โต๊ะอาหารเย็นในบ้านกุลธาราวงศ์ บรรยากาศเรียบง่าย มีเพียงอาหารสามสี่อย่างและกลิ่นข้าวหอมมะลิอุ่นๆ ลอยมาแตะจมูก
ป้าสมรและยุพินแม่บ้านชาวพม่าน้องสาวของยุพากำลังช่วยกันจัดโต๊ะอาหาร อิงลดานั่งฝั่งตรงข้ามกับภีมวัช หลังจากตักอาหารใส่จานให้กันครบถ้วน ดาริกาก็ชวนคุย
“วันนี้กินอาหารกลางวันด้วยกันเป็นยังไงบ้างลูก”
“ก็ดีครับ ได้คุยกันหลายเรื่อง” ภีมวัชมองไปทางอิงลดา ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ
“อิงอยากทำงานไหม ถ้าอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ พี่จะได้ฝากงานให้ที่โรงพยาบาลหรือในเครือบริษัทที่รู้จัก”
อิงลดาเลิกคิ้วที่เขาถามเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ก็ทำงานอยู่แล้ว เป็นงานออนไลน์กับดูแลบริษัทของที่บ้านนิด แค่ดูงานไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันหรอกค่ะ” เธอยิ้มบางๆ
ภีมวัชชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอมีงานทำ ทั้งๆ ที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด
“เจ้านายใจดีจัง ไม่ต้องเข้าออฟฟิศบ่อยๆ ทำอะไรอีกได้อะไรมาได้อันนั้นอันนี้มาแท้อยู่เรื่อยเรื่อยเลยมันเป็นยังไงได้ของมาแท้อยู่ตลอด”
“ก็พ่อกับแม่เป็นเจ้านายน่ะค่ะ” เธอตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขามองแบบงงๆ เธอก็นรีบอธิบายต่อ
“จริงๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรมากด้วยค่ะ แค่เซ็นเอกสารบางส่วนกับตรวจรายงานผลการดำเนินงานประจำเดือนบ้างเป็นบางครั้ง”
มารดาของภีมวัชหัวเราะอย่างเอ็นดู “บ้านอิงน่ะรวยกว่าบ้านเราซะอีก พ่อแม่เขาก็วางระบบบริษัทไว้ดีมาก แยกเป็นฝ่ายๆ ทำงานกันเป็นขั้นตอนจนไม่ต้องลงไปจัดการเองทุกวัน”
“พูดให้ถูกก็คือ เราแค่นั่งรอเงินเข้าบัญชีก็ว่าได้ค่ะ แค่ต้องเข้าประชุมกับผู้บริหารบ้างเพื่อไม่ให้เขาลืมว่าเรายังมีตัวตน” อิงลดาเสริม
ภีมวัชวางช้อนลงช้าๆ สีหน้าเรียบสนิท แต่แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพึมพำเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเอง
“รวยขนาดนั้น แต่เลือกแต่งงานกับพี่ พี่ไม่มีอะไรให้นะ”
“ก็ไม่ได้มาเพราะอยากได้อะไรจากพี่ภีมอยู่แล้วนี่คะ” อิงลดาเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มท้าทาย
ดาริกาหัวเราะออกมา “แม่ดีใจนะที่พวกหนูเข้ากันได้ดี มีอะไรก็พูดกันตรงๆ แบบนี้แหละ อยู่กันนานๆ จะได้ไม่เก็บอะไรไว้ในใจ”
อิงลดายิ้มตอบ แต่ภีมวัชยังนิ่ง เขาแค่หยิบช้อนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลบางอย่าง
คืนนั้น เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น ตามด้วยเสียงจากคนที่เคาะหน้าห้อง
“อิง พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
เธอเปิดประตูออกด้วยสีหน้าแปลกใจนิดๆ เขายืนพิงประตูห้องฝั่งตรงข้าม ชุดลำลองเรียบง่าย แต่สีหน้าเหมือนมีบางอย่างในใจ
“มีอะไรเหรอคะ” เธอถามพลางเดินออกมายืนตรงโถงหน้าห้อง
“พี่ถามอะไรหน่อยได้ไหม” เสียงเขาเบาลง ไม่ใช่ภีมวัชที่เด็ดขาดในห้องผ่าตัด แต่เป็นภีมวัชในมุมที่เธอยังไม่เคยเห็น
“ว่าอะไรคะ”
“อิงก็รวย ฐานะก็ดี อิทธิพลของครอบครัวผู้ชายคนนั้นก็ทำอะไรเธอไม่ได้… แล้วทำไมต้องหนีมาแต่งงานกับพี่”
เธอนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจและพิงผนังเบาๆ
“เพราะอิงรำคาญเขาค่ะ มันไม่ใช่แค่กลัวอิทธิพลหรืออะไรหรอกนะแต่อิงไม่อยากเจอหน้าคนที่ตามตื๊อแบบไม่รู้จักคำว่าพอ ไหนจะภรรยาของเขาที่ตามมาราวีอีก ชีวิตท็อกซิคมากเลยค่ะ สามีตามตื๊อ ภรรยาตามราวี ชีวิตอิงไม่สงบสุขเลย” เธอตอบเขาตามตรงแล้วหันมามองเขา
“แล้วก็อยากมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วย”
“เพื่ออะไร”
“ขยายธุรกิจของที่บ้านค่ะ กำลังหาทำเลอยู่มีโปรเจกต์ที่ต้องคุยกับนักลงทุนด้วย เลยถือโอกาสมาเลย การแต่งงานกับใครสักกคนที่ไม่สร้างปัญหา ก็ดูเข้าท่าใช่ไหมล่ะคะ” เธอยิ้มบางๆ
เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถามกลับช้าๆ
“งั้น…ผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยไม่จำเป็นต้องเป็นพี่ก็ได้”
“จำเป็นสิ อิงเลือกไว้สามคน แล้วพี่ภีมก็เหมาะสมที่สุด” เธอเลิกคิ้วมอง น้ำเสียงนั้นไม่มีเจตนาทำร้าย แต่ประโยคที่บอกว่าเขาเป็นหนึ่งในตัวเลือกกลับบาดลึกกว่าที่เธอคาด
ภีมวัชนิ่งไปชั่วอึดใจ สีหน้าที่เคยเรียบนิ่งกลับเยือกเย็นกว่าทุกที
“ขอบใจนะที่เลือกพี่จากตัวเลือกสามคน” เขาพูดช้าๆ เสียงเรียบไร้แววประชด แต่สายตาที่มองกลับมา มันเจ็บกว่าคำใดๆ
“แต่พี่ไม่เคยคิดว่าอยากเป็นแค่ตัวเลือกของใคร” เขาผละตัวจากผนังที่พิงอยู่ เดินผ่านหน้าเธอไปอย่างเงียบๆ เสียงประตูห้องเขาปิดลงเบาๆ แต่ในใจเธอกลับสั่นไหว
อิงลดามองตามแผ่นหลังนั้น จู่ๆ หัวใจเธอก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เขา...น้อยใจเหรอ” เธอพึมพำด้วยความไม่เข้าใจ
************************
เช้าวันใหม่ อิงลดาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธออยู่ในอ้อมกอดอุ่นของสามีที่ยังคงหลับสนิท แขนแข็งแรงของเขาโอบรอบเอวเธอไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจะสูญเสียเธอไปอิงลดายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พลางมองใบหน้าหล่อเหลาในระยะใกล้ ใต้แววตาปิดสนิทนั้นคือความอ่อนล้า เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนเขาอดกลั้นเพียงใด เพื่อให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่“น่าเอ็นดูจัง” เธอพึมพำเบาๆ ราวกับบ่น แต่แฝงไว้ด้วยความรักเธอไม่อยากให้เขาทรมานอีกต่อไป จึงขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น ปลายจมูกแตะเบาๆ ที่แก้มเขา ก่อนจะกดจูบอุ่นไล้ไปตามกรอบหน้า จากนั้นริมฝีปากอ่อนหวานก็จรดลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบาภีมวัชขยับตัวเล็กน้อย ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ เปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและร้อนแรง“ลักหลับพี่เหรอ” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยออกมา พลางยกมือมาประคองใบหน้าเธอไว้ อิงลดายิ้มเขิน ใบหน้าขึ้นสีจัดแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เธอก้มลงจูบเขาอีกครั้ง คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม คล้ายเป็นการยอมรับอย่างเงียบๆภีมวัชถอนหายใจแผ่วๆ ดวงตาทอแววปรารถนา แต่ก็มีความกังวลอยู่ในใจว่าภรรยาจะเป้นอันตราย“หมอไม่ได้บอกว่าห้ามนี่คะ อีกอย่างพี่ภีมก็เป็นหมอ
เมื่อแขกผู้ใหญ่ทยอยกลับ เหลือเพียงบรรดาเพื่อนฝูง ญาติสนิท และเพื่อนร่วมงานใกล้ชิด บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนจากความเป็นทางการมาเป็นความครึกครื้นสนุกสนาน ดนตรีถูกปรับให้เร้าใจขึ้น แสงไฟหลากสีสาดไปทั่วฟลอร์ราวกับเปลี่ยนเป็นคลับหรูอิงลดาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้สั้นระยิบระยับ โชว์เรียวขาสวยพอประมาณ ข้างกายคือภีมวัชที่สวมเสื้อเชิ้ตแขนพับกับกางเกงเข้ารูป ดูหนุ่มเท่แต่ก็ยังคงความสุขุม“ชุดนี้พี่ไม่โอเค โป๊ไป”“ครั้งเดียวในชีวิต ไม่สวยเหรอคะ”“สวยสิ เจ้าสาวสวยเกินไปแล้วคืนนี้” ภีมวัชก้มกระซิบที่ข้างหู ทำเอาอิงลดาหน้าแดงจัด ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วกระซิบข้างหูของศัลยแพทย์หนุ่ม“ชุดนี้ ฉีกง่ายนะคะ ข้างในเป็นตาข่าย อิงกะจะให้พี่ภีมได้ฉีกมันคืนนี้”เขายิ้มกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความพอใจ รู้ว่าภรรยาตั้งใจยั่ว แต่เธอท้องอยู่เขาจะกล้าลงมือหรือหมอหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย ดึงเธอขึ้นไปกลางฟลอร์เต้นรำ จังหวะดนตรีสนุกๆ ดังขึ้น เพื่อนๆ ก็ตบมือเชียร์กันสนั่น“วู้! หมอภีม เต้นเป็นด้วยเหรอนั่น” เพื่อนหมอชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา หมอนุ่นยืนหัวเราะพลางยกแก้วไวน์ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่เราเห็นในห้องผ่าต
สินีรัตน์ไม่พูดอะไรทันที แต่หยิบซองสีน้ำตาลจากมือ เดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะโยนใส่หน้าเขาเต็มแรงจนเอกสารข้างในกระจายเกลื่อนพื้น“นี่คือสิ่งที่คุณอยากได้ไม่ใช่เหรอ เอกสารฟ้องหย่า” น้ำเสียงเธอเย็นชา จ้องมองเขาอย่างไม่เหลือเศษเสี้ยวความรักในแววตา “แล้วคุณเคยบอกเองว่าไม่อยากมีลูก ไล่ให้ฉันไปทำแท้ง วันนี้คุณคงสมใจแล้ว เด็กไม่อยู่แล้ว ชีวิตคู่ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป”ภาณุยกมือสั่นๆ จะเอื้อมไปหาเธอ “สินี ผม…”เขายังพูดไม่จบ สายตาเย็นเฉียบของเธอตัดคำพูดเขาทันที ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักกลับกลายเป็นเย็นชาและเกลียดชัง“อย่าเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงแบบนั้นอีก ตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” เธอกล่าวชัดถ้อยชัดคำ เธอหันหลังกลับ เดินเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองแม้เพียงเสี้ยววินาที ทิ้งเขาไว้กับกองเอกสารบนพื้น และแก้มที่ยังแสบร้อนจากรอยตบประตูบ้านปิดลง เหมือนตอกย้ำความจริงว่าเขาได้สูญเสียเธอไปตลอดกาลแล้วเขายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านราวกับถูกถอนวิญญาณออกไปทั้งร่าง สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูซึ่งไม่มีทางเปิดออกมาให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธออีกคนขับรถที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ มองนายหนุ่มด้วยความลังเล ก่อ
เสียงรถที่แล่นผ่านหน้าบ้านสวนออกไปทำให้ภาณุชะงัก เขาจำได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นของครอบครัวสินีรัตน์ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น เขารีบรุดเข้าไปในบ้าน เห็นบิดาและมารดานั่งอยู่ในห้องรับแขก บรรยากาศเงียบกดดันจนเขาไม่กล้าเอ่ยทัก สองสามีภรรยามองตรงไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตาใส่ลูกชายที่เพิ่งกลับถึงบ้าน“สินีล่ะครับ อยู่ข้างบนหรือเปล่า” เขาถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นบันไดเมื่อรู้ว่าคงไม่ได้รับคำตอบง่ายๆเมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายเย็นวาบ ห้องโล่งผิดปกติ ตู้เสื้อผ้าแทบว่างเปล่า เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัวไม่มีเหลือแม้ชิ้นเดียว ราวกับเจ้าของห้องไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน“ไม่จริง” เขาพึมพำ ก่อนหันหลังวิ่งลงมา หยุดยืนตรงหน้ามารดาที่นั่งเงียบอยู่ “แม่ ของของสินีหายไปหมด แม่รู้ใช่ไหมว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”นงนาถถอนหายใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “เมื่อกี้พ่อแม่ของหนูสินีเพิ่งมาเก็บของส่วนที่เหลือไป”“ส่วนที่เหลือ… หมายความว่าอะไรครับแม่” ภาณุถามเสียงแผ่วเหมือนไม่อยากได้คำตอบ“ก็หมายความว่าก่อนหน้านี้หนูสินีเก็บของกลับไปเกือบหมดแล้ว วันนี้เขาเพิ่งมาเอาที่เหลือให้เ
ทันทีที่รถตู้แล่นเข้าสู่กรุงเทพฯ และแวะพักที่บ้านเพียงไม่นาน ดาริกาก็จะออกไปตรวจดูสถานที่จัดงานฉลองแต่งงานในวันพรุ่งนี้ทันที“แม่จะไปดูห้องจัดเลี้ยง แม่อยากให้แน่ใจว่างานทุกอย่างพร้อม” ดาริกาพูดขณะก้าวลงจากรถ สีหน้ามีร่องรอยความกังวลชัดเจนภีมวัชเดินเคียงข้างภรรยา เอื้อมมือกุมมืออิงลดาเบาๆ พลางเหลือบตามองมารดา“นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับ แม่ก็อย่ากังวลเกินไปเลยครับ ออแกไนเซอร์มืออาชีพทั้งนั้น เขาคงไม่พลาดเรื่องใหญ่แบบนี้หรอก”“แม่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอกลูก” ดาริกาส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด งานที่เชียงใหม่จัดอลังการเกินคาด งานที่กรุงเทพเธอจะไม่ให้ลูกสะใภ้น้อยหน้า“งานใหญ่ทั้งที แขกผู้ใหญ่ในวงสังคมจะมาร่วมเยอะมาก ถ้ามีอะไรผิดพลาดนิดเดียว คนเขาก็จะเอาไปพูดต่อกัน อีกอย่างแม่อยากให้อิงมีความสุขที่สุด”“เพิ่งมาถึง พักก่อนเถอะครับ” พิทักษ์กล่าวด้วยความกังวล อารีย์เองก็มองด้วยแววตาที่ร้องขอ แต่ดาริกาก็กังวลใจ เพราะเธอเป็นแม่งานในครั้งนี้“ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจ งั้นเราก็ไปดูด้วยกันเถอะค่ะ” อิงลดาหันมามองสามีแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปบอกบุพการีของตน“คุณพ่อคุณแม่ก็พักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวอิงกับพี่ภีมไปดูห้องจัดง
อิงลดานั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าฝ้ายสีอ่อน ผมยาวสยายลงมาปรกบ่า ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง เธอเอนตัวพิงหมอนกอดหมอนข้างเอาไว้เหมือนจะกันตัวเองจากใครบางคนที่กำลังยืนกอดอกจ้องอยู่“พี่ภีมจะยืนมองอีกนานไหมคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่แววตาหวานที่เหลือบมองทำให้ภีมวัชยิ่งรู้สึกใจเต้นแรง“พี่รอเวลานี้มาทั้งวันแล้วนะอิง อยากกอดเมียจะแย่” เขาเดินเข้ามาใกล้ เตียงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ“อิงรู้นะคะว่าพี่ไม่ได้แค่อยากกอดหรอก”เขาหัวเราะชอบใจก้มลงมองตาเธอใกล้ๆ “พี่สัญญาว่าจะดูแลอิง และดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด ถึงจะห้ามใจไม่อยู่แต่พี่ก็จะพยายามหักห้ามใจไม่ให้เป็นอันตรายกับลูก” เขาพูดซึ้งแต่แฝงไปด้วยการพูดทีเล่นทีจริงอิงลดายิ้ม ดวงตาคลอด้วยน้ำใสๆ เพราะความซาบซึ้ง เธอเอียงหัวพิงไหล่สามีเบาๆ ภีมวัชกอดเธอแน่นขึ้น ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา แทนคำสัญญาที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นถ้อยคำใดๆ“พักเถอะ วันนี้เราเหนื่อยกันมามากแล้วพี่ไม่แกล้งแล้ว” เขากระซิบ พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเธอ “อิงรู้ว่าพี่ภีมไม่ได้แกล้งหรอก พี่น่ะหื่นจริง แต่ช่วงนี้อิงขอนะคะอิงเหนื่อยมากจริงๆ” “รู้