เช้าวันต่อมา ภีมวัชเดินลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนใคร สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยบ่งบอกว่าจิตใจไม่ได้สงบเท่าไร
ดาริกาทักว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม เขาเพียงพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำเปล่า
อิงลดาเดินลงมาช้าๆ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ กับกางเกงผ้าเนื้อดี ดูคล่องตัวแต่เรียบร้อย พอเห็นว่าภีมวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยิ้มบางๆ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ภีม” หญิงสาวจงใจเน้นเสียงอย่างยียวน
เขาเหลือบตามอง ตอบกลับเสียงเรียบและสีหน้าไม่เปลี่ยน
“เที่ยงนี้พี่อยากกินข้าวผัดกุ้ง”
อิงลดาเลิกคิ้ว เพิ่งจะเช้าเขาก็ถามหาอาหารเที่ยงแล้ว
“ค่ะ เด่ยวบอกป้าสมรให้”
“พี่อยากกินฝีมืออิง”
“วันนี้ไม่อยากเข้าครัวค่ะ” เธอปฏิเสธตามตรง
“อ้าว แย่เลยลูก พ่อคุณอยากกินข้าวผัดกุ้งแต่แม่ครัวคนเก่งไม่เข้าครัวซะแล้ว” ดาริกาหัวเราะเบาๆ
“แต่อิงเห็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำในโรงอาหารโรงพยาบาลน่ากินมากเลยนะคะ” เธอพูดพลางหรี่ตามองเขา
“เรากินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้หรือเปล่าคะ”
ภีมวัชเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
“อืม...” เขาไม่มีคำพูดอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อย
อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เสแสร้งเข้าครัวเพื่อเอาใจ เธอมีความคิดของตัวเอง พูดตรง ไม่จงใจทำดีกลบความผิด
และที่สำคัญ เธออยากนั่งกินข้าวกับเขา แม้จะไม่พูดหวาน แต่ก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังง้อเขาอยู่กลายๆ
“จริงสิคะ ได้ยินข่าวว่าเตชินป่วยเกี่ยวกับโรคทางสมอง พี่ภีมรับผิดชอบเคสนี้ไหมคะ”
“อืม ทำไมเหรอ”
“อิงชอบเตชินค่ะ อยากได้รูปเขาสักใบพร้อมลายเซ็น”
“สมัยนี้ยังมีคนล่าลายเซ็นดาราอยู่อีกเหรอ” เขาส่ายหน้าเหมือนว่าไม่อยากรับปาก
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่ได้อยู่แล้ว เป็นแฟนพี่จะไปขอรูปกับลายเซ็นผู้ชายคนอื่นได้ยังไง” ประโยคนั้นทำเอาดาริกายิ้มแก้มปริ ในขณะที่อิงลดาถือช้อนค้าง เธอไปเป็นแฟนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ที่ห้องตรวจเฉพาะทางเกี่ยวกับสมอง
ภีมวัชเปิดแฟ้มผลสแกนสมองของเตชิน นักแสดงชายชื่อดัง ด้านหน้าคือภาพ MRI ที่แสดงถึงความผิดปกติบริเวณสมองส่วนหน้า ที่เริ่มส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และการเคลื่อนไหวของใบหน้า
“เนื้องอกเริ่มกดทับเส้นประสาทหลัก ถ้าไม่ผ่าตัดอาจกลายเป็นอัมพาต หรือแย่กว่านั้นคือหมดสติแบบไม่ฟื้นครับ”
เตชินนิ่ง สีหน้าเรียบ มารดาของเขาที่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วสนตัวนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าเครียดจัด ริมฝีปากเม้มแน่น
“แล้วหลังผ่าตัด...เขาจะกลับมาเล่นละครได้ไหมคะ” เธอถามเสียงแข็ง
ภีมวัชมองตรง เสียงนิ่งแต่ชัดเจน “หมอไม่สามารถรับรองได้ 100% ครับ การผ่าตัดสมองมีความเสี่ยง แม้จะใช้เทคโนโลยีล่าสุดก็ตาม อาจมีผลต่อความจำหรืออารมณ์”
“ไม่ได้! ลูกฉันเป็นดารา! ถ้าผ่าตัดแล้วพูดไม่ชัด หรือแสดงไม่ได้อีก ใครจะจ้างเขา! แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนใช้กันล่ะ”
บรรยากาศในห้องอึดอัดทันตา เตชินก้มหน้าลง ราวกับคำพูดมารดาทิ่มแทงมากกว่าผลสแกนสมอง
ภีมวัชวางปากกาลง เสียงเขาเย็นจัด
“ระหว่างชีวิตลูกกับเงิน...คุณแม่จะเลือกเงินเหรอครับ”
หญิงวัยกลางคนสะอึก คำพูดนั้นเหมือนกระแทกกลางอก แต่ก่อนที่เธอจะโต้ตอบ เตชินก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“แม่พอเถอะ…” เขาเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอ
“ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมปวดหัวทุกวัน ผมนอนไม่หลับ ผมฝืนยิ้ม ฝืนซ้อมบท ทั้งที่บางทีผมยังยืนไม่ไหวด้วยซ้ำ” เขาสูดหายใจ แล้วตั้งสติก่อนจะพูดต่อ
“ที่ผมป่วยเพราะผมทำงานเยอะเกินไป ทั้งที่หมอบอกให้พัก ผมไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว ต่อให้หาย ผมก็จะไม่กลับไปแสดงอีก”
“เตชิน...” มารดาของเขาชะงัก น้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว
“ผมแค่อยากอยู่ต่อ แบบที่ยังมีแรงลุกขึ้นมาใช้ชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง ไม่ใช่เพื่อใคร ไม่ใช่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว”
ภีมวัชมองดูทั้งสองเงียบๆ ก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวลลง
“เราสามารถนัดวันผ่าตัดได้ทันทีครับ ถ้าคนไข้ยืนยัน”
แม่ของเตชินหันมาหมุนแหวนในมือ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อย่างจำยอม
“ฉัน...ขอโทษค่ะหมอ ฉันแค่กลัวเสียทุกอย่างไป แต่ฉันไม่ควรลืมว่าลูกฉันคือคน ไม่ใช่เครื่องจักรหาเงิน”
ภีมวัชพยักหน้า “คุณแม่ไม่ผิดครับ แค่ต้องจำไว้ว่าเงินหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ชีวิตเรา มีแค่ครั้งเดียว”
หลังจากทั้งสองเดินออกจากห้องไป ภีมวัชถอนหายใจเงียบๆ
“บางที คนเราก็ลืมไปว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือกำไรแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ
************************
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ตามด้วยเสียงของเจ้าของบ้าน“อิง เปิดหน่อย”อิงลดาหรี่ตามองนาฬิกา “ดึกแล้วนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”“ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อย” เขาตอบกลับมาเธอถอนหายใจ ก่อนจะลุกไปเปิดประตู แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต“นี่! ห้องอิงนะ พี่ภีมจะทำอะไร”“เงียบก่อน” เขาปิดประตูแล้วหันกลับมา สายตาคมนิ่งจ้องมาที่เธออย่างหนักแน่น“พี่มาพิสูจน์”“พิสูจน์อะไรคะ” เธองุนงง ก่อนจะนึกได้ว่าคำพูดเมื่อตอนกลางวันของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร หญิงสาวเบิกตากว้าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว“ว่าพี่ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจผิด” พูดยังไม่ทันจบ ภีมวัชก็คว้าแขนเธอดึงเข้าหาตัว แรงกระชากทำให้เธอเซเล็กน้อย ใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะแก้มเมื่อใบหน้าของเขากำลังจะโน้มลงหา เธอก็จ้องตาไม่กะพริบแล้วเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เขาจูบ แต่เมื่อรมิฝีปากคลอเคลียใกล้ๆ ลมหายใจรดรินกันเธอก็ตัดสินใจที่จะต่อต้าน
ขณะที่นายแพทย์หนุ่มนั่งกับอิงลดา และเอาใจเธอ ทั้งไปสั่งอาหารให้ และเดินไปซื้อเครื่องดื่มให้โต๊ะอีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร ณัชชานั่งมองภาพตรงหน้านั้น มือหนึ่งถือช้อน อีกมือกุมตะเกียบไว้แน่น“หมอภีมเป็นอะไรของเขา วันนี้อ่อนโยนผิดปกติ แบบนี้เรียกคลั่งรักใช่ไหมคะ” หมอนุ่นกล่าวแล้วยิ้มมองภาพเพื่อนร่วมงานที่ดูต่างออกไปจากปกติ เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งณัชชาที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง เขาก็ยังไม่เคยมีมุมอ่อนโยนแบบนี้ให้เธอ“ไม่เคยเห็นยกข้าวยกน้ำให้ใคร ขนาดหมอนัทที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่เคยเดินไปซื้อน้ำมาให้”“หมอธนินทร์พูดถูก สงสัยผู้หญิงคนนั้นคือตัวจริงล่ะมั้ง หมอภีมถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้” หมอปุณณ์หัวเราะอย่างชอบใจณัชชาก้มหน้ากินอาหารคำต่อไปเหมือนเคี้ยวยากผิดปกติ ในหูเธอยังได้ยินเสียงพยาบาลโต๊ะข้างๆ กำลังเม้าท์ต่อ“ผู้หญิงคนนั้นน่ารักนะ สดใสเป็นธรรมชาติดี”“ใช่ ฉันเห็นตอนเธอมาส่งข้าวให้หมอภีมครั้งก่อน หมอภีมยิ้มอะปกติก็ไม่เคยเห็นยิ้มเลยสัก
ที่ห้องพักแพทย์ แพทย์หญิงณัชชาเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ“หมอภีม เที่ยงนี้ลงไปกินข้าวด้วยกันนะ หมอธนินทร์ หมอนุ่น แล้วก็หมอปุณณ์จะไปด้วย นัดกันไว้แล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับแพทย์อีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน“อืม ลงไปพร้อมกันก็ได้” เขาพยักหน้ารับณัชชาแย้มยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมอาชีพ แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกันเมื่อถึงชั้นโรงอาหาร ภีมวัชเดินนำมาเล็กน้อย พอเลี้ยวผ่านโซนเสาใหญ่ เขาก็ยิ้มกริ่มที่โต๊ะตัวเดิม อิงลดานั่งรออยู่ในชุดเรียบง่าย สีหน้านิ่งแต่สายตาเป็นประกายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา“เดี๋ยวผมขอแยกไปตรงนั้นนะ” ภีมวัชพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเบนทิศทางจากกลุ่มแพทย์ไปยังโต๊ะของอิงลดา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยณัชชาชะงัก สีหน้ายิ้มที่เคยแต่งไว้เริ่มคลายลง“เอ๊ะ…นั่นหรือเปล่าผู้หญิงที่พยาบาลลือกันอยู่ช่วงนี้” หมอนุ่นหันมาถาม “ใช่ๆ เขาว่ากันว่าเย็นชากับทุกคน แต่อ่อนโยนกับผู้หญิงคนนี้แค่คนเดียว” หมอธนินทร์เสริมณัชชาเงียบ ไม่พูดอะไร เธอแค่มองตามแผ่นหลังของภีมวัชที่กำลังเดินไปนั่งข้างหญิงสาวคนนั้น มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงกลางฝ่ามือแต่ก่อนที่เธ
เช้าวันต่อมา ภีมวัชเดินลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนใคร สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยบ่งบอกว่าจิตใจไม่ได้สงบเท่าไรดาริกาทักว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม เขาเพียงพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำเปล่าอิงลดาเดินลงมาช้าๆ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ กับกางเกงผ้าเนื้อดี ดูคล่องตัวแต่เรียบร้อย พอเห็นว่าภีมวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยิ้มบางๆ“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ภีม” หญิงสาวจงใจเน้นเสียงอย่างยียวนเขาเหลือบตามอง ตอบกลับเสียงเรียบและสีหน้าไม่เปลี่ยน“เที่ยงนี้พี่อยากกินข้าวผัดกุ้ง”อิงลดาเลิกคิ้ว เพิ่งจะเช้าเขาก็ถามหาอาหารเที่ยงแล้ว“ค่ะ เด่ยวบอกป้าสมรให้”“พี่อยากกินฝีมืออิง”“วันนี้ไม่อยากเข้าครัวค่ะ” เธอปฏิเสธตามตรง“อ้าว แย่เลยลูก พ่อคุณอยากกินข้าวผัดกุ้งแต่แม่ครัวคนเก่งไม่เข้าครัวซะแล้ว” ดาริกาหัวเราะเบาๆ“แต่อิงเห็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำในโรงอาหารโรงพยาบาลน่ากินมากเลยนะคะ” เธอพูดพลางหรี่ตามองเขา“เรากินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้หรือเปล่าคะ”ภีมวัชเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ“อืม...” เขาไม่มีคำพูดอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อยอย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เสแสร้งเข้าค