LOGIN“นี่เธอ...เป็นเด็กใหม่สินะ”
เสียงที่เป็นมิตรดังขึ้นข้าง ๆ ทำให้เธอหันไปมอง เห็นชายหนุ่มตัวสูงโปร่งนัยน์ตาสดใสกำลังส่งยิ้มมาให้
“ฉันอาไท่” เขายื่นมือมาตรงหน้าอย่างเป็นกันเอง “เธอมาทำงานแบบนี้ครั้งแรกเหรอ”
“ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอหัวเราะแก้เก้อ พลางจับมือตอบ
อาไท่พยักหน้า รอยยิ้มกว้างขึ้น “ก็เธอดูเหมือนลูกปลาที่เพิ่งถูกโยนขึ้นบกเลยนี่นา”
“ก็...อาจจะอย่างนั้นมั้ง” เธอหัวเราะตาม “ฉันหลินซี ว่าแต่...ที่นี่เป็นบ้านคนจริง ๆ เหรอ”
“ใช่ เศรษฐีสักคนน่ะ” อาไท่ยักไหล่ “พวกที่หาเงินในหนึ่งนาทีได้มากกว่าที่เราหาได้ทั้งปีนั่นแหละ”
“ถ้าทำได้แบบนั้นบ้างก็คงจะดีเนอะ” เธอตอบรับอย่างนึกฝัน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะหลินซี” อาไท่มองเธอแล้วขยิบตาอย่างมีเสน่ห์ “ฉันว่า...หลังเลิกงานเราอาจจะไปหาอะไรดื่มกันก็ได้นะ”
“อืม...น่าสนใจดีเหมือนกัน”
หลินซียิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มแรกที่ออกมาจากใจจริงนับตั้งแต่มาถึงที่นี่ อาไท่มีรูปร่างสูงโปร่งและรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้งสุขภาพดีเหมือนคนที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง เรือนผมสีดำสนิทถูกซอยไล่ระดับอย่างมีสไตล์รับกับดวงตาเป็นประกายที่ดูซื่อตรงและจริงใจ
การได้ไปดื่มกับผู้ชายที่ดูอบอุ่นและไม่โอ้อวดแบบนี้อาจจะดีก็ได้ อาจจะช่วยให้เธอลืมเรื่องของผู้ชายคนนั้น...กู้เทียนอี้...ผู้ชายลึกลับที่เธอแทบไม่รู้จัก แต่กลับฝังรากลึกลงในความคิดของเธอ
ภาพเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่คอร์ตแบดมินตันฉายชัดขึ้นมาในหัว แววตาคมกริบคู่นั้นที่มองมาที่เธอ มันไม่ใช่แค่การมองผ่าน แต่เป็นการสำรวจ ประเมินค่า และตัดสินอย่างหยิ่งยโส แต่ในแววตาที่เย็นชานั้นกลับมีความร้อนแรงบางอย่างซ่อนอยู่ ความรู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งพล่านไปทั่วร่างเพียงแค่สบตากัน มันทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เหมือนกำลังจะจมดิ่งลงไปในห้วงลึก แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังจะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ใครกันจะรู้สึกอะไรบ้า ๆ แบบนั้นกับคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก
คนบ้าไง...เธอนี่แหละ...ยัยบ้า...
“เยี่ยมไปเลย!”
เสียงของอาไท่ดึงเธอกลับมา เขากำลังโยกตัวเต้นเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีจนเธออดหัวเราะไม่ได้ บางทีคืนนี้อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้ อาไท่ดูเป็นคนดี และเธอก็คงไม่เป็นพนักงานเสิร์ฟที่แย่จนเกินไปหรอกน่า
ความเงียบที่เข้ามาแทนที่เสียงหอบหายใจและเสียงครางแห่งความสุขสมนั้นมันหนักอึ้งและเย็นเยียบจนน่ากลัว หลินซีฟุบหน้านิ่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่แข็งกระด้างและเย็นเฉียบ ร่างกายเปลือยเปล่าและเหนียวเหนอะหนะ ดวงตาจ้องมองไปด้านหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า สภาพห้องที่ยุ่งเหยิง แฟ้มเอกสารที่ตกกระจายเกลื่อนพื้น เศษกระดาษที่ปลิวว่อน ทั้งหมดคือซากปรักหักพัง ไม่ต่างจากสภาพจิตใจของเธอในตอนนี้ ความร้อนแรงเมื่อครู่จางหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกว่างเปล่า อัปยศ และไร้ค่า หลินซีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงสิ่งของ เป็นเครื่องระบายความใคร่ เป็นโสเภณีที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจ หญิงสาวค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทุกส่วนของร่างกายปวดระบม แต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่กำลังกรีดลึกอยู่ในใจ เธอรีบกวาดสายตาหาเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกฉีกกระชากและโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แล้วรีบสวมมันกลับคืนอย่างลวก ๆ ราวกับจะใช้เศษผ้าเหล
คำว่า ‘อย่าหยุดนะ’ หลุดออกมาเหมือนเสียงกระซิบที่ยอมจำนน มันคือการโยนเศษเสี้ยวสุดท้ายของกำแพงแห่งศักดิ์ศรีทิ้งไป รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของกู้เทียนอี้ มันคือรอยยิ้มของผู้ล่าที่รู้ว่าเหยื่อได้สยบแทบเท้าของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานกับการรอคอย ปลายนิ้วช่ำชองเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งความปรารถนาอีกครั้ง แต่สำหรับหลินซีแล้ว ทุกสัมผัสที่ทำให้ร่างกายบิดเร่า คือทุกขณะที่หัวใจของเธอกำลังถูกบีบคั้น กฎที่เขาเคยตั้งไว้ดังก้องอยู่ในหัว... ‘ห้ามมีความรู้สึก’ ช่างเป็นคำพูดที่โหดร้ายเหลือเกินในยามนี้ และเมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวใกล้จะหลอมละลายเต็มที ร่างกายของเธอบิดเกร็งจนแทบจะถึงจุดสูงสุดอยู่รอมร่อ กู้เทียนอี้ก็ก้มหน้าลงมา ความร้อนชื้นที่ฉกวูบลงบนจุดที่อ่อนไหวที่สุดทำให้หลินซีสะดุ้งสุดตัว มันคือสัมผัสที่เธอไม่เคยคาดคิดและรุนแรงเกินกว่าจะต้านทาน เขาไม่ได้เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน แต่กลับจู่โจมอย่างผู้กระหาย มอบสัมผัสที่ลึกซึ้งและจาบจ้วงที่สุดด้วยลิ้นร้อนชื้นของเขา ลิ้นของเขาทำราวกับมีชีวิต มันทั้งไล้เลีย ตวัด และดูดดึงอย่างช่ำชอง เขาเริ่มต้นด้ว
“กู้เทียนอี้...” หลินซีรวบรวมสติเส้นสุดท้ายพึมพำชิดริมฝีปากชายหนุ่ม เธอไม่อาจถอยหนี...และไม่อยากจะถอยหนี “นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะ” “แล้วมันเป็นความคิดที่เลวร้ายรึเปล่าล่ะ” เขาขยิบตา “อ๊ะ...ไม่ต้องตอบหรอก ผมไม่สนอยู่แล้วว่ามันจะดีหรือจะร้าย ผมชอบทั้งสองอย่าง” “ฉันก็แค่ไม่เข้าใจคุณ...กู้เทียนอี้” เธอพบว่ามันยากที่จะไม่ยิ้มให้เขา ดวงตาของเขาช่างน่าดึงดูด และอารมณ์ขันของเขาก็น่ารัก แม้แต่หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอก็ยังคงติดอยู่ในบ่วงของเขา “ผมก็เหมือนหนังสือที่เปิดอ่านง่าย ๆ ไม่มีอะไรต้องเข้าใจ แล้วคุณอยากจะรู้อะไรล่ะ” “ฉันอยากจะรู้...” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง ตกใจที่ตัวเองเกือบจะเอ่ยชื่อ ‘ซูเฟิน’ ออกไป เธอเสียสติไปแล้วแน่ ๆ “อะไรคือสิ่งที่คุณอยากจะรู้ล่ะครับ” เขาเอียงคอ ดวงตาหรี่ลงขณะจ้องมองเธอ สีหน้าครุ่นคิด “มันไม่สำคัญหรอกค่ะ” “ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันสำคัญกับคุณ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงทำให้หลินซีบอกได้เลยว่าเขากำลังพยายามจะอ่านใจเธอ ทำให้เธอประหม่า ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรดี เธอจะบอกเขาได้ยังไง
ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของเธออย่างจาบจ้วง ไล่ต้อนและช่วงชิงทุกความหอมหวานไปจนหมดสิ้น สมองของเธอขาวโพลน ขาแข้งอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่ มือที่เคยคิดจะผลักไสกลับขยุ้มเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นเป็นที่ยึดเหนี่ยว เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ไม่ใช่เพราะขาดออกซิเจน แต่เพราะกำลังจมดิ่งลงไปในตัวตนของเขาจนหมดสิ้น “แล้วแบบนี้...ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจรึเปล่าครับ” กู้เทียนอี้ถามเสียงเบาขณะถอนริมฝีปากออกห่าง จ้องลึกลงไปในดวงตาหญิงสาวด้วยแววตาของผู้ชนะ “อืมมม...” เธอพึมพำ หายใจหอบเกินกว่าจะพูดอะไรได้ ฝูงผีเสื้อนับล้านกำลังบินว่อนอยู่ในท้อง ทำไมเขาต้องมีเสน่ห์ร้ายกาจขนาดนี้ด้วยนะ... “‘อืมมม’ เหรอครับ” เขามองเธออย่างเหนื
ก่อหน้านี้ ณ อีกฟากหนึ่งของห้องประชุม กู้เทียนอี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง รอยยิ้มหยันที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ได้จางหายไปแล้ว เหลือเพียงความเยียบเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงตาสีน้ำหมึกที่บัดนี้หรี่ลงจนแทบจะเป็นเส้นตรงจับจ้องไปยังภาพบาดตาเบื้องหน้า ภาพของหลินซีที่กำลังส่งยิ้มหวานหยดให้กับพนักงานหนุ่มคนนั้น ภาพที่เธอขยิบตา ภาพที่เธอยื่นโทรศัพท์คืนให้ ทุกการกระทำของเธอคือการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ คือการประกาศสงครามที่โจ่งแจ้งที่สุด ความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่เคยต้องการที่จะยอมรับพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก มันคือความโกรธ ไม่ใช่ความโกรธที่ดังและเกรี้ยวกราด แต่เป็นความโกรธที่เย็นเยียบ หนักหน่วง และพร้อมที่จะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า เธอกล้าดียังไง... เขาไม่ได้เดิน แต่เขากำลัง ‘เคลื่อนตัว’
“ต้องเป็นในทางที่ดีแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ” ใบหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาทันที และในวินาทีนั้น เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาจริง ๆ เจียสือเป็นคนจริงใจ ดีเกินกว่าจะถูกดึงเข้ามาในเกมบ้า ๆ นี้ “ในทางที่ดีมากเลยค่ะ คุณเป็นคนดีจริง ๆ นะคะเจฟ” “แย่แล้วสิครับ” เขาแกล้งทำหน้าแหย ยกมือขึ้นทาบอกราวกับถูกยิง “อะไรคะ” “โดนชมว่าเป็นคนดีแบบนี้ก็จบกันพอดีสิครับ” “ไม่ค่ะ ไม่ใช่” เธอหลุดหัวเราะออกมากับท่าทีของเขา “ฉันชอบคนดีนะคะ” “ค่อยโล่งใจหน่อยครับ” เขายิ้มกริ่ม ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อมองข้ามไหล่ของเธอ “แต่ผมว่า...”







