ท่อนขาแกร่งสาวเท้าเข้ามาในตำหนักส่วนตัวของฮ่องเต้ สีหน้าของเขาเรียบเฉยเย็นชา กระทั่งเข้ามาถึงด้านในก็พบกับบุรุษเรือนร่างกำยำ สวมเครื่องแต่งกายในสภาพหลุดลุ่ย
“น้องรอง เจ้ามาแล้วหรือ”
หลงโหย่วอี้ประสานมือค้อมศีรษะ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
จอกสุราในมืออีกฝ่ายถูกวางลง ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มพราวระยับ “ไม่ต้องมากพิธีถึงเพียงนั้น”
หลงโหย่วอี้ลุกยืนเต็มความสูง หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากเหยียบเข้ามาที่นี่แม้เพียงครึ่งก้าว เพราะหลงโหย่วอี้ทราบดีว่าพี่ชายของตน ต่อให้เป็นถึงฮ่องเต้ ทว่าเขาไม่เคยเอาใจใส่ดูแลราษฎรสักกระผีกริ้น ซ้ำยังละเลยการว่าราชการเป็นวรรคเป็นเวร ไม่เพียงเท่านั้นยังเคล้าสุรานารีขลุกอยู่ในตำหนักหรือไม่ก็ลอบออกไปหอโคมเขียวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ยามนี้ก็เช่นกัน นางในทั้งหลายล้วนอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเปล่าล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด
“น้องรอง สักหน่อยหรือไม่” ฮ่องเต้หลงอี้เซียวเอ่ยพร้อมหยิบจอกสุราขึ้นมาเป็นเชิงชักชวน
หลงโหย่วอี้กวาดสายตามองบรรยากาศอึมครึมโดยรอบด้วยความระอิดระอา เหล่าสตรีต่าง
ท่อนขาแกร่งสาวเท้าเข้ามาในตำหนักส่วนตัวของฮ่องเต้ สีหน้าของเขาเรียบเฉยเย็นชากระทั่งเข้ามาถึงด้านในก็พบกับบุรุษเรือนร่างกำยำ สวมเครื่องแต่งกายในสภาพหลุดลุ่ย“น้องรอง เจ้ามาแล้วหรือ”หลงโหย่วอี้ประสานมือค้อมศีรษะ “ถวายบังคมฝ่าบาท”จอกสุราในมืออีกฝ่ายถูกวางลง ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มพราวระยับ “ไม่ต้องมากพิธีถึงเพียงนั้น”หลงโหย่วอี้ลุกยืนเต็มความสูง หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากเหยียบเข้ามาที่นี่แม้เพียงครึ่งก้าว เพราะหลงโหย่วอี้ทราบดีว่าพี่ชายของตน ต่อให้เป็นถึงฮ่องเต้ ทว่าเขาไม่เคยเอาใจใส่ดูแลราษฎรสักกระผีกริ้น ซ้ำยังละเลยการว่าราชการเป็นวรรคเป็นเวร ไม่เพียงเท่านั้นยังเคล้าสุรานารีขลุกอยู่ในตำหนักหรือไม่ก็ลอบออกไปหอโคมเขียวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยามนี้ก็เช่นกัน นางในทั้งหลายล้วนอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเปล่าล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด“น้องรอง สักหน่อยหรือไม่” ฮ่องเต้หลงอี้เซียวเอ่ยพร้อมหยิบจอกสุราขึ้นมาเป็นเชิงชักชวนหลงโหย่วอี้กวาดสายตามองบรรยากาศอึมครึมโดยรอบด้วยความระอิดระอา เหล่าสตรีต่าง
ดวงตะวันทอประกายเจิดจ้า ม่านโปร่งแสงปลิวไสวตามสายลมที่พัดโกรกเข้ามา สตรีร่างระหงนอนทอดกายอยู่บนเตียงนอนหนานุ่ม ปลายนิ้วเรียวกระดิกแผ่วเบาข้าตายอีกครั้งหรือยังนะเปลือกตาบางแง้มเปิดแช่มช้า นัยน์ตาหงส์กะพริบถี่เพื่อปรับม่านดวงตาให้เข้ากับบรรยากาศ“พระชายา ฟื้นแล้วหรือเพคะ”คิ้วสวยขมวดแน่น จูฟางหรงอยากเปล่งเสียง ทว่าเมื่อลองขยับปากกลับรู้สึกว่าลำคอช่างแห้งผากเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่อาจเปล่งเสียงจูฟางหรงจึงเลือกพยักหน้าเป็นคำตอบคิดว่าตายไปแล้วซะอีกจูฟางหรงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางอยากตายไปให้จบ ๆ จริงนั่นล่ะ เหตุใดปรโลกจึงไม่แง้มประตูต้อนรับนางเสียทีหรือนางเป็นคนบาปหนาแม้แต่นรกสวรรค์ก็ไม่มีใครต้องการ จูฟางหรงแอบคิดไม่ได้ว่าบางทีโลกหลังความตายอาจไม่น่ากลัวเท่ากับการที่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับความเลวร้ายจากจิตใจคนดูเหมือนเหตุการณ์ยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น จูฟางหรงคงต้องหาทางอธิบายกับหอหงฮวา ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องคอยแถไถเพื่อเอาตัวรอดจากสวามีอีกเ
จูฟางหรงผละจากระเบียงเรือ หลงโหย่วอี้สังเกตบทสนทนาของสตรีทั้งสองอยู่ตลอดเพื่อรอจับพิรุธ ไม่นานร่างระหงก็ย่างกรายออกไปที่ลานด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาคมกริบปรายมองเรือนร่างระหงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชิ! อย่าตาค้างแล้วกัน ข้าควรส่งสัญญาณให้พวกเขาสังหารท่านไปเสียเลยดีหรือไม่เสียงบรรเลงจากคงโหวดังขึ้นอีกครั้ง จูฟางหรงยอบกายลงแช่มช้า นางค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย หลงโหย่วอี้ยังนั่งนิ่งประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็ง ทั้งที่ภายในใจของเขามันเต้นเร้าโครมคราม ไยนางจึงทำให้อกซ้ายเขามันคันยุบยิบอยู่เรื่อย จูฟางหรงทำราวกับนางมีเสน่ห์จิ้งจอกอยู่ บางคราก็ทำให้เขาเผลอไผลโดยไร้สาเหตุจูฟางหรงหมุนตัวเพื่อลอบสบตาสตรีบนเรือสำราญอีกฝั่ง นางสังเกตหาเงาของมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือลำนั้น ทำนองของดนตรีเริ่มเพิ่มจังหวะความเร็ว จูฟางหรงพยายามควบคุมลวดลายการวาดมือ และเคลื่อนไหวเรือนร่างอรชรเข้าใกล้หลงโหย่วอี้อย่างแนบเนียนเดิมทีหลงโหย่วอี้แทบไม่คิดเหลือบแลนางสักเสี้ยวเพราะกำลังเร่งสงบใจ แต่ยามนี้จูฟางหรงสามารถทำให้เขาต้องย้ายสายตามาชมการแสดงได้แ
เรือสำราญขนาดใหญ่ล่องอยู่เหนือทะเลสาบเจียงซี นึกไม่ถึงเลยว่าบนเรือลำนี้จะมีการจัดแสดงนางระบำ ทั้งยังมากด้วยอาหารรสเลิศพร้อมสรรพจูฟางหรงและหลงโหย่วอี้นั่งอยู่คนละฝั่งระหว่างโต๊ะสำรับทรงกลม วันนี้หลงโหย่วอี้ไม่อยากออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ไทเฮาก็คะยั้นคะยอไม่เลิก เขาจึงจำใจต้องมาอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนการอภิเษกของเขาช่างเป็นที่น่าสนใจมากเสียจริง“ท่านอ๋อง เอาแต่จ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่อิ่มหรอกนะเพคะ” จูฟางหรงเอ่ย ทั้งที่ยังเคี้ยวหมูน้ำแดงเต็มปากจนแก้มตุ่ยดั่งกระต่าย“หนวกหู”น้ำเสียงเย็นเยียบที่เปล่งออกมาเป็นเหตุให้เพลงที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงเดี๋ยวนั้นเพราะเข้าใจผิด พวกเขาเกรงว่าจะถูกหลงโหย่วอี้ระบายโทสะจึงเร่งถอยห่างออกไป แม้คำที่บอกว่าหนวกหูจะเป็นการต่อว่าจูฟางหรง ทว่าเสียงดนตรีที่สงัดลงก็ทำให้ใจของเขาสงบได้เช่นกัน หลงโหย่วอี้จึงไม่ได้ทัดทานใดขึ้นยัยตะกละทุกอย่างน่าเบื่อเพียงนี้ ทว่าจูฟางหรงกลับไม่แยแสเขาสักกระผีกริ้นนางเอาแต่สนใจละเลียดชิมอาหารตรงหน้าราว
อรุณรุ่งมาเยือน จูฟางหรงก็เตรียมตัวออกไปตามนัดหมาย วันนี้นางเลือกแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อนสบายตา ส่วนด้านในสวมใส่อาภรณ์ที่ทะมัดทะแมง เพราะจูฟางหรงต้องเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในการเอาตัวรอด หากหลงโหย่วอี้ระแคะระคายขึ้นมา นางจะเลือกกลายเป็นปลาแล้วกระโดดลงแม่น้ำหนีเขาเสียเลย“พระชายา งดงามมากเลยเพคะ”จูฟางหรงเหลือบมองหน้าของเป่าชุน “เป่าชุน วันนี้เจ้าไม่ต้องตามไปปรนนิบัติข้าหรอกนะ”เป่าชุนสลดลง “ทำไมหรือเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันดูแลพระชายาไม่ดีหรือเพคะ”“ดูเจ้าสิ” จูฟางหรงยิ้มบาง ร่างระหงลุกยืนเต็มความสูง มือเรียวคว้ามือของเป่าชุนมากุมไว้ จูฟางหรงไม่อยากให้เป่าชุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับตนอีกแล้ว “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อคืนเจ้าก็เห็นว่าข้าลอบออกไปท่องราตรี เจ้าอยู่ที่นี่ทำลายหลักฐานให้ข้าได้หรือไม่”เป่าชุนใจชื้น แท้ที่จริงจูฟางหรงก็มีภารกิจให้นางทำ “เพคะ”“พระชายา รถม้าพร้อมแล้วเพคะ”เสียงของนางกำนัลต้นห้องดังลอดเข้ามา จูฟางหรงรวบรวมลมหายใจจนแก้มโป่งพอง
หลงโหย่วอี้ยืนทำใจอยู่พักใหญ่ ไม่นานขาสูงก็ย่างกรายเข้ามาด้านในเนิบนาบ จูฟางหรงใจเต้นระรัวตามจังหวะการเหยียบย่างของอีกฝ่าย ทว่าสีหน้ายังแสร้งเผยยิ้มหวานเพื่อยั่วอารมณ์เขานัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ยามนี้จูฟางหรงหลงเหลือเพียงอาภรณ์บอบบางตัวใน ซ้ำยังเปิดไหล่เผยเนื้อหนัง“ไร้ยางอาย”“หา…ไร้ยางอายอย่างไรเพคะ ที่นี่ห้องหม่อมฉัน อีกอย่างก็ดึกมากแล้วด้วย อยู่ ๆ พระองค์ก็โผล่เข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย…”ไม่ทันจบประโยค ลำคอขาวผ่องก็ถูกคว้าหมับอย่างไม่ไยดีแค่ก แค่ก“ท่านอ๋อง กำลังทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ”“เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก เจ้ากำลังเล่นละครใช่หรือไม่”จะบ้าตาย ตาอ๋องนี่ขี้ระแวงชะมัดยาด ดีนะที่เรากลับมาทัน“หม่อมฉันจะเล่นละครใดเพคะ พระองค์ระแวงมากเกินไปแล้ว หากไม่เชื่อก็นอนที่นี่ด้วยกันเลยสิเพคะ”มือเรียวคว้าหมับไปยังข้อมือแกร่ง หลงโหย่วอี้สะดุ้งแผ่ว มือของเขาคลายออกจากลำคอระหงทันควัน ไม่ทันผละจากจูฟางหรงก็โผเข้ากอดเอวขอ