Masuk“ค่าจ้างคืนละแปดร้อยหยวน...ค่าจ้างคืนละแปดร้อยหยวน...”
หลินซีพึมพำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ คำพูดเพียงประโยคเดียวที่สะกดใจเธอไว้ไม่ให้หักพวงมาลัยรถกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้
“แปดร้อยหยวน...”
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปล่อยให้มันลอยไปกับอากาศในรถที่เย็นเฉียบ หญิงสาวก้มลงมองชุดพนักงานเสิร์ฟที่รับมาแล้วทำหน้าแหย นี่มันไม่ใช่แค่ชุดพนักงานเสิร์ฟ แต่มันเหมือนชุดสาวใช้ราคาถูกที่จงใจตัดเย็บมาเพื่อยั่วยวนมากกว่า กระโปรงสีดำสั้นกุดจนน่าใจหาย เสื้อเชิ้ตสีขาวก็รัดติ้วจนแทบปริ แถมเนื้อผ้ายังบางเฉียบจนมองทะลุเห็นไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งเธอเพิ่งจะมาสังเกตเห็นตอนที่ก้าวขาออกจากบ้านมาแล้ว
คืนนี้เธอคงได้กลายเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ของงานเลี้ยงเป็นแน่ เผลอ ๆ อาจจะโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรก ให้ตายสิ นั่นคงจะน่าอายพิลึก เธอไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด แถมรูปลักษณ์ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าพนักงานเสิร์ฟมืออาชีพเลยสักนิดเดียว แม้ใจจะร่ำร้องอยากกลับไปขดตัวอยู่บนเตียงแล้วลืมเรื่องบ้า ๆ นี่ไปเสีย แต่เธอก็ต้องการเงิน
“นี่แหละราคาของความฝัน” เธอพึมพำเย้ยหยันตัวเอง “ราคาของการพยายามจะเป็นนักเขียน ยัยถังแตกเอ๊ย”
ความคิดนั้นช่างเสียดแทง ในขณะที่เธอกำลังขับรถไปตามถนนส่วนตัวที่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ที่งดงามราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยา...เทพนิยายที่เธอพยายามจะเขียนมันขึ้นมาในนิยายรักโรแมนซ์เรื่อง ‘เล่นเกมกับตัวพ่อ’ แต่ชีวิตจริงกลับผลักไสให้เธอมารับบทตัวประกอบที่น่าสมเพชเสียเอง
สมองพยายามนึกถึงคำสั่งของนายจ้างคนใหม่ว่าให้จอดรถที่ไหน แต่ก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจจอดรถไว้หลังรถเบนท์ลีย์สีดำสนิทคันหนึ่ง รีบคว้ากระเป๋าแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูหน้า แม้จะจำได้ลาง ๆ ว่ามีคนบอกให้เข้าทางประตูสำหรับคนรับใช้ก็ตาม แต่ตอนนี้เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ตัวเองผ่านคืนนี้ไปพร้อมกับเงินแปดร้อยหยวนก็พอ
“หลินซี?”
เสียงเรียกที่ฟังดูยุ่งเหยิงทำให้เธอสะดุ้ง ผู้หญิงผมสั้นที่ถูกย้อมเป็นสีแดงเพลิงในชุดเดรสทำงานทะมัดทะแมงรีบวิ่งเข้ามาหาเธอ ในมือเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักชื่อเธอได้อย่างไร แต่ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะซักถาม
“ค่ะ...ฉันเอง” เธอพยักหน้า พลางห่อตัวลงเล็กน้อยอย่างประหม่าเมื่อถูกสายตาคู่นั้นกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะจบลงด้วยการทำหน้าแหย ๆ
“เธอมาสาย” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยเสียงเข้ม
“จริงเหรอคะ” เธอรีบก้มมองนาฬิกาข้อมือ “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันสังเกตเลยว่า...”
“จะมาไหม” หญิงผมแดงไม่รอให้เธอพูดจบ หล่อนมองกลับมาด้วยสายตาตำหนิกึ่งดูถูก “ตามฉันมา” ว่าจบก็หันหลังแล้วเดินจ้ำอ้าวหายเข้าไปข้างในทันที
“ค่าจ้างคืนละแปดร้อย...ค่าจ้างคืนละแปดร้อย...”
หลินซีท่องคาถาเดิมในใจขณะก้าวตามไปติด ๆ ถึงจะไม่แน่ใจว่าเงินจำนวนนี้มันคุ้มค่ากับความเครียดที่กำลังถาโถมเข้ามาหรือไม่ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการไม่มีรายได้เลย การได้ทำงานกลางคืนเป็นครั้งคราวคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีความฝันจะเป็นนักเขียนเต็มเวลา มันเป็นความฝันที่เธอยังคงกอดไว้แน่น แม้ตอนนี้มันจะดูห่างไกลเหลือเกิน
โชคดีที่เธอมีเจิ้งลี่ซา เพื่อนสนิทที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ เพื่อนไม่เพียงชื่นชมต้นฉบับ ‘เล่นเกมกับตัวพ่อ’ ของเธอ แต่ยังยอมให้เธอมาอาศัยอยู่ด้วยฟรี ๆ และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอต้องมายืนอยู่ที่นี่ เธอรู้ดีว่าเพื่อนไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายของเธอได้ตลอดไป เธอต้องช่วยแบ่งเบาภาระ จะไม่ยอมเอาเปรียบน้ำใจของเพื่อน หรือเป็นภาระให้ใครเด็ดขาด
“เธอรับผิดชอบเสิร์ฟคานาเป้ เข้าใจนะ”
เสียงของผู้หญิงผมแดงดึงเธอกลับมาจากภวังค์ เธอพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วขณะที่เดินเข้ามาในห้องครัวที่ใหญ่โตและวุ่นวายที่สุดเท่าที่เคยเห็น หลินซีสังเกตว่าภายในนั้นยังมีพนักงานเสิร์ฟอีกเจ็ดแปดคนยืนอยู่รอบ ๆ ด้วยสีหน้าตื่น ๆ ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย หญิงผมแดงรับโทรศัพท์แล้วรีบเดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้เธอยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กับที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป
“ฉันไม่ใช่มืออาชีพหรอกค่ะ แค่มารับงานพิเศษ” เธอยักไหล่ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “เข้าใจแล้ว” เขาพูดคำเดิมซ้ำ แต่สีหน้าและแววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความดูแคลนจนเธออยากจะยกมือขึ้นตบหน้าหล่อ ๆ นั่นสักฉาด “งั้นคืนนี้คุณก็เป็น ‘พนักงานเสิร์ฟ’ ของผม คนเดียวสินะ” “ใช่ค่ะ และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย” เธอทำหน้าแหย ๆ “จริง ๆ แล้วฉันเป็นนักเขียน” เธอเน้นคำว่านักเขียน แม้จะรู้สึกเหมือนคนขี้โกหกอยู่บ้างก็ตาม จะเรียกตัวเองว่านักเขียนได้ยังไงในเมื่อยังไม่เคยมีผลงานตีพิมพ์เลยสักเล่ม “อ้อ ครับ” เขาพูดย้ำเป็นครั้งที่สามด้วยสีหน้าแบบเดิมที่ทำให้เธออยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ “ฉัน...ต้องกลับไปทำงานแล้วค่ะ” เธอบอกปัดแล้วเตรียมจะเดินหนี แต่เขากลับขยับร่างสูงใหญ่มาขวางทางไว้ “ถ้างั้น...ผมถอดกางเกงรอเลยดีไหม” “อะไรนะคะ!” เธอร้องเสียงหลง สายตาเจ้ากรรมดันเผลอเหลือบไปมองกางเกงสแล็คสีเข้มเข้ารูปของเขาโดยไม่ตั้งใจ ให้ตายเถอะ แค่เห็นเงาของช่วงขาที่แข็งแรงนั่นก็เซ็กซี่จะบ้าแล้ว “ก็คุณบอกว่าจะกลับไป ‘ทำงาน’ ผมนึกว่าคุณหมายถึงกลับมา ‘บริการ’ ผมซะอีก”
เสียงอึกทึกจากห้องโถงเลือนหายไปทันทีที่ร่างของเธอถูกลากผ่านเข้ามาในโถงทางเดินที่เงียบสงัด เหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นกับเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวอยู่ในอก หลินซีพยายามยื้อตัวขัดขืนแต่ก็ไร้ผล วงแขนที่รัดรอบเอวของเธอแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า “คุณจะทำอะไร!” เธอตวาดถามเสียงสั่น แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้ยิน เขาผลักประตูบานหนึ่งให้เปิดออกแล้วดันร่างเธอเข้าไปข้างใน ก่อนจะก้าวตามเข้ามาแล้วปิดประตูลง เสียง ‘กริ๊ก’ ของลูกบิดที่ถูกล็อกฟังดูดังเป็นพิเศษในความเงียบที่โรยตัวลงมารอบกาย เขากดเปิดไฟสลัวดวงหนึ่งที่ผนัง เผยให้เห็นห้องทำงานขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ทุกอย่างอยู่ในโทนสีเข้มขรึม สะท้อนรสนิยมที่ไม่ธรรมดาของเจ้าของห้อง หลินซียืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางห้อง พยายามควบคุมลมหายใจที่เริ่มติดขัดอย่างหนักหน่วง เธอจ้องมองเขา...ผู้ชายที่ฉุดเธอเข้ามาในนี้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยอมรับว่าทุกอณูในร่างกายกำลังตื่นตัวอย่างบ้าคลั่งกับความใกล้ชิดที่อันตรายนี้ ผมสีดำสนิทที่ตัดแต่งอย่างดี ดวงตาสีน้ำหมึกลุ่มลึกที่ฉายแววหยอกเย้า ผิวสีน้ำผ
หลินซีเริ่มเดินเสิร์ฟไปตามขอบห้องโถง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินอย่างร้ายกาจ เสียงพูดคุยจอแจ เสียงหัวเราะแผ่วเบา และเสียงแก้วแชมเปญกระทบกันดังก้องอยู่ในหู ตัดกับความเงียบงันในใจของเธออย่างสิ้นเชิง แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลสาดส่องลงมากระทบเครื่องเพชรบนเรือนร่างของแขกเหรื่อจนส่องประกายวิบวับบาดตา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงหลากหลายแบรนด์ปะปนกันในอากาศจนเธอแทบมึนหัว ที่นี่คือโลกอีกใบ โลกที่เธอเคยเห็นแต่ในนิตยสารหรือภาพยนตร์ ผู้ชายทุกคนสวมสูทหรูหราสั่งตัด ผู้หญิงทุกคนอยู่ในชุดราตรีที่งดงามราวกับจะเดินบนพรมแดงได้ทุกเมื่อ และเธอก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา ในชุดสาวใช้ราคาถูกที่แทบจะปกปิดอะไรไม่มิด หญิงสาวพยายามประคองถาดในมืออย่างเกร็ง ๆ ขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่จัดเรียงอย่างสวยงามดูหนักอึ้งขึ้นมาถนัดใจ มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะทำมันหล่นโครมลงบนพื้นพรมราคาแพง ครั้งแรกอาไท่ปราดเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ส่วนครั้งอื่น ๆ เธอก็คว้ามันกลับมาได้ในวินาทีสุดท้ายอย่างหวุดหวิด “โอ้...อาเป่า คุณต้องลองล็อบสเตอร์กับคาเวียร์นี่นะ” หญิงสาวในชุดราตรีเกาะอกสีแดงไวน์ที่ขับผิวขาวผ่องราว
“นี่เธอ...เป็นเด็กใหม่สินะ” เสียงที่เป็นมิตรดังขึ้นข้าง ๆ ทำให้เธอหันไปมอง เห็นชายหนุ่มตัวสูงโปร่งนัยน์ตาสดใสกำลังส่งยิ้มมาให้ “ฉันอาไท่” เขายื่นมือมาตรงหน้าอย่างเป็นกันเอง “เธอมาทำงานแบบนี้ครั้งแรกเหรอ” “ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอหัวเราะแก้เก้อ พลางจับมือตอบ อาไท่พยักหน้า รอยยิ้มกว้างขึ้น “ก็เธอดูเหมือนลูกปลาที่เพิ่งถูกโยนขึ้นบกเลยนี่นา” “ก็...อาจจะอย่างนั้นมั้ง” เธอหัวเราะตาม “ฉันหลินซี ว่าแต่...ที่นี่เป็นบ้านคนจริง ๆ เหรอ” “ใช่ เศรษฐีสักคนน่ะ” อาไท่ยักไหล่ “พวกที่หาเงินในหนึ่งนาทีได้มากกว่าที่เราหาได้ทั้งปีนั่นแหละ” “ถ้าทำได้แบบนั้นบ้างก็คงจะดีเนอะ” เธอตอบรับอย่างนึกฝัน “ยินดีที่ได้รู้จักนะหลินซี” อาไท่มองเธอแล้วขยิบตาอย่างมีเสน่ห์ “ฉันว่า...หลังเลิกงานเราอาจจะไปหาอะไรดื่มกันก็ได้นะ” “อืม...น่าสนใจดีเหมือนกัน” หลินซียิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มแรกที่ออกมาจากใจจริงนับตั้งแต่มาถึงที่นี่ อาไท่มีรูปร่างสูงโปร่งและรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้งสุขภาพดีเหมือนคนที่ชอบเล่นก
“ค่าจ้างคืนละแปดร้อยหยวน...ค่าจ้างคืนละแปดร้อยหยวน...” หลินซีพึมพำกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ คำพูดเพียงประโยคเดียวที่สะกดใจเธอไว้ไม่ให้หักพวงมาลัยรถกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ “แปดร้อยหยวน...” เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปล่อยให้มันลอยไปกับอากาศในรถที่เย็นเฉียบ หญิงสาวก้มลงมองชุดพนักงานเสิร์ฟที่รับมาแล้วทำหน้าแหย นี่มันไม่ใช่แค่ชุดพนักงานเสิร์ฟ แต่มันเหมือนชุดสาวใช้ราคาถูกที่จงใจตัดเย็บมาเพื่อยั่วยวนมากกว่า กระโปรงสีดำสั้นกุดจนน่าใจหาย เสื้อเชิ้ตสีขาวก็รัดติ้วจนแทบปริ แถมเนื้อผ้ายังบางเฉียบจนมองทะลุเห็นไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งเธอเพิ่งจะมาสังเกตเห็นตอนที่ก้าวขาออกจากบ้านมาแล้ว คืนนี้เธอคงได้กลายเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ของงานเลี้ยงเป็นแน่ เผลอ ๆ อาจจะโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรก ให้ตายสิ นั่นคงจะน่าอายพิลึก เธอไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด แถมรูปลักษณ์ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าพนักงานเสิร์ฟมืออาชีพเลยสักนิดเดียว แม้ใจจะร่ำร้องอยากกลับไปขดตัวอยู่บนเตียงแล้วลืมเรื่องบ้า ๆ นี่ไปเสีย แต่เธอก็ต้องการเงิน “นี่แห
“ผมมีข้อเสนอจะให้คุณ”น้ำเสียงทุ้มพร่าเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ หากแต่กังวานอยู่ในความเงียบของห้องราวกับมนตร์สะกด หลินซีเผลอกลั้นหายใจ หัวใจกระตุกวูบไปกับสุ้มเสียงที่นุ่มนวลดุจเครื่องดนตรีชั้นเลิศ“ค่ะ”เธอตอบรับเสียงแผ่ว พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มคู่นั้น ดวงตาที่เปล่งประกายคมปลาบราวกับรัตติกาลที่ประดับด้วยดาวนับล้านดวงทว่าแววตาที่จ้องกลับมากลับเจือไปด้วยความหยอกเย้า หรือบางทีอาจเป็นความเย้ยหยัน เธอรอ...รอให้เขาเอ่ยประโยคถัดไป แต่เขากลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันอย่างเลือดเย็น บีบคั้นเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกความอึดอัดเริ่มเกาะกุมจนเธอทนไม่ไหว“แล้ว...ข้อเสนอของคุณคืออะไรเหรอคะ”ริมฝีปากหยักได้รูปของเขาค่อย ๆ เผยอออกเป็นรอยยิ้มอย่างเชื่องช้า เป็นรอยยิ้มที่เผยให้เห็นไรฟันขาวสะอาด แต่กลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย เขายังคงไม่พูดอะไร ปล่อยให้เธอจมอยู่กับความสับสนของตัวเองต่อไป“หรือว่าคุณไม่มีอะไรจะพูดคะ” ครั้งนี้หลินซีกระแทกเสียงถาม ความหงุดหงิดฉายชัดขึ้นมาในแววตาในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก“ผมมีเรื่อ







