Mag-log inในวันที่สดใสกับช่วงสายๆ ในวันนั้น
เสียงฮัมเพลงแผ่วเบาที่ลอยมาตามลม ดึงให้เอกที่กำลังทำงานอย่างเคร่งเครียดต้องเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ เขาเดินตามเสียงนั้นไปอย่างไม่รีบร้อนและหยุดอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้โลกของเขาหยุดหมุนไปชั่วขณะ ที่กระท่อมน้อยริมน้ำ ฝนกำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์ เท้าหย่อนลงในบึงน้ำใส ปลายเท้าสร้างระลอกคลื่นเล็กๆ ที่แผ่ออกไป เธอจดจ่ออยู่กับสมุดภาพในมือ แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบเส้นผม ทำให้เธอเหมือนนางฟ้าตัวเล็กที่กำลังร่ายมนตร์ให้ทุกสิ่งรอบกายมีชีวิตชีวา เอกยืนมองภาพนั้นอย่างไม่วางตา ราวกับต้องมนตร์สะกด เป็นภาพที่สวยงามและอบอุ่นใจที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เขาไม่กล้าเข้าไปทัก กลัวว่าภาพความสุขตรงหน้าจะเลือนหายไป เพียงแค่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ ขณะที่เอกกำลังจะเดินกลับ เสียงกิ่งไม้ดัง 'แก๊ก!' ทำให้เขาสะดุ้ง แต่ฝนไม่ได้ยินเพราะใส่หูฟัง เอกถอนหายใจโล่งอก ขณะที่เอกหันหลังเตรียมเดินกลับบ้านพัก แต่ทันใดนั้น.. 'ต๊ามมมม' ฝนตกน้ำเพราะพยายามจะเอื้อมไปคว้ากระดาษที่ติดอยู่บนใบบัว จากแรงทำให้กระดาษเธอปลิวไป เอกที่อยู่ไม่ไกลในตอนนั้น รีบวิ่งเตรียมมาจะกระโดดลงไปช่วย แต่ภาพตรงหน้าคือฝนโผล่ขึ้นมาจากน้ำพร้อมปลาช่อนตัวใหญ่ในมือ แล้วหัวเราะเสียงดัง "ฮ่าๆๆ นางเอ้ยปลาคอใหญ่มาฮอดแล้ว!" (น้องสาวปลาช่อนตัวใหญ่มาถึงแล้ว) เอกชะงักด้วยความตกใจ ส่วนฝนก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นชายร่างใหญ่ยืนอยู่ใกล้ๆ พื้นที่ส่วนตัวของเธอ จนเผลอทำปลาหลุดมือไป ฝนก็โวยวายทันที "ใครอนุญาตให้เข้ามา! รู้ไหมที่นี่คนนอกห้ามเข้า! " เอกเงียบไม่ตอบเพราะกลัวความลับแตกที่แอบมอง ฝนยิ่งได้ใจ ตะโกนด่าไม่หยุด "อย่าบอกนะว่าจะมาใช้พื้นที่ส่วนตัว! ห้ามแม้แต่จะคิด!" ขณะที่เอกกำลังจะหันหลังกลับ เสียงแหลมๆ ก็เรียกขึ้นอีกครั้ง ... "นี่ลุง!"... ในขณะที่เอกกำลังหันกลับมา'ป๊าบบบบ ! '.... ก้อนโคลนพุ่งเข้าใส่หน้าเอกเต็มๆ เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะถอดแว่นออก เช็ดหน้า และเท้าสะเอวด้วยความโมโห "เด็กบ้า! พูดดีด้วยแล้วเอาใหญ่เลยนะ! เดี๋ยวพี่จะไปบอกพ่อเรานะ ทำตัวแบบนี้" "เชิญเลย! ไปบอกเลยไม่กลัวหรอก!" ฝนสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เอกหันหลังเตรียมเดินกลับไปบ้านพัก แต่ก็มีเสียง "ลุงช่วยหนูด้วย!" เอกไม่ได้หันกลับไปเพียงแค่ตอบกลับไปว่า "จะมาไม้ไหนอีกล่ะ" มุกนี้มีแต่ในละครนะ แต่เอกก็ต้องชะงักเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากฝน เขาหันกลับไปก็ไม่เห็นเธออยู่ในบึงน้ำ เอกเริ่มใจไม่ดี ตะโกนเรียกไปหลายรอบแต่ไม่มีเสียงตอบรับ " ฝน! ฝน! ยัยตัวแสบ! " " อย่าเล่นแบบนี้! " ออกมานะ! " เขารีบกระโดดลงไปในน้ำ พยายามงมหาอย่างร้อนรน ในใจเขานึกตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมหันกลับมาดู ทันใดนั้น เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังขึ้น ฝนโผล่ขึ้นมาจากใบบัว หัวเราะกับการกระทำของเขา เอกโมโหสุดขีด "เล่นบ้าอะไร! โตแล้วไม่ใช่เด็กนะ!" ขณะที่เขาเตรียมจะปีนขึ้นจากบึง เสียงฝนก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ลุง!" ฝนทำท่าเหมือนกำลังจะจมน้ำ ใบหน้าซีดเผือดเริ่มมีสีเขียวจาง ๆ เอกยืนมองด้วยความไม่เชื่อ ปล่อยให้ร่างเล็กดำผุดดำดำโผล่ ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำอยู่นานราวกับจะจมหายไปจริง ๆ จู่ ๆ เอกก็เอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเธอ แล้วออกแรงยกร่างเล็กขึ้นมาจากน้ำอย่างแรง ราวกับหิ้วของบางอย่าง ทันทีที่พ้นจากผิวน้ำ ฝนก็รีบตะเกียกตะกาย เอื้อมมือเล็ก ๆ โอบรอบคอเอกไว้แน่นด้วยความตกใจและสำลักน้ำ ใบหน้าของเธอแดงก่ำจากความกลัวและจากน้ำที่สำลักเข้าไป เอกรีบคว้าเอวบางของเธอและลากขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นเองที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง เอกมองฝนที่กำลังหอบหายใจอย่างถี่ ๆ และตัวสั่นเทา ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความซุกซนตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความกลัวจนน้ำตาเอ่อล้น แขนเรียวเล็กที่โอบรอบคอเขาไว้แน่นจนเขาสัมผัสได้ถึงความสั่นเทาของเธออย่างชัดเจน ร่างกายของเธอที่แนบชิดติดกับเขาในตอนนี้ช่างดูบอบบางเหลือเกิน ราวกับเด็กน้อยที่กำลังหวาดกลัวอย่างที่สุด ใบหน้าที่เปียกชื้น น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และท่าทางที่เกาะเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ทำให้ความรู้สึกที่เคยมีต่อเธอในฐานะเด็กกวน ๆ ค่อย ๆ จางหายไป เอกก้มลงมองฝนอย่างไม่วางตา หัวใจที่เคยเยือกเย็นของเขากำลังเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด เขาไม่เคยเห็นฝนในมุมที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อน นี่คือเด็กสาวที่เคยต่อล้อต่อเถียงเขาอย่างไม่ยอมแพ้ และฉลาดเป็นกรด แต่ตอนนี้เธอกลับตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของเขา ใบหน้าของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงมาใกล้ใบหน้าของเธอ และจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาคู่นั้นอย่างลึกซึ้ง ในวินาทีที่ความเงียบเข้าครอบงำ มีเพียงเสียงน้ำที่หยดจากปลายผมของเธอและเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงดูดเข้าไปในโลกของเธออย่างไม่อาจต้านทานได้อีกแล้ว แต่ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น... "ใจร้าย! เห็นคนจะจมน้ำยังทำเป็นเฉยได้ไง!" ฝนบ่นไม่หยุด เอกปรับอารมณ์ในทันทีและเห็นว่าเธอเป็นตะคริวจริงๆ จึงจับเท้าของเธอมานวดเบาๆ "นี่แหละเขาเรียกว่าคนบาป กรรมตามสนอง!" เอกพูดเสียงต่ำ ฝนน้ำตาซึมด้วยความตกใจที่คิดว่าตัวเองจะจมน้ำตาย เอกเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าเรียวเล็กที่น้ำตาไหลอาบแก้ม เขานิ่งไปก่อนจะเอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เธอ แต่ฝนกลับร้องเสียงดัง! "โอ๊ยลุง…!!! มือจับเท้าอยู่ดีๆ จะมาจับหน้าทำไม!" เอกทำหน้าเซ็งๆ และลุกขึ้น ฝนยังคงนั่งอยู่ริมบึงกับเนื้อตัวที่เปียกโชก เอกหันกลับมามอง "ทำไมไม่ลุกล่ะ จะมาไม้ไหนอีก?" "ลุกไม่ไหว มันปวดขาแล้วก็เจ็บเท้า" ฝนตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เอกเข้าใจในทันทีว่าอาการตะคริวน่าจะมาจากการแช่น้ำนานๆ "สงสัยไปเขย่งเท้าหลบอยู่แถวใบบัว เกร็งนานล่ะสิท่า นี่แหละคนบาป" แต่เขาก็ยังสงสารและเดินกลับไป โน้้มตัวอุ้มเธอขึ้นมาอย่างง่ายดายราวกับปุยนุ่น ฝนเงยหน้ามองเอกที่ไม่ได้สวมแว่น แล้วคิดในใจ 'ตาสวยจัง หน้าหล่อด้วย ยิ่งตอนเปียกน้ำยิ่งดูเซ็กซี่' เธอรีบส่ายหน้าไล่ความคิดบ้าๆ ออกไป "จะไปไหน? " ฝนถามเสียงเบา "ก็จะไปส่งที่บ้านไง" "ไม่ต้อง ไปที่กระท่อมนี้ก็พอ" เอกอุ้มฝนเดินมาแล้ววางฝนลงที่หน้ากระท่อม "แน่ใจนะ? " "แน่ใจสิ ที่นี่มันถิ่นของหนูนะ" เธอบอกพร้อมกับค่อยๆ เขย่งตัวเข้าไปในกระท่อม เอกหันหลังเดินจากไป ฝนที่มองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขาเผลอคิดในใจ 'คนคนนี้ทำไมดูดีจัง อายุ 35 จริงๆ เหรอ?' เมื่อเอกกลับถึงบ้านพักและจัดการตัวเองเรียบร้อย เขาก็นึกขึ้นได้ว่าลืมแว่นไว้ริมบึง เมื่อเปิดประตูบ้านออกมาก็พบกับฝนที่ยืนถือแว่นรออยู่ "อ่ะนี่แว่นคุณ คุณลืมทิ้งไว้" ฝนยื่นแว่นให้ "ว่าแต่คุณสายตาสั้นเหรอ?" "ก็ไม่ใส่ก็ได้ แต่ส่วนมากจะใส่เวลาทำงาน มันไม่ล้าสายตาและกรองแสงถนอมสายตา" "อ้อ.. คนแก่ก็แบบนี้แหละต้องดูแลหน่อย เข้าใจๆ" ฝนพูดอย่างอารมณ์ดี เอกถอนหายใจกับคำว่า "คนแก่" ของฝน แล้วเขาก็เริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใย "หนูขอบคุณคุณนะ ที่ยังมีมนุษยธรรมช่วยหนูไว้..." "ไม่มีใครปล่อยให้คนจะจมน้ำตายต่อหน้าต่อตาหรอก ถ้าไม่เป็นเด็กเลี้ยงแกะก็คงไม่เป็นแบบนี้ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก คนอื่นเขาตกใจ... " คำพูดของเอกทำให้ฝนรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยนจากพ่อที่เคยมีให้เมื่อตอนเธอยังเป็นเด็ก เธอรู้สึกใจฟูขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ขณะที่เธอกำลังนิ่งงันอยู่กับความคิดนั้น เธอก็รีบสะบัดความคิดออกไปทันที...ที่บ้านของฝน ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็น ฝนกำลังเช็ดถูรถคันโปรดอย่างประณีต พ่อเดินเข้ามาและเริ่มบทสนทนาที่จริงจัง " ฝน... ตั้งแต่หนูเรียนจบมา คิดไว้รึยัง ว่าอยากทำงานใกล้บ้านหรืออยากเข้าไปในเมือง?" คำถามของพ่อทำให้ฝนคิดหนัก เพราะตลอด 4 ปีที่ไปเรียนในเมือง เธอรู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด "ไม่อยากไปในเมืองเท่าไหร่ค่ะพ่อ อยู่ที่นี่ฝนสบายใจกว่า" พ่อถามต่อด้วยความห่วงใยว่า "แล้วหนูไม่เหงาเหรอ เพื่อน ๆ เขาก็ไปทำงานที่อื่นกันหมด" ฝนตอบตามตรงว่า "ก็มีบ้างค่ะ ถ้าพี่หมออยู่ก็คงจะดี" พ่อพูดเตือนสติฝนอย่างอ่อนโยนว่า " มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกลูก ทุกคนต่างเติบโตและมีเส้นทางของตัวเอง" ก่อนจะแซวลูกสาวว่า "มีแต่ฝนนี่แหละที่ชอบอยู่กับไร่กับสวน" ทำให้ฝนแอบน้อยใจ พลางถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน "ทำไมเราต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยคะ" พ่ออธิบายอย่างใจเย็นว่านี่คือทางเลือกของครอบครัว แต่ฝนก็อดสารภาพไม่ได้ว่า "เมื่อก่อนหนูยอมรับว่าหนูเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับแม่กับพี่ แต่ตอนนี้หนูเข้าใจแล้ว หนูรู้ว่าพ่อรักหนู พ่อพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้หนูรู้สึกขาด" บทสนทนาดำเนินต่อไปถึงเรื่องของ พี่ทิพย์ ลูกสาวของ แม่แวว ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของฝน พ่อบอกว่า "แม่แววได้คุยกับหนูหรือยังเรื่องพี่ทิพย์ เขาจะกลับมา" ฝนตอบว่าแม่แววยังไม่ได้เล่าอะไร พ่อจึงขอให้ฝนพยายามเข้าใจพี่สาว "พ่ออยากให้ลูก ๆ ของพ่อรักและเข้าใจกันนะ" ฝนตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า "หนูไม่ได้อะไรนี่คะพ่อ พี่ต่างหากที่ดูเหมือนจะไม่ต้อนรับหนู" พ่อปลอบโยนว่า "ช่วงแรก ๆ ทุกคนก็คงปรับตัวไม่ได้ แต่พี่เขาก็เข้าใจนะลูก ถ้าจะเป็นคนผิดก็ให้ผิดที่พ่อ" ฝนรีบบอกพ่อว่าไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะเธอเองก็เข้าใจดีว่าแม่แววพยายามอย่างมากที่จะทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่แยกจากแม่ บทสนทนาจบลงตรงที่พ่อขอร้องให้ฝนทำตัวน่ารักกับพี่ทิพย์เมื่อกลับมา ฝนรับปากอย่างไม่มั่นใจว่า "หนูจะพยายามค่ะพ่อ ถ้าพี่เขายังเห็นหนูเป็นน้อง" หลังจากฝนเดินเข้าบ้าน นพพลได้คุยกับแววพี่พึ่งเดินมานั่งหลังจากฝนเดินออกไป ถึงความกังวลในใจ "ผมไม่อยากให้พี่น้องเขามีเรื่องเคืองกัน นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีความสุขได้ ถ้าพี่น้องเขารักกัน ดูแลกัน ในวันที่ผมไม่อยู่" แววปลอบใจสามีอย่างอบอุ่น "อย่าพูดแบบนั้นสิคะคุณ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ขนาดฉันยังให้อภัยคุณได้ คุณก็ต้องให้อภัยตัวเองนะคะ"นพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







