ๋องทะเลทรายผู้ทระนงเกิดนี่งอั้นตันคอเมื่อสบตามารดา เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเพียงช่วงเวลาสามปีที่อยู่ด้วยกัน นางจะอ่อนล้าลงไปถึงเพียงนี้คิดแล้วก็เจ็บใจ...เขาเกือบต้องเสียมารดาไปเพราะการกระทำของฮูหยินฟางผู้นั้นเสียแล้วเหยียนชิวอี้เผยรอยยิ้มอ่อนล้า ดวงหน้าซีกหนึ่งยังมีริ้วรอยแผลเป็นจากน้ำร้อนลวกไม่คลาย ตั้งแต่ที่เจ็บหนักคราวนั้นนางก็ป่วยออดๆ แอดๆ เรื่อยมา อีกทั้งยามนี้ก็อ่อนล้าลงตามประสาและยังมีอาการไอโขลกๆ อยู่เป็นระยะนางรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นานแล้ว สำหรับนางแล้วนั้น
ฟางถิงถิงขัดใจ หรือเพราะคนผู้นั้นเบื่อหน่ายที่จะพานางไปด้วยจึงทิ้งกันกลางทางเช่นนี้ หากว่าคนผู้นี้มาร้ายเล่า นางควรจะเชื่อร่วมทางไปด้วยหรือไม่!“ไปได้แล้วฮูหยิน”“จะ เจ้าเรียกข้าว่าฮูหยิน?”“หรือให้ข้าเรียกเจ้าว่าแม่นางน้อยดี”“ไม่! ไม่ๆ เรียกข้าว่าฮูหยินหลี่เหมาะสมแล้ว”ฟางถิงถิงเดินนำมาที่ม้าด้วยสีหน้าเชิดๆ อย่างน้อยยังมีคนบ้าหลี่ที่เป็นเกราะกำบังให้ก็ยังดีกว่า แต่คล้อยหลังก็มีหัวเราะตามมา นางถึงกับหันขวับมาที่ต้นเสียง แต่เฉิงเผิงซู่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “แล้วเหตุใดข้าต้องเชื่อใจไปกับเจ้า”เฉิงเผิงซู่โบกป้ายไม้สลักตัวหนังสือสีดำขนาดเท่ากำปั้นโยนให้ฟางถิงถิงที่รับไว้อย่างไม่เต็มใจก่อนจะยกขึ้นอ่าน“คอกม้าสกุลหลี่ คือบ้านของสามีข้าหรือ...” นางเอ่ยถามพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด “อ๋อ... ที่แท้ก็เป็นค้าขายพวกสัตว์นี่เองใช่หรือไม่”“มิผิด”“ดีจัง ข้าชอบ” นางเอ่ยด้วยสีหน้าแช่มชื้น รู้สึกดีขึ้นเป็นกองที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังพอมีหลักมีฐานมิใช่หลักลอยหรือเป็นพวกโจรแอบอ้างดั่งเช่นที่โจรป่าสองคนนั่นบอกไม่“แล้วที่นั่นมีใครอยู่บ้าง”“เจ้าหมายถึงผู้ใด”“เอ่อ... ก็เช่นบุพการี หรือ เอ่อ... ฮะ ฮูหยิน เอ่อ หรือเขามี
อวี๋เซวียนได้ฟังถึงกับทอดถอนใจ “ใช่ มันคือสิ่งที่เจ้าควรทำและต้องทำ”“แต่ข้าทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจที่ต้องนับญาติกับสองผัวเมียใจร้ายนั่น” อวี๋เซวียนงันไป มิใช่แค่ความรู้สึกของบุตรชายที่ต้องรักษาแต่เพราะเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเศรษฐีฟางในอดีต ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ไม่รู้เพราะครอบครัวของฟางเหยียนดูถูกดูแคลนนางมาตลอดและอวี๋เสิ่นเฉินรับรู้มาตลอดแต่เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว...สายน้ำมิเคยหวนกลับเช่นไร...อดีตของนางก็มิอาจหวนคืนกลับไปได้เช่นนั้น...ยังดีที่อวี๋เสิ่นเฉินเป็นเพียงบุตรบุญธรรม มิเช่นนั้นนางไม่อยากนึกเลยว่าเหตุการณ์จะยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังกันถึงเพียงไหน“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าแม่รักเจ้า”“ข้ารู้ ข้ารู้ดีว่าท่านแม่รักข้ามากขนาดไหน” อวี๋เสิ่นเฉินเงยหน้าตาแดงก่ำมอง “หากไม่มีท่านแม่ชุบเลี้ยง ข้าคงเป็นเพียงเด็กกำพร้าข้างถนนไร้คนเหลียวแลมิได้ร่ำเรียนหนังสือ”“แม่ดีใจที่เจ้าไม่ลืมลมหายใจดั้งเดิมของเจ้า”“ข้าไม่มีวันลืม!” อวี๋เสิ่นเฉินละล่ำละลัก“เช่นนั้นพรุ่งนี้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเสีย นึกว่าเห็นแก่แม่และชื่อเสียงเหลาบุปผาของเราอย่าให้ใครมาตราหน้าว่าไร้ความละอาย”“แต่ข้าต้องอยู่กับนางตราบชีว
หลี่ชงเหอมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาประมวลความคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ยังหรอก ข้ายังตบแต่งนางมิได้ นางยังไม่ทำให้ข้าวางใจ” “นั่นก็มิได้ นี่ก็ไม่ดี กระหม่อมเกรงว่าเรื่องนางจะทำให้ท่านอ๋องต้องลำบาก”“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เรื่องหลังบ้านข้า ข้าจัดการได้”เฉินเผิงซู่ที่เป็นทั้งองครักษ์และเพื่อนเล่นในวัยเด็กเพราะเป็นบุตรของแม่ทัพใหญ่ถึงกับหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีมั่นใจแต่ก็หวาดระแวงของผู้เป็นนาย เขารู้สึกอยู่ไม่น้อยว่ายามนี้อารมณ์ส่วนตัวของอ๋องสามหลี่ชงเหอผู้น่าหวาดหวั่นในสายตาผู้คนกำลังตกอยู่ในห้วงรักที่อยู่นอกเหนือเหตุการณ์บ้านเมืองล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ช่างน่าประหลาดแท้...ทว่ากิริยาท่าทีอ้ำอึ้งของเฉิงเผิงซู่ที่ดูยำเกรงก็ทำให้นึกสงสัย“มีเรื่องอันใดที่เจ้าอยากบอกข้าหรือไม่”“ก็มีอยู่แต่คงมิได้สลักสำคัญอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่ามา” หลี่ชงเหอเค้นถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเพราะมัวแต่มองเหม่อไปยังกระท่อมที่ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ“วันก่อนเผ่าหรวนส่งทูตคนใหม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่เมืองหลวง แต่ทว่าทรงมิให้เข้าพบอ้างเหตุประชวรจึงให้ทูตฝ่ายนั้นกลับไป”“กลับไปก็ดีแล้ว แต่ว่าเหตุใดพวกมันยังปร
ฟางถิงถิงถึงกับนิ่งอั้นตันคอ รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่แม้จะกลืนน้ำลายลงคอยังยากลำบาก ยามนี้นางมีสภาพไม่ต่างจากเด็กกำพร้าสิ้นไร้ไม้ตอกนางจะอยู่ก็ตาย ไม่ตายก็ถูกปรามาสให้ได้รับความอับอาจ จะกลับก็ไร้สิ้นหนทางและสถานะให้กลับไป ไม่สู้ตามคนผู้นี้ไปหาครอบครัวที่แท้จริงไม่ดีกว่า...“ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกหากเจ้าสัญญากับข้า” นางต่อรองสีหน้าขึงขังคิดจะต่อรองเช่นนั้นรึ...หึหึ…หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มเยาะหยันก่อนเอ่ย “เจ้าอยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้รึกวางน้อย”“ข้ามิใช่กวางน้อย”“ก็ได้ ไม่เป็นกวางน้อยหรือจะเป็นหมูน้อยแทน”“ข้าไม่เป็น! ไม่เป็น ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” นางพร่ำบอกพลางผลักไสอ้อมแขนแกร่งที่กำลังรุกรานอีกหลี่ชงเหอซ่อนรอยยิ้มพึงใจก่อนจะปล่อยนางเป็นอิสระแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังก่อนเอ่ย “ก็ได้ เจ้าคงเหนื่อย ข้าไม่กวนแล้ว เจ้านอนเถอะ”พูดจบหลี่ชงเหอก็ผุดลุกหมุนตัวหันหลังออกไปจากกระท่อมแต่ยังไม่พ้นประตูก็ชะงักหันมาที่นาง“นอนเสีย พรุ่งนี้เราต้องเดินทางต่อ”“แล้วไหนเจ้าว่าที่นี่เป็นบ้านเจ้า”“ที่นี่แค่โรงนาที่เอาไว้พักค้างคืนก่อนเดินทางต่อเท่านั้น”“แล้วบ้านเจ้าล่ะ”“บ้านข้า
หลี่ชงเหอไม่ตอบกลับหมุนตัวเดินต่อไปทรุดนั่งยังริมตลิ่ง ก้มหน้าก้มตาตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ที่หยิบมาจากหน้ากระท่อม พอเสร็จก็เดินเลี่ยงฟางถิงถิงนำไปที่กระท่อมหน้าตาเฉย นางถึงกับงุนงงแต่ก็ต้องเดินแกมวิ่งตามร้องเรียก แต่หลี่ชงเหอกลับไม่นำพา“นี่เจ้า! หยุดก่อน ข้าบอกให้หยุด” หลี่ชงเหอไม่หยุดรีบเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน วางกระบอกน้ำบนโต๊ะแล้วเดินไปที่มุมหนึ่งในกระท่อมหยิบผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งขึ้นมาปูลวกๆ บนแคร่ไม้ไผ่แล้วล้มตัวลงนอนหนุนแขนตัวเองขณะจ้องฟางถิงถิงที่หยุดยืนตรงหน้าประตูไม่วางตา “นั่นคือที่นอนของเจ้ารึ” “มานี่สิ มานอนกัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ายังไม่ง่วง”“ก็ตามใจ” เขาตอบพลันเปลี่ยนอิริยาบทเป็นนอนตะแคงจ้องนางด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มฟางถิงถิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางค่อยๆ เดินฉากหนีไปที่มุมห้องพอได้ที่เหมาะก็ทรุดนั่งชันเข่าระแวงระวัง ดวงตากวางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาจนเขาผุดลุกนั่ง นางถึงกับสะดุ้งเฮือก“มานอนนี่สิ ถิงถิง” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าก็ง่วงเต็มที”“ข้ายังไม่ง่วง” นางย้ำคำเดิมหลี่ชงเหอยักไหล่ล้มตัวลงนอน ตามองมาที่นางแล้วขับลำนำเบา