บทที่ 1 กลับคืน
เสียงเกือกม้าเหยียบลงบนดินแห้งแล้งในยามเช้ามืด คล้ายเสียงหัวใจของเมืองหลวงที่หยุดเต้นไปครู่หนึ่งยามที่มีรถม้าปรากฏที่หน้าประตูเมือง
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นรถม้าใคร
ไม่มีใครกล้าถาม
ในดวงตาคมดุที่ฉาบด้วยม่านหมอกสีเทานั้นเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ คล้ายความตาย คล้ายไฟแค้น คล้ายอดีตที่ยังไม่ถูกลืม มือขาวซีดแวกผ้าม่านรถม้าออกก่อนจะเอ่ยบอกยามเฝ้าประตูเมืองหลวง
“เปิดประตู ข้ามีนามว่า หลานฮวา บุตรสาวคนเดียวของเสนาบดีคลังจ้าวหยงชิง”
เสียงนางเรียบเย็น แต่ก้องสะท้อนในอกของทหารยาม เสี้ยววินาทีที่ได้สบตานาง ราวกับต้องมนตร์จนต้องรีบหลีกทางให้อย่างไม่รู้ตัว
“ดาวหายะนะหรือ… ยังไม่ตาย”
“นางกลับมาทำไมกัน หรือจะมารับช่วงต่อจากพี่สาว” แล้วเหตุใดนางจึงกล้าเอ่ยว่าตนเองคือบุตรสาวคนเดียวของเสนบดีจ้าวกัน แล้วพี่สาวที่ตายไปมินับญาติกันหรอกหรือ
“เฮอะ ใครจะไปลืมได้… วันคลอดวันนั้นน่ะ ดาวดีมีเพียงดวงเดียว อีกดวงเป็นเคราะห์ร้ายจะนำพาทั้งตระกูลถึงแก่ความตาย”
เสียงซุบซิบดังไม่ขาดสายในตลาดยามเช้า เมื่อข่าวการกลับมาของบุตรีต้องคำสาปกระจายไปทั่วเมือง ผู้คนจดจำได้เพียงว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้านาง นางยังเป็นทารกในผ้าอ้อมที่ถูกอุ้มผ่านประตูเมืองออกไปในยามรุ่งสาง
ไม่มีใครคาดคิดว่านางจะกลับมา
และไม่มีใครรู้เลยว่า สิ่งที่นางนำกลับมาด้วยนั้น… ไม่ใช่แค่ตัวของนาง
ในห้องโดยสารเล็ก ๆ ร่างบางโอบอุ้มหอบสัมภาระและกล่องไม้เรียบ ๆ วางอยู่เบื้องหน้า กล่องที่นางอุตส่าห์หอบหิ้วลงมาจากเขาพิษ
นางเปิดฝากล่องนั้นอย่างแผ่วเบา ข้างในมีสิ่งของเพียงไม่กี่อย่าง ตำราพิษเก่า ๆ ม้วนหนึ่ง ขวดยาเล็กจิ๋วสิบสองขวด และสิ่งสุดท้าย…
จดหมายลาตายของพี่สาว ฉบับจริง
ไม่ใช่ฉบับที่คนอื่นเห็น สองพี่น้องลอบติดต่อกันมาตั้งแต่จำความได้ ในมุมล่างสุดของกระดาษนั้น มีลายมือเล็ก ๆ เขียนกำกับไว้ว่า
‘หากน้องได้รับจดหมายนี้ จงช่วยข้าด้วย…เขาจะฆ่าข้า’
รถม้าคันเล็กแล่นเข้าเมืองหลวงในยามสาย และหยุดลงเบื้องหน้าจวนใหญ่หลังหนึ่ง
ป้ายไม้แกะลายมังกรประดับด้วยตัวอักษรสีทองเขียนว่า
จวนเสนาบดีคลัง จ้าวหยงชิง
เดิมทีเขาเป็นเพียงสมุหบัญชีตัวเล็ก ๆ ในกรมคลังที่ไม่มีใครจดจำ หากแต่หลังจาก ‘อนุจ้าว’ ให้กำเนิดดาวนำโชค ผู้เป็นพี่สาวของนาง
หน้าที่การงานของเขาก็พุ่งทะยานราวติดปีกจากเรือนหลังน้อยแออัด กลายเป็นเรือนสี่ประสานหรูหราตั้งตระหง่านกลางเมืองหลวง มีทั้งประตูบานใหญ่ หอคอยชมจันทร์ และบ่าวไพร่นับร้อยในความครอบครอง
“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้เอ่ยอย่างสุภาพ พลางเลิกผ้าม่านรถม้า
หลานฮวาค่อย ๆ ยกชายกระโปรงขึ้น แล้วก้าวลงอย่างสงบปลายเท้าสัมผัสพื้นหินเรียบหน้าประตูจวนดวงตาคมใต้หมวกผ้าบาง ๆ เหลือบมองตัวอักษรเหนือบานประตู
“จวนสกุลจ้าว…”
นางเอ่ยเสียงแผ่ว แต่เจือความเยียบเย็นแทรกทุกพยางค์
หากเลือกได้…
นางคงถอนนามสกุลของตนเองออกจากธรรมเนียมสายโลหิตนั้นเสียเองแล้ว มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้ม…ที่ไม่เกี่ยวกับความยินดีแม้แต่น้อย
“ที่นี่หรือ…สถานที่ที่เขาเคยผลักไสข้าด้วยมือของเขาเอง”
หลานฮวา ยืนอย่างเงียบงันหน้าประตู ไม่เร่งฝีเท้า ไม่ขอคำอนุญาตปล่อยให้เวลาไหลผ่านอย่างเงียบงัน ก่อนจะยกเท้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปอย่างสง่างาม
เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาในจวน หลานฮวาเห็นบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์ขุนนางยศสูง และสตรีในชุดแพรสีอ่อน ทั้งสองยืนรออยู่ตรงชานหน้าเรือนหลัก ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มประดับ แต่มิได้อบอุ่นพอจะให้รู้สึกว่าเป็น บ้าน
“ฮวาเอ๋อร์…ลูกพ่อ”
เสียงของเขาดังขึ้นทันทีที่เห็นนางจ้าวหยงชิงบิดาผู้ไม่เคยยื่นมือออกมารับนางแม้ยามยังเป็นทารก วันนี้กลับเรียกชื่ออย่างแผ่วเบาราวจะกลบฝุ่นในอดีต
แม่ใหญ่ภรรยาเอกของเขา ผู้เคยสั่งให้ลบชื่อหลานฮวาออกจากบัญชีคนในจวนวันนี้แต่งหน้าจนแทบจำไม่ได้ และยิ้มหวานจนดอกไม้ยังหม่นหมอง
“เดินทางเหนื่อยหรือไม่ลูก มาเถอะ มานั่งก่อน”
แต่ยังไม่ทันที่หลานฮวาจะได้นั่งลงบนเบาะรอง เสียงของบิดาก็เอ่ยขึ้นต่อทันที รวดเร็ว…ไม่เปิดโอกาสให้นางได้หายใจ
“เจ้าคงรู้เหตุผลที่พ่อให้คนไปรับเจ้าแล้วใช่หรือไม่ การแต่งงานกับคุณชายตระกูลหลาง…ไม่อาจล้มเลิกได้ หลานเมยไม่อาจกลับมาอีกแล้ว เจ้าในฐานะฝาแฝด ต้องเป็นผู้สืบทอดพันธสัญญานั้นแทน”
เงียบงันในอากาศหนักอึ้ง
ราวกับทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนที่นางจะได้ยินคำว่า พ่อ เสียอีก
หลานฮวามองเขาอย่างนิ่งงันดวงตาที่เคยเฝ้ารอความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิดนานนับสิบแปดปีบัดนี้…ไม่มีแม้แต่เงาของความหวังเหลืออยู่
“เช่นนั้นก็จงเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เสื้อผ้า เครื่องประดับ ห้องหอทุกอย่างที่เตรียมไว้ให้พี่สาว ข้าจะใช้มันทั้งหมด”
เสียงของนางชัดเจน ราบเรียบ แต่เฉียบขาดจนผู้ฟังต้องชะงัก
นางไม่ขอ ไม่อ้อนวอน ไม่โอดครวญ
มีเพียงคำประกาศที่ตราตรึงและเยือกเย็น…เหมือนน้ำแข็งที่กลืนเปลวไฟ
บทที่ 5 พบคนรักของคนที่ต้องแต่งด้วยเสียงดนตรีอ่อนโยนจากสายพิณในสวนหลวงด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวดังคลอไหวไปกับสายลม หลานฮวาสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำขลับ เดินทอดน่องอย่างสง่างามตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาให้ไปพบว่าที่สามี คนที่จะต้องร่วมชีวิตด้วยหลังจากนี้ บุรุษที่พี่สาวของนางเคยถูกหมั้นหมายไว้กับเขาศาลาริมสระบัวในสวนด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวในยามบ่ายคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุปผาหอมจาง ๆ ดนตรีจากสายพิณดังแผ่วราวเลือนลางในความทรงจำ หลานฮวาเดินเข้าสู่ศาลาอย่างเงียบงัน สีหน้าเรียบนิ่งราวไม่มีอะไรในโลกนี้จะแตะต้องใจนางได้อีกแล้วบนม้านั่งหินในศาลา หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งก้มหน้า เช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลาย ‘หลานเมย’ บนขอบผืนอย่างบรรจงหลานฮวาหยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เจ้าหยิบมาจากเรือนของหลานเมยสินะ”หญิงสาวสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า…หลานเมย”หลานฮวายกยิ้มมุมปาก นิ่ง ไม่ตอบในทันที นางจ้องมองหญิงสาวผู้นั้น พลางมองเงาตนเองที่สะท้อนในสระ…เป็นเงาของผู้ที่ยังมีชีวิต แต่อีกคนกลับหายไปจากโลกนี้ก่อนที่หลานฮวาจะทันได้พูดอะไร เสียงฝีเท้าหนักแน่นดัง
บทที่ 4 ยาพิษในราตรีคืนแรกของการมาเยือนจวนสกุลจ้าว ค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกคือ แสงจันทร์ฉาบลงบนหลังคาจวนเสนบดีจ้าว ราวกับแสงสุดท้ายก่อนพายุร้ายจะกระหน่ำลงมาดวงจันทร์ลอยลับหลังม่านเมฆ ทิ้งให้เงาค่ำครองทั่วเรือนจวนเสนาบดีลมเย็นเฉียบแทรกเข้าระหว่างซี่หน้าต่างราวกับเสียงกระซิบจากโลกวิญญาณและนั่นคือคืนแรกที่หลานฮวาเดินทางกลับมา…ลมเย็นหอบกลิ่นสมุนไพรประหลาดบางอย่างลอยผ่านหน้าต่างบานเล็กของห้องครัวใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่า กลิ่นหอมนั้นไม่ใช่กลิ่นของเครื่องปรุง แต่คือ พิษ จากยอดเขาอันไร้ผู้คนพิษนิมิตเงาเป็นยาที่ท่านทวดเคยเตือนนางมิให้ใช้ หากไร้เหตุจำเป็น มันไม่ฆ่า ไม่เจ็บ ไม่ปรากฏร่องรอย แต่จะชักนำผู้ถูกพิษเข้าสู่ห้วงฝันอันสั่นคลอนความจริงบิดเบือนเวลา ความทรงจำ และดึงเอาความกลัวที่ซ่อนลึกที่สุดมาเปิดโปง และหลานฮวา…เลือกใช้มันลงมือในคืนนี้เมื่อเรือนของหลานเมยกลายเป็นของนางเมื่อนางก้าวเข้ามาแทนที่พี่สาวเมื่อต้องเริ่ม ล้างบัญชี และตามหาความจริงในฝันฮูหยินจ้าว กรีดร้องสุดเสียงเมื่อร่างของนางตกลงจากหน้าผาสูงชัน ผ้าคลุมศีรษะสีแดงของเจ้าสาวพันรัดรอำคอนาง ดึงรั้งให้นางดิ่งลึกลงไปในหุบเหวที่ไ
บทที่ 3 สายใยความเงียบในเรือนเมฆขาวหนักอึ้งจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจตนเอง แสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านบาง ๆ สะท้อนบนผืนกระดาษสีขาวซีดในมือหญิงสาว ราวกับฉายให้เห็นเงาของอดีตอันเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด…หลานฮวานั่งลงช้า ๆ บนเบาะ หน้าตรงกับแสง พับชายอาภรณ์เรียบร้อยก่อนจะค่อย ๆ คลี่จดหมายนั้นออกสายตาก้มมองจดหมายที่เริ่มคลี่ออกอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรหวัด ๆ อ่อนช้อย ลายมือที่นางเคยคุ้นแต่เลือนหายไปจากความทรงจำ เป็นลายมือของคนที่เคยเขียนชื่อของนางบนกล่องไม้ใต้ต้นหลิว…ครั้งยังเยาว์วัย ตัวอักษรทุกตัวถูกจรดด้วยมือละเมียดละไม น่าจะเขียนด้วยน้ำหมึกชั้นดี เพราะยังไม่ซีดจางแม้ผ่านกาลเวลาถึงฮวาเอ๋อร์ของพี่…ข้าคงเห็นแก่ตัวมากที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไว้โดยไม่บอกใครแต่หากเจ้าได้อ่าน แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆข้ารู้ ว่าจดหมายฉบับนี้อาจไม่มีวันไปถึงเจ้าแต่ข้าก็ยังเขียน ด้วยความหวังบาง ๆ ว่า… หากข้าหายไปจริง ๆจะมีใครซักคน…อาจเป็นเจ้า…ที่ได้อ่านมันข้าไม่รู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อเป็นภาพลวงตาที่ครอบครัวนี้ใช้บังแสงเงาของเจ้าเจ้าคือข้า และข้าก็คือเจ้า เราคือเงาสะท้อนกันและกัน
บทที่ 2 ยึดตัวตนหลานฮวาเงยหน้ามองบิดาและแม่ใหญ่แววตาเรียบสนิท ริมฝีปากยังคงยิ้มบาง…แต่ไร้ความอบอุ่น“หากจะให้ข้าแต่งงานแทนพี่หลานเมย…”“เช่นนั้น ทุกสิ่งที่เคยเป็น และกำลังจะเป็นของนางต้องเป็นของข้า”เสียงของนางชัดเจน หนักแน่น ราวกับกำลังประกาศกลางห้องโถง ไม่มีวาจาใดของบิดาหรือแม่ใหญ่แทรกขึ้นมาได้ในขณะนั้นแม้แต่สายตาของบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่โดยรอบ ก็ยังต้องก้มหน้าหลบ“ตั้งแต่เกิดมา ข้าไม่เคยได้แม้แต่หยาดน้ำนมจากมารดา ถูกส่งขึ้นเขา ถูกลืมเลือน…ในขณะที่หลานเมยได้ทุกอย่าง ทั้งความรัก ทั้งชื่อเสียง ทั้งเรือนทั้งหอ”นางก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว สายลมยามสายพัดชายอาภรณ์ให้โบกเบา เหมือนคำประกาศของนาง กำลังจารไว้ในฟากฟ้าเหนือจวน“ในเมื่อพี่สาวตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ข้าจะรับทุกสิ่งของนางไว้ แม้แต่คนรับใช้ที่เคยดูแลนางก็ต้องมาดูแลข้า ในฐานะ…คนที่ยังมีชีวิตอยู่”บิดานางอ้าปากเหมือนจะเอ่ยคำใดแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาทัน แม่ใหญ่ก็เพียงบีบพัดในมือแน่นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววไม่สบอารมณ์ แต่ก็จำต้องกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม“ได้สิ เอาอย่างเจ้าว่าเลย เดี๋ยวพ่อจัดการให้”เรือนเมฆขาว คือชื่อที่จารึกไว้หน้าประตูไม้
บทที่ 1 กลับคืนเสียงเกือกม้าเหยียบลงบนดินแห้งแล้งในยามเช้ามืด คล้ายเสียงหัวใจของเมืองหลวงที่หยุดเต้นไปครู่หนึ่งยามที่มีรถม้าปรากฏที่หน้าประตูเมืองไม่มีใครรู้ว่าเป็นรถม้าใคร ไม่มีใครกล้าถามในดวงตาคมดุที่ฉาบด้วยม่านหมอกสีเทานั้นเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ คล้ายความตาย คล้ายไฟแค้น คล้ายอดีตที่ยังไม่ถูกลืม มือขาวซีดแวกผ้าม่านรถม้าออกก่อนจะเอ่ยบอกยามเฝ้าประตูเมืองหลวง“เปิดประตู ข้ามีนามว่า หลานฮวา บุตรสาวคนเดียวของเสนาบดีคลังจ้าวหยงชิง”เสียงนางเรียบเย็น แต่ก้องสะท้อนในอกของทหารยาม เสี้ยววินาทีที่ได้สบตานาง ราวกับต้องมนตร์จนต้องรีบหลีกทางให้อย่างไม่รู้ตัว“ดาวหายะนะหรือ… ยังไม่ตาย”“นางกลับมาทำไมกัน หรือจะมารับช่วงต่อจากพี่สาว” แล้วเหตุใดนางจึงกล้าเอ่ยว่าตนเองคือบุตรสาวคนเดียวของเสนบดีจ้าวกัน แล้วพี่สาวที่ตายไปมินับญาติกันหรอกหรือ “เฮอะ ใครจะไปลืมได้… วันคลอดวันนั้นน่ะ ดาวดีมีเพียงดวงเดียว อีกดวงเป็นเคราะห์ร้ายจะนำพาทั้งตระกูลถึงแก่ความตาย”เสียงซุบซิบดังไม่ขาดสายในตลาดยามเช้า เมื่อข่าวการกลับมาของบุตรีต้องคำสาปกระจายไปทั่วเมือง ผู้คนจดจำได้เพียงว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าน
บทนำณ ค่ำคืนหนึ่งซึ่งดาวบนฟากฟ้าส่องแสงสลัว แสงจันทร์ทอดเงาเย็นเยียบลงบนเรือนร่างบอบบางของสตรีผู้กำลังเจ็บครรภ์ เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังก้องในห้องไม้เก่า ๆ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของชีวิตใหม่จะกรีดผ่านความเงียบสงัดนั้นทารกคนแรกคลอดออกมา พร้อมเสียงร้องสดใสดังพลิ้วไหว แววตากลมใสที่ลืมขึ้นครั้งแรกดูราวกับสะท้อนแสงดาว บรรดาผู้คนในเรือนต่างโห่ร้องยินดี กล่าวขานว่านางคือ “ดาวนำโชค” ที่จะนำความรุ่งเรืองและเกียรติยศสู่ตระกูลแต่แล้ว… ทารกคนที่สองกลับคลอดตามออกมาพร้อมเสียงร้องแผ่วเบา และรอยปานประหลาดรูปดอกไม้มอดไหม้กลางแผ่นหลัง ดวงตาคู่นั้นมืดมัว ไร้แววความยินดี แทบจะในทันที… มีเสียงหวีดร้องจากแม่นมดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก“นั่นมัน… ดาวหายะนะ!”ไม่มีแม้คำปลอบโยน ไม่มีแม้โอกาสได้ดูดดื่มน้ำนมจากอกของผู้ให้กำเนิด ทารกน้อยถูกพรากจากอกไปไกลแสนไกล ราวกับเป็นภาระที่ไม่อาจปล่อยให้อยู่ใกล้ผู้คนในเมืองหลวงได้นางถูกส่งตัวไปยัง เขาพิษ ดินแดนห่างไกลที่ผู้คนต่างเล่าขานถึงสัตว์ประหลาด พิษร้าย และหมอยาเฒ่าผู้มีชีวิตอยู่เกินร้อยปี ผู้ที่เป็นทวดของพวกนาง ผู้ถูกลืมเลือนจากโลกภายนอก นางเติบโตท่ามกลางกลิ่นสมุนไพร