หลิวชิงซวี่หยุดฝีเท้า หันกลับมาเสยผมหน้าม้า เชิดหน้าขึ้นใช้สองตามองเพดานอย่างเหยียดหยาม แล้วเอ่ยอย่างถือดีว่า “ได้ยินว่าอ๋องเจินมีดวงกินคนรอบข้าง กินลูกกินเมีย ส่วนข้าในฐานะหญิงเก่งยุคใหม่แห่งโลกใบนี้ ผู้มีความสามารถรอบด้านทั้งคุณธรรม ปัญญา พลานามัย และสุนทรียภาพ รู้แจ้งทั้งดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ เชี่ยวชาญทั้งบู๊และบุ๋น เป็นสตรีเลิศล้ำที่เหลือเพียงแค่ขึ้นไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับดวงอาทิตย์บนฟ้าเท่านั้น บุรุษมีแต่จะทำให้สติปัญญาข้าต่ำลงและขัดขวางความเร็วในการหาเงินของข้า จะให้ข้าเอาชีวิตไปผูกไว้กับบุรุษคนหนึ่ง...” นางมองตรงไปที่เจียงจิ่ว มุมปากยกยิ้ม “เจ้าว่าข้าต้องคิดสั้นขนาดไหนกัน?”
“... ?!” เจียงจิ่วมองนางตาค้างราวกับไก่ไม้
นางพูดภาษาผีบ้าอะไรเนี่ย?!
ไม่ใช่แค่เขา แต่อวี๋ฮุยกับเยี่ยนซื่อหยวนก็จ้องนางตาค้างราวกับเห็นสัตว์ประหลาด โดยเฉพาะเยี่ยนซื่อหยวน สองมือที่วางบนตักกำหมัดแน่น ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนราวกับถูกสาดด้วยน้ำหมึก
แต่งงานกับเขาเรียกว่าคิดสั้น...
นางเป็นสตรีเลิศล้ำหาใครเปรียบ...
นั่นไม่เท่ากับด่าทางอ้อมว่าเขาเป็นคนไร้ค่าหาดีไม่ได้หรอกหรือ?!
เขาใช้ชีวิตมาตลอดยี่สิบสามปี ยังไม่เคยเห็นสตรีคนไหนหน้าด้านหน้าทนถึงขนาดชมตัวเองเสียเลิศเลอเทียมฟ้าขนาดนี้!
รู้สึกได้ถึงรังสีสังหารพุ่งเข้าใส่ หลิวชิงซวี่หันมองตามที่มาของรังสีนั้น ถึงได้เห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าย่ำแย่สุดขีด
“นายท่านซื่อ เป็นอะไรไป? โดนพิษหรือ?”
“แค่ก ๆ!” เจียงจิ่วได้สติ เกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย เห็นท่านอ๋องของตนโกรธจนแทบจะฆ่าคนได้ เขาจึงไอโขลกพลางยิ้มอธิบายแก้ต่าง “คุณหนูหลิว... อาจจะ... อาจจะเป็นเพราะยาที่นายท่านซื่อกินเมื่อครู่ขมเกินไป ตอนนี้เลยคลื่นไส้น่ะขอรับ”
หลิวชิงซวี่ล้วงพุทราเขียวสองลูกออกมาจากอกเสื้อ ยื่นส่งให้เยี่ยนซื่อหยวน “เอาไปกินล้างปากแก้ขมเสียสิ”
เยี่ยนซื่อหยวนกำหมัดแน่น สายตาคมกริบจ้องถลึงใส่นาง ไม่มีท่าทีจะรับแม้แต่น้อย เจียงจิ่วรีบรับพุทราเขียวไว้ พลางขยับตัวบังหน้าเยี่ยนซื่อหยวนอย่างแนบเนียนเพื่อตัดรังสีสังหาร ยิ้มตาหยีให้หลิวชิงซวี่แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณคุณหนูหลิวขอรับ ท่านช่างใส่ใจจริง ๆ”
หลิวชิงซวี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ข้าไม่รู้ว่าแผลของนายท่านซื่อต้องรักษานานแค่ไหน ถ้าวันไหนข้าหนีไปแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องตามหาข้าหรอกนะ รักษาแผลให้นายท่านซื่อหายดีก่อน เรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากัน”
“คุณหนูหลิว ท่านจะไปไหน พวกเราก็จะตามท่านไปขอรับ แผลของนายท่านซื่อแม้จะไม่หายในเร็ววัน แต่มีข้ากับอวี๋ฮุยคอยดูแล ไม่เป็นไรหรอกขอรับ” เจียงจิ่วรีบแสดงเจตจำนง ในเมื่อนางรับปากการสู่ขอจากท่านอ๋องแล้ว ขืนหนีไปดื้อ ๆ ท่านอ๋องมิต้องถูกคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะตายหรือ?!
“จะไปไหนยังไม่แน่ชัด ดูสถานการณ์ก่อน” หลิวชิงซวี่ยิ้มบาง ๆ แล้วโบกมือให้พวกเขา “เอาล่ะ ข้ากลับก่อนนะ”
จุดประสงค์ที่นางมาที่นี่ก็เพื่อบอกกล่าวล่วงหน้าว่านางอาจจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงตอนนั้นถ้านางหายตัวไป หวังว่าพวกเขาจะไม่ออกอาการตื่นตูม
ส่วนข้อตกลงระหว่างนางกับนายท่านซื่อ ตอนนี้นางไม่มีกะจิตกะใจจะคำนึงถึงแล้ว
พอนางจากไป อวี๋ฮุยก็อดบ่นพึมพำไม่ได้ “คุณหนูหลิวผู้นี้ช่างไม่เห็นหัวใครจริง ๆ ถึงกล้าพูดว่าท่านอ๋องไม่คู่ควรกับนาง! เคยเห็นแต่คนหลงตัวเอง แต่ไม่เคยเห็นใครหลงตัวเองได้ขนาดนางมาก่อนเลย!”
เจียงจิ่วกลอกตามองเขา ก่อนจะนั่งลงข้างกายเยี่ยนซื่อหยวน เอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ท่านอ๋อง อย่าทรงเก็บมาใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ ยังไงคุณหนูหลิวก็ไม่รู้ฐานะของท่าน จะมีอคติกับท่านบ้างก็พอเข้าใจได้”
เยี่ยนซื่อหยวนยังคงทำหน้าดำทะมึน กัดฟันเค้นเสียงรอดไรฟัน “จับตาดูนางให้ดี!”
หาว่าของเขาเล็ก!
รังเกียจว่าเขาไม่คู่ควรกับนาง!
เจ้าคนสมควรตายนี่ รอให้เขาหายดีเมื่อไหร่ คอยดูเถอะเขาจะบีบคอนางให้ตายคามือ!
เจียงจิ่วรู้ดีว่าเขาโกรธจริง เพื่อรักษาชีวิตน้อย ๆ จึงขยิบตาให้อวี๋ฮุย “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋อง ข้าจะไปจับตาดูคุณหนูหลิวเอง”
อวี๋ฮุยหนังศีรษะชาวาบ แอบชำเลืองมองท่านอ๋องของตน แล้วรีบแย่งจะออกไป “เจ้าอยู่กับท่านอ๋องเถอะ ข้าไปหาคุณหนูหลิวเอง!”
ทว่าเจียงจิ่วไวกว่าเขา แวบเดียวก็พุ่งออกจากเรือนรับรอง พร้อมปิดประตูปิดตามหลัง
‘ปัง’!
อวี๋ฮุยหน้าดำคล้ำมองบานประตู เหงื่อตกเป็นสาย
เขาหันกลับมาหัวเราะ ‘แหะๆ’ “ท่านอ๋อง ท่านพักผ่อนก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปต้มยาให้ท่าน”
พูดจบ เขาก็เปิดประตู แล้วพุ่งตัวหายวับออกไปอย่างรวดเร็ว
......
ในเรือนรับรองข้าง ๆ
หลิวชิงซวี่กำลังจะขึ้นเตียงงีบหลับ จู่ ๆ เสี่ยวหวงอิงก็มาเรียกที่หน้าประตู
“มีเรื่องอะไร?” นางเปิดประตูถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“คุณหนูใหญ่ มีคนอ้างชื่อไต้ฟางจื้อมาขอพบท่านที่หน้าวัดเจ้าค่ะ” เสี่ยวหวงอิงรายงานอย่างนอบน้อม
หลิวชิงซวี่ขมวดคิ้วเรียว ในแววตาฉายความสงสัย
เขาไม่สอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษา มาที่วัดทำไม?
“เชิญเขาเข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นาน ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในเรือนรับรองของนางด้วยความร้อนรน
หลิวชิงซวี่รีบไล่เสี่ยวหวงอิงออกไป แล้วปิดประตูถามทันที “อาจารย์ไม่สอนหนังสือที่สำนัก ทำไมถึงวิ่งมาที่นี่?”
“คุณหนูหลิว เสี่ยวอันพวกนั้นหายตัวไปขอรับ!” ไต้ฟางจื้อทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น ร้องบอกด้วยความร้อนใจ
“หา?” หลิวชิงซวี่สีหน้าตื่นตระหนก
“เมื่อวานเสี่ยวอันหายไป ข้านึกว่าเขาแค่ห่วงเล่นเลยหนีออกไปเที่ยว แต่เช้านี้ก็ยังไม่เห็นกลับมา ข้ากำลังจะให้คนออกไปตามหา แล้วก็พบว่าเสี่ยวชงกับไห่โย่วก็หายไปเหมือนกัน ถามเด็กคนอื่น ก็บอกว่าเมื่อคืนเสี่ยวชงกับไห่โย่วนอนข้างกัน ไม่มีใครรู้ว่าสองคนนั้นหายไปตอนไหน อีกอย่าง ข้ายังเจอรองเท้าของเสี่ยวชงตกอยู่แถวนั้นด้วย” ไต้ฟางจื้อพูดเสียงสะอื้น พลางล้วงรองเท้าผ้าสีดำข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วพูดต่อ “ข้าไปแจ้งทางการ คนของทางการบอกว่าพวกเขาเป็นแค่พวกคนจรจัด ตามหาไม่ได้ ข้าหมดหนทางจริง ๆ เลยต้องมาหาท่าน”
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?” หลิวชิงซวี่หน้าเครียด รีบวิ่งออกไปทันที “อาจารย์ไต้ ตามข้ากลับเข้าเมืองไปดูหน่อย!”
นางมีโรงเรียนเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าสำนักศึกษาเสี้ยวเสี้ยว
ในสำนักศึกษามีเด็กทั้งหมดแปดคน ไม่เป็นเด็กกำพร้าไร้บ้าน ก็เป็นขอทานน้อยข้างถนน หรือแม้แต่เด็กที่ขายตัวฝังศพแม่ วันนั้นนางบังเอิญไปเจอเข้า รู้สึกสะเทือนใจ จึงรวบรวมเด็กเหล่านี้มาไว้ด้วยกัน ซื้อเรือนเล็ก ๆ หลังหนึ่งให้พวกเขาอยู่อาศัย
ตอนนั้นนางอาศัยการทำธุรกิจกับบ่อน หาเงินได้เป็นพันตำลึงในคราวเดียว อารมณ์เลยฮึกเหิมไปหน่อย เลยนึกสนุกทุ่มเงินจ้างซิ่วไฉอย่างไต้ฟางจื้อมาเป็นอาจารย์ ปกติไต้ฟางจื้อจะรับผิดชอบสอนหนังสือเด็ก ๆ ส่วนภรรยาของเขาก็ดูแลเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้า
เพื่อเด็กเหล่านี้ นางใช้เวลาหลายวันรวบรวมบทกวีถัง ซ่ง หยวน และบทกลอนต่าง ๆ ที่นางท่องจำได้แม่นยำมาเรียบเรียงเป็นตำรา โหมงานโต้รุ่งติดต่อกันเป็นเดือนกว่าจะเปิดสำนักศึกษาเสี้ยวเสี้ยวขึ้นมาได้
ตอนนี้เด็กพวกนั้นหายตัวไป จะให้นางไม่ร้อนใจได้อย่างไร!
แต่ขณะที่นางกับไต้ฟางจื้อวิ่งออกมาจากวัด ก็ถูกคนขวางไว้ที่หน้าประตูใหญ่
“คุณหนูใหญ่โปรดหยุดก่อน”
คนที่ขวางพวกเขาคือองครักษ์ของจวนตระกูลหลิว ที่หลิวจิ่งอู่จงใจส่งมาเฝ้านาง
หลิวชิงซวี่เอ่ยเสียงเย็น “ข้ามีธุระด่วนต้องลงเขา”
องครักษ์กล่าวเสียงเคร่ง “คุณหนูใหญ่ หากไม่มีคำสั่งจากท่านแม่ทัพ ท่านออกไปจากวัดไม่ได้ขอรับ”
หลิวชิงซวี่ปรายตามองเขา แล้วก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าทันที
องครักษ์ทั้งสองเห็นดังนั้น ก็รีบยื่นมือเข้าขวาง
หลิวชิงซวี่ไม่หวั่นเกรง ใช้ทั้งมือและเท้าพร้อมกัน ปัดคนหนึ่งกระเด็น ถีบอีกคนล้มคว่ำ การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว หมดจดงดงาม
ไม่รอให้พวกเขาขวางอีก นางมองด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ข่มขู่ว่า “ข้าไม่อยากฆ่าใคร ไม่อยากตายก็ไสหัวไป!”
ปกติเวลาออกจากวัดนางจะไปตอนกลางคืน แถมยังใช้ทางลัด จึงไม่เคยปะทะกับองครักษ์พวกนี้ซึ่งหน้า แต่ตอนนี้นางรีบ ต่อให้ลงเขาทางถนนใหญ่เข้าเมืองยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ขืนไปทางลัดต้องเสียเวลาเพิ่มอีกเท่าตัว
นางไม่มีเวลาให้เสียมากขนาดนั้น
องครักษ์ทั้งสองมองนาง คาดไม่ถึงว่านางจะดุร้ายปานยักษ์มาร แววตาจึงฉายความตื่นตระหนก
“อาจารย์ไต้ ตามมา!” หลิวชิงซวี่เหลียวมองด้านหลัง แล้วออกวิ่งลงเขาไป
ในเรือนรับรอง
ฟังรายงานจากเจียงจิ่วจบ เยี่ยนซื่อหยวนก็ขมวดคิ้วเข้มมุ่น
หลายวันมานี้ การที่หลิวชิงซวี่ออกไปดึกกลับเช้าล้วนอยู่ในสายตาเขา เขาเคยหลอกถามนาง จนรู้ว่านางมีธุระปะปังข้างนอก
แต่ทำเรื่องอะไรกันแน่ เขาก็ไม่รู้รายละเอียด ทุกครั้งที่ถามนางมักจะเลี่ยงไม่ตอบ บอกแค่ว่ารอให้เขาหายดีก่อนแล้วจะพาไปทำด้วยกัน
ตอนนี้นางไม่สนการขัดขวางขององครักษ์จวนตระกูลหลิว ถึงขั้นยอมแหกกฎออกไปดึกกลับเช้าแล้วรีบร้อนลงเขา แสดงว่าต้องเกิดเรื่องสำคัญขึ้นแน่...
“เจียงจิ่ว เจ้ารีบลงเขาไป ตามนางไปให้ติด ยามจำเป็นให้ยื่นมือเข้าช่วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เจียงจิ่วไม่รีรอ รับคำแล้วรีบจากไปทันที
อวี๋ฮุยมองส่งเขาจนลับตา แล้วขมวดคิ้วถาม “ท่านอ๋อง คุณหนูหลิวทำตัวลึกลับซับซ้อน ท่านว่านางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”
เรื่องที่ท่านอ๋องของเขาชอบคุณหนูหลิวเขาไม่ออกความเห็น แต่พฤติกรรมของนางนี่สิที่ทำให้เขาข้องใจเหลือเกิน
ถึงยังไงนางก็เป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋ว ตามหลักควรจะเป็นกุลสตรีที่รู้ขนบธรรมเนียม เรียบร้อยอ่อนหวาน แต่เท่าที่สัมผัสมา เขาไม่เห็นความเป็นกุลสตรีในตัวนางเลยสักนิด กิริยาวาจาช่างแตกต่างจากสตรีในห้องหอทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
“อวี๋ฮุย ไปที่ห้องคุณหนูหลิว เก็บของนางมาให้หมด พวกเราจะตามกลับเข้าเมือง” เยี่ยนซื่อหยวนสั่งเสียงเข้ม
“ท่านอ๋อง ท่านจะกลับเข้าเมืองหรือ? แต่แผลท่านยังไม่หายดีเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!” อวี๋ฮุยมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย
“กำลังภายในยังต้องฟื้นฟู แต่อย่างอื่นไม่เป็นไร” เยี่ยนซื่อหยวนพูดพลางลุกจากเบาะรองนั่ง
เขาไม่รู้ว่าหลิวชิงซวี่ใช้ยาวิเศษอะไรกับเขา สรรพคุณรักษาบาดแผลดีเยี่ยมกว่ายาใด ๆ ที่เขาเคยใช้ เพียงไม่กี่วันแผลก็ตกสะเก็ดแล้ว ขอแค่ระวังหน่อย ดูจากภายนอกก็ดูไม่ออกว่าเขาบาดเจ็บ
อวี๋ฮุยเห็นเขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกลับเข้าเมือง ก็ไม่พูดอะไรอีก รีบไปจัดการที่ห้องข้าง ๆ ทันที
......
ในสำนักศึกษาเสี้ยวเสี้ยว เด็ก ๆ หลายคนกำลังท่องหนังสืออยู่ในห้องเรียน ชิวซื่อภรรยาของไต้ฟางจื้อคอยเฝ้าอยู่ ทุกอย่างเงียบสงบเป็นปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพื่อไม่ให้เด็ก ๆ ตื่นกลัว สองสามีภรรยาจึงบอกแค่ว่าเสี่ยวอัน เสี่ยวชง และไห่โย่วแอบหนีไปเที่ยวข้างนอก รอให้กลับมาจะลงโทษให้คัดหนังสือ
หลิวชิงซวี่แอบมองเด็กที่เหลือทั้งห้าคนจากนอกหน้าต่าง เทียบกับตอนที่เพิ่งรับมาอุปการะ ตอนนี้พวกเขาแต่งตัวสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย โยกหัวท่องกลอนถังอย่างตั้งใจ ดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียไม่มี
ทันใดนั้น นางก็หน้าเครียด ลอบออกจากห้องเรียน แล้วส่งสัญญาณให้ไต้ฟางจื้อออกไปคุยกันหน้าประตูใหญ่
“เสี่ยวอันกับอีกสองคน ข้าจะหาทางตามหาเอง ท่านกับพี่ชิวเฝ้าอยู่ที่นี่ ดูแลความปลอดภัยของเด็กคนอื่นให้ดี”
เด็กพวกนี้ล้วนเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง ที่นี่มีข้าวกิน มีที่อยู่ มีหนังสือให้อ่าน นางไม่เชื่อว่าพวกเขาจะหนีไปง่าย ๆ
พูดง่าย ๆ ก็คือ การหายตัวไปของเสี่ยวอัน เสี่ยวชง และไห่โย่ว ต้องมีเงื่อนงำแน่!
“คุณหนูหลิว วางใจเถอะขอรับ พวกข้าจะดูแลเด็กคนอื่นให้ดี ไม่กล้าประมาทอีกแล้ว” ไต้ฟางจื้อพยักหน้ารับคำ
เห็นสีหน้าทุกข์ใจของเขา หลิวชิงซวี่ก็ปลอบว่า “เอาล่ะ ท่านเข้าไปก่อนเถอะ อย่าให้เด็กคนอื่นจับสังเกตได้”
ไต้ฟางจื้อประสานมือคารวะนาง ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าจนแห้ง แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในประตู
หลิวชิงซวี่พิงผนัง หยิบรองเท้าที่ไต้ฟางจื้อเก็บได้ออกมาดูแล้วดูอีก คิ้วขมวดมุ่นด้วยความหนักใจ แววตาฉายแววทะมึน
ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบไหนถึงจะทำรองเท้าหลุดแล้วไม่สนใจเก็บ?
กล่าวคือ เสี่ยวอันกับอีกสองคนต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแน่!
เพียงแต่ พวกเขาเป็นแค่เด็กกำพร้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ ไห่โย่วที่โตสุดก็แค่อายุสิบขวบ คนที่เล่นงานพวกเขามีจุดประสงค์อะไร?
จะบอกว่าถูกแก๊งค้ามนุษย์ลักพาตัวไป ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ยุคนี้แม้จะมีนายหน้าค้ามนุษย์ และซื้อขายคนกันได้ถูกกฎหมาย แต่เด็กพวกนี้ยังเล็ก ยังใช้งานหนักไม่ได้ นายหน้าพวกนั้นไม่แลหรอก ถ้าสนใจจริง ป่านนี้คงไม่มีเด็กขอทานเกลื่อนเมืองแล้ว
ดังนั้น การหายตัวไปของพวกเสี่ยวอัน ตกลงซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้กันแน่?
“คุณหนูหลิว”
นางรีบเก็บรองเท้า แล้วหันไปมองผู้มาเยือน ใบหน้ากลับมาเรียบเฉยทันที “เจ้ามาทำไม?”
เจียงจิ่วยิ้ม “คุณหนูหลิว ดูพูดเข้า ตอนนี้นายบ่าวสามคนอย่างพวกข้าก็ฝากเนื้อฝากตัวกับท่านแล้ว ท่านออกมาทำธุระ ข้าก็ต้องตามมารับใช้สิขอรับ”
หลิวชิงซวี่จ้องมองเขาด้วยแววตาลึกล้ำ
เจ้านี่ วิชาตัวเบาไม่ด้อยไปกว่านางเลย ไม่แน่อาจจะช่วยได้จริง
“คุณหนูหลิว เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ?” เจียงจิ่วถามด้วยความอยากรู้ พลางเงยหน้ามองประตูใหญ่ด้านข้าง
แปลกจริง เรือนดินหลังน้อยนี้ถึงกับแขวนป้ายชื่อด้วย!
แถมยังชื่อ ‘สำนักศึกษาเสี้ยวเสี้ยว’ อีก?
“เจียงจิ่ว มีเรื่องอยากขอคำปรึกษาจากเจ้า”
“คุณหนูหลิว อย่าใช้คำว่าขอคำปรึกษาเลยขอรับ ตอนนี้ท่านเป็นเจ้านายพวกข้า มีอะไรจะสั่งก็ว่ามาได้เลย” เจียงจิ่วรีบโค้งกายลงให้นาง
“ข้าอยากให้คนของทางการช่วยหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ เจ้าก็รู้ ข้าเป็นคนจวนแม่ทัพก็จริง แต่ท่านพ่อคุมเข้ม ข้าเปิดเผยตัวตนไม่ได้เลย เจ้าว่าข้าจะทำยังไงให้คนของทางการยอมช่วยข้าได้บ้าง?” หลิวชิงซวี่ทำหน้าลำบากใจ
นางหนีออกมาจากวัด หลิวจิ่งอู่ต้องส่งคนมาจับตัวกลับไปแน่ ตอนนี้ขืนไปโผล่ที่ที่ว่าการ มีหวังโดนจับตัวได้เร็วกว่าเดิม
เจตนาของนางคืออยากจะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จต่อหน้าเจียงจิ่ว แล้วให้เขาออกหน้า เอาเงินไปยัดใต้โต๊ะที่ว่าการ เพื่อขอยืมกำลังคนมาใช้ โบราณว่ามีเงินจ้างผีโม่แป้งยังได้ นางไม่เชื่อหรอกว่าใช้เงินเบิกทางแล้วจะจัดการคนของทางการไม่ได้
แต่เจียงจิ่วกลับตามไม่ทันความคิดนาง เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วยิ้มเสนอแนะ “คุณหนูหลิว คนจวนแม่ทัพใช้ไม่ได้ ท่านก็ไปขอยืมคนจากจวนอ๋องเจินสิขอรับ! ก็ท่านรับปากเรื่องแต่งงานกับอ๋องเจินแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าท่านไปขอเข้าเฝ้าอ๋องเจิน พระองค์ต้องทรงช่วยท่านแน่”
หลิวชิงซวี่มุมปากกระตุก
ไปขอร้องอ๋องเจิน?
นางยังไม่รู้เลยว่าอ๋องเจินหน้าตาเป็นยังไง!
แต่ว่า...
ดวงตาของนางกลิ้งกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นแผนการหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ!
“เจียงจิ่ว รบกวนเจ้าเรื่องหนึ่งสิ” ตัดสินใจได้แล้ว นางก็มองเจียงจิ่วด้วยสายตาเว้าวอน
“คุณหนูหลิว อย่าทำแบบนี้เลยขอรับ มีอะไรสั่งมาได้เลย”
เรื่องสำคัญเร่งด่วน หลิวชิงซวี่ก็ไม่เกรงใจ ลากเขาไปที่มุมลับตาคน เล่าเรื่องเด็กสามคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยให้เขาฟัง
สุดท้าย นางก็ขอร้องว่า “เจ้าช่วยเฝ้าที่นี่ให้ข้าหน่อย ถ้ามีคนน่าสงสัยเข้ามาใกล้ จะตีให้ตายหรือแค่บาดเจ็บก็ช่างมัน ข้ารับผิดชอบเอง คืนนี้ข้าจะไปจวนอ๋องเจินสักหน่อย พอได้ของแล้วข้าจะรีบกลับมาสมทบกับเจ้า”
เจียงจิ่วฟังแล้วงง ๆ “ได้ของ? ท่านจะไปทำอะไรที่จวนอ๋องเจิน?”
หรือนางคิดจะไปจัดการท่านอ๋องคืนนี้?
ถึงจะเป็นเรื่องดีสำหรับท่านอ๋องก็เถอะ แต่ท่านอ๋องยังเจ็บอยู่ ขืนนางจะเผด็จศึกท่านอ๋องจริง ๆ ท่านอ๋องจะรับไหวหรือ?
หลิวชิงซวี่เห็นเขาไม่เข้าใจ เลยลดเสียงลงอธิบายให้ชัดเจน “ข้าจะไปขโมยของที่จวนอ๋องเจิน แล้วยืมชื่ออ๋องเจินออกตามหาพวกเสี่ยวอัน”
“...?!”
เจียงจิ่วเหงื่อตกเป็นสาย อ้าปากค้างพูดไม่ออก ราวกับถูกพายุลูกใหญ่พัดโหมกระหน่ำใส่ร่าง เล่นเอาสติสตังกระเจิดกระเจิงไปหมด
ทำแบบนี้ก็ได้หรือ?!