เข้าสู่ระบบแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเนื้อหนา เข้ามากระทบเปลือกตาที่ปิดสนิทของหญิงสาวที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงกว้าง ความรู้สึกแรกที่มินตราสัมผัสได้ไม่ใช่ความสดชื่นของการตื่นนอน แต่เป็นความปวดร้าวที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ราวกับร่างกายของเธอเพิ่งผ่านสงครามอันหนักหน่วงมาหมาดๆ
"อือ..."
เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ มินตราพยายามขยับตัว แต่ก็พบว่ามีบางสิ่งพาดทับอยู่ช่วงเอว ความอึดอัดนั้นทำให้เธอต้องฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาที่ยังพร่ามัวคือท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวสีแทนเข้มตัดกับความขาวสะอาดของผ้าปูที่นอน ไล่สายตาขึ้นไป เธอพบแผ่นอกกว้างที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกนิด ลมหายใจของเธอก็สะดุดกึก
ใบหน้าคมเข้มของชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มพาดเฉียง และริมฝีปากหยักลึกที่ดูดุดันแม้ในยามหลับใหล
สมองที่เคยว่างเปล่าของมินตราเริ่มประมวลผล ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวานเริ่มไหลย้อนกลับมา. งานเลี้ยงหน้ากากที่บริษัทส่งเธอมา
"ไม่จริง..."
เสียงหวานกระซิบกับตัวเองด้วยความตื่นตระหนก เธอขยับตัวถอยหนีโดยสัญชาตญาณ แต่ความเจ็บปวดที่กึ่งกลางกายกลับย้ำเตือนความจริงอันโหดร้าย มินตราก้มลงมองสภาพตัวเองใต้ผ้าห่ม ร่างกายเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยจูบ ตอกย้ำถึงความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
และสิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม คือคราบเลือดสีแดงสดที่เปรอะเปื้อนเป็นวงกว้างบนผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด ตัดกับสีขาวราวกับดอกกุหลาบอาบยาพิษที่บานสะพรั่งประจานความผิดพลาด
พรหมจรรย์... สิ่งที่รักษามาทั้งชีวิต…
น้ำตาเม็ดโตเอ่อล้นออกมาคลอหน่วยตา ความกลัวและความอับอายตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย เธอเสียมันไปให้กับใครก็ไม่รู้ ผู้ชายที่เธอไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ
มินตรากัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น เธอต้องไปจากที่นี่ ต้องไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะตื่นขึ้นมา
หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งอย่างระมัดระวังที่สุด ทุกการเคลื่อนไหวสร้างความเจ็บปวดจนเธอต้องนิ่วหน้า เมื่อเท้าแตะลงบนพื้น ขาเรียวสั่นเทาจนแทบพยุงตัวไม่ไหว
สายตากวาดมองไปรอบห้องเพื่อหาเสื้อผ้าของตัวเอง แต่สิ่งที่พบคือซากชุดราตรีสีน้ำเงินราคาแพงที่ฉีกขาดวิ่นจนไม่สามารถนำมาสวมใส่ได้อีก มันถูกโยนทิ้งไว้ที่มุมห้องราวกับขยะไร้ค่า
"ทำยังไงดี..."
มินตรากวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง สายตาไปสะดุดเข้ากับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ใกล้หัวเตียง ดูเหมือนจะเป็นของเจ้าของห้อง เธอไม่มีทางเลือกอื่น มือบางคว้ามันมาสวมทับร่างเปลือยเปล่าอย่างลวกๆ ชายเสื้อยาวคลุมลงมาถึงต้นขา แม้มันจะตัวใหญ่เกินไป แต่ก็ดีกว่าเดินออกไปตัวเปล่า
กลิ่นน้ำหอมผู้ชายผสมกลิ่นกายเฉพาะตัวที่ติดอยู่บนเสื้อทำให้แก้มของเธอร้อนผ่าว มันคือกลิ่นเดียวกับที่เธอดมดอมตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา มินตราส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่าน รีบเก็บกระเป๋าถือใบเล็กที่ตกอยู่บนพื้น มือไม้สั่นเทาด้วยความรีบร้อน
ในจังหวะที่เธอกำลังก้มลงสวมรองเท้าส้นสูงที่เหลือเพียงข้างเดียว ข้อมือบางไปกระแทกกับขอบตู้ข้างเตียง ทำให้สร้อยข้อมือเงินเส้นเล็กที่ห้อยจี้รูปดาวราคาถูกร่วงลงบนพื้นพรมหนา
ด้วยความเร่งรีบและสติที่แตกกระเจิง มินตราไม่รู้ตัว เธอสนใจเพียงแค่ประตูห้องบานนั้น... ประตูที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่
มือบางค่อยๆ บิดลูกบิดประตู เสียงคลิกเบาๆ ดังขึ้น หัวใจของเธอเต้นรัวราวกองเพล มินตราหันกลับไปมองร่างสูงบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย
‘ลาก่อน... ขออย่าให้เราได้เจอกันอีกเลย’
หญิงสาวกลั้นใจเปิดประตู แทรกตัวออกไป แล้วปิดมันลงอย่างแผ่วเบา ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและร่องรอยแห่งราตรีที่ไม่มีวันลืมเลือน
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ออสตินขยับตัวตื่นเพราะความรู้สึกโหวงเหวงที่ข้างกาย สัญชาตญาณแรกของเขาคือการวาดแขนออกไปเพื่อกอดรัดร่างนุ่มนิ่มที่เขาตักตวงความสุขมาทั้งคืน แต่สิ่งที่มือหนาสัมผัสได้มีเพียงความเย็นชืดของผ้าปูที่นอน
คิ้วเข้มขมวดมุ่น ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีด้วยความหงุดหงิด อาการปวดหัวตุบๆ จากฤทธิ์ยาและแอลกอฮอล์เล่นงานเขาอย่างหนัก แต่ความทรงจำเมื่อคืนกลับชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
"ไปไหนแล้ว?"
เขายันกายลุกขึ้นนั่ง สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วห้อง หวังจะเห็นร่างเล็กๆ นั้นนั่งรอรับเงินค่าตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่ง แต่ห้องทั้งห้องว่างเปล่า เงียบสนิทจนน่าใจหาย
สายตาของเขาเลื่อนกลับมาที่เตียงนอน และหยุดชะงักอยู่ที่รอยด่างสีแดงสดบนพื้นสีขาว
เลือด...
หัวใจของออสตินกระตุกวูบ ความเข้าใจผิดทั้งหมดพังทลายลงในวินาทีนั้น ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
"บ้าเอ๊ย!"
ออสตินสบถลั่น มือหนากำหมัดแน่น ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมาจับใจ ผสมปนเปกับความโกรธที่เธอกล้าหนีเขาไปโดยไม่บอกกล่าว เขาทำลายความบริสุทธิ์ของเธอ แล้วเธอก็หนีไปเงียบๆ ทิ้งเขาไว้กับความรู้สึกค้างคาแบบนี้เนี่ยนะ
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นวัตถุแวววาวบางอย่างบนพรมข้างเตียง ชายหนุ่มก้มลงหยิบมันขึ้นมา มันคือสร้อยข้อมือเงินเส้นเล็กๆ ดูเก่าและราคาถูก
ออสตินกำสร้อยเส้นนั้นไว้แน่น ดวงตาวาวโรจน์เปลี่ยนจากความรู้สึกผิดเป็นความต้องการเอาชนะ
"คิดจะฟันผมแล้วทิ้งงั้นเหรอ... ไม่มีทาง!"
เขาปาแก้วน้ำบนหัวเตียงใส่ผนังห้องจนแตกกระจายเสียงดังสนั่น ระบายอารมณ์กรุ่นโกรธที่สุมอยู่ในอก
ไม่กี่นาทีต่อมา ประตูห้องพักหรูถูกเคาะรัวๆ ก่อนที่เบลก เลขาคนสนิทจะเปิดเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นสภาพห้องที่เละเทะและเจ้านายที่นั่งหน้าหงิกอยู่บนเตียง เขาก็รู้ทันทีว่าเจ้านายกำลังไม่สบอารมณ์
"บอสครับ เกิดอะไรขึ้น..."
"ไปเช็กกล้องวงจรปิดเดี๋ยวนี้!" ออสตินตวาดเสียงกร้าว แทรกขึ้นมาก่อนที่เลขาจะพูดจบ เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจว่าตัวเองเปลือยอยู่ อวดรอยเล็บข่วนจางๆ ที่แผ่นหลังและไหล่กว้าง "ฉันต้องการรู้ว่าผู้หญิงที่ออกจากห้องนี้เมื่อเช้าคือใคร ไปเอาประวัติมาให้หมด! พลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาให้เจอ!"
เบลกรับคำสั่งเสียงสั่น รีบกดโทรศัพท์สั่งการทีมรักษาความปลอดภัยทันที
ออสตินเดินวนไปมาเหมือนเสือติดจั่น ในมือกำสร้อยข้อมือเส้นเล็กไว้แน่น เขาจะตามหาเธอ จะรับผิดชอบ หรือจะลงโทษเธอที่บังอาจทำให้เขากลายเป็นไอ้โง่ ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ เขาปล่อยเธอไปไม่ได้
"บอสครับ..." เสียงของเบลกดังขึ้นอีกครั้งหลังจากวางสาย สีหน้าของเลขาหนุ่มซีดเผือดกว่าเดิม
"ได้เรื่องว่ายังไง!"
"คือว่า... ระบบกล้องวงจรปิดของชั้นนี้บันทึกภาพไม่ได้ครับ เพราะไฟช็อตจนระบบพัง"
"ว่าไงนะ!" ออสตินหันขวบ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ
"โรงแรมแจ้งว่ามันพังมาสองวันแล้วครับ ช่างจะมาซ่อมวันนี้"
"โธ่เว้ย!"
ออสตินสบถลั่นห้อง หญิงที่คิดใช้เขาเป็นเครื่องมือระบาย
หายไปโดยที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใคร
ภายในหอพักเก่าๆ มินตราทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวแรง
ในมือของเธอถือแผงยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่เพิ่งแวะซื้อมาจากร้านขายยาหน้าปากซอย สายตาของเภสัชกรที่มองสภาพเธออย่างเหยียดๆ ยังคงติดอยู่ในความรู้สึก แต่เธอไม่มีเวลามาสนใจศักดิ์ศรี เธอต้องป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดเมื่อคืนกลายเป็นภาระผูกพันตลอดชีวิต
มินตราแกะเม็ดยาออกมา มือสั่นเทาจนเกือบทำมันร่วง เธอจับมันยัดใส่ปากแล้วกลืนลงคออย่างยากลำบากโดยไม่ใช้น้ำ รสขมฝาดเฝื่อนติดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ความขมขื่นในใจกลับมากกว่าเป็นล้านเท่า
อุก...
ทันทีที่ยาถูกกลืนลงท้อง ความเครียดสะสมบวกกับอาการแฮงค์จากฤทธิ์ยาเมื่อคืน ทำให้กระเพาะอาหารของเธอบีบตัวอย่างรุนแรง ความคลื่นเหียนพุ่งตีตื้นขึ้นมาจนกลั้นไม่อยู่
"อ๊อก…"
มินตราโก่งคออาเจียนลงในโถส้วม สิ่งที่ออกมามีเพียงน้ำย่อยสีใสและเม็ดยาที่ยังไม่ทันละลาย ร่างกายขับทุกอย่างออกมาจนหมดไส้หมดพุง หญิงสาวหอบหายใจหนักหน่วง น้ำหูน้ำตาไหลพราก พยายามจะหยิบยาเม็ดที่เหลือมากินซ้ำ แต่ความวิงเวียนทำให้เธอทรุดตัวลงนอนกับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ
"ทำไม... ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"
เสียงสะอื้นไห้ดังระงมแข่งกับเสียงสายน้ำจากฝักบัวที่เธอเอื้อมมือไปเปิด น้ำเย็นจัดสาดซัดลงมากระทบร่างกาย หวังจะช่วยชำระล้างรอยสัมผัสของชายคนนั้นออกไป มินตราขัดถูผิวเนื้อตัวเองจนแดงเถือก ราวกับรังเกียจสัมผัสที่ตราตรึงอยู่ทุกตารางนิ้ว
แต่ไม่ว่าจะขัดแรงแค่ไหน สัมผัสอุ่นร้อนและเสียงกระซิบแหบพร่านั้นกลับฝังแน่นลึกลงไปในความรู้สึก
เธอนอนขดตัวอยู่ใต้สายน้ำ ปล่อยให้ความเจ็บปวดไหลไปกับน้ำตา
มินตราหลับตาลง สัญญากับตัวเองในใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะร้องไห้ให้กับเรื่องนี้ เธอจะลืมเรื่องคืนนี้ให้หมด
นาฬิกาดิจิทัลบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง ภายในเพนท์เฮาส์สุดหรูบนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมย่านดังที่มองเห็นวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา ออสตินทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังสีดำตัวยาว เขาปลดเนกไทราคาแพงโยนทิ้งไปบนพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนออกเพื่อระบายความอึดอัดที่สุมอยู่ในอก"น่ารำคาญ..."ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงต่ำ มือหนาคว้าแก้ววิสกี้ที่รินค้างไว้ขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว ความร้อนของแอลกอฮอล์บาดลึกไปในลำคอ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับไฟโทสะที่กรุ่นอยู่ในใจเขาตลอดทั้งบ่ายสาเหตุของความหงุดหงิดไม่ใช่เรื่องหุ้นตก ไม่ใช่เรื่องคู่แข่งทางธุรกิจ... แต่เป็นยัยป้าเลขาหน้าใหม่ที่ชื่อมินตราคนนั้น…ทั้งที่เขากลั่นแกล้ง หวังจะเห็นเธอทำงานพลาด แต่กลายเป็นว่าตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา เธอทำงานได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติจนน่าขนลุก เอกสารทุกชิ้นถูกจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ตารางงานถูกจัดใหม่จนมีประสิทธิภาพสูงสุด กาแฟที่เธอชงมาให้ก็รสชาติดีจนเขาหาเรื่องติไม่ได้ยิ่งเธอทำดี เขายิ่งหงุดหงิด!มันเหมือนทฤษฎีของเขาถูกสั่นคลอน ปกติผู้หญิงที่เข้ามาทำงานกับเขามีแค่สองประเภท คือ 'สวยแต่โง่' หรือ 'เก่งแต่ขี้อวด' แต่ยัยป้านี่กลั
อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ใจกลางย่านธุรกิจ บรรยากาศภายในชั้นผู้บริหารสูงสุดที่ปกติจะเงียบสงบและเต็มไปด้วยความหรูหรา วันนี้กลับคุกรุ่นไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากห้องทำงานใหญ่ที่ปลายสุดทางเดิน"ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันบอกว่าอย่าอ่อย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!"เพล้ง!เสียงตวาดลั่นดุจฟ้าผ่าตามมาด้วยเสียงแก้วแตกกระจาย ดังทะลุประตูไม้สักบานหนาออกมา ทำเอาบรรดาผู้สมัครงานสาวสวยห้าคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง ตัวสั่นงันงกราวกับลูกนกตกน้ำวินาทีต่อมา ประตูห้องท่านประธานก็ถูกกระชากเปิดออก ร่างระหงของเลขาคนสวยในชุดเดรสรัดรูปวิ่งร้องไห้โฮออกมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า เครื่องสำอางราคาแพงไหลเยิ้มเปรอะเปื้อนใบหน้า"ฮือๆๆ... โรคจิต ใครจะไปทนทำงานด้วยได้วะ" เธอตะโกนก้องก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในลิฟต์ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกและความหวาดผวาให้แก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่"คนต่อไป! เข้ามา!"เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากห้องนั้น มันไม่ใช่คำเชิญชวน แต่เหมือนเรียกไปรับโทษ ผู้สมัครสาวสวยคนแรกที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดหน้าซีดเผือด เธอลุกขึ้นยืนขาสั่นพับๆ หันมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วส่ายหน้า"มะ... ไม
"แม่จ๋า..."เสียงเล็กๆ ที่เจือความน่าเอ็นดูดังขึ้นทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่ในบ้านเช่าหลังเล็กชานเมืองมินตราที่กำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าสะดุ้งตื่น ร่างบางรีบดีดตัวลุกจากฟูกนอนที่ปูอยู่กับพื้นห้องโล่งๆ"สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย" มินตราพึมพำกับตัวเอง พลางรีบกุลีกุจอวิ่งไปดูที่มุมครัวเล็กๆภาพที่เห็นคือ ออโต้ลูกชายคนโตวัย 4 ขวบ ยืนเขย่งปลายเท้า เกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว จ้องมองหม้อหุงข้าวเก่าคร่ำครึด้วยสายตานิ่งๆ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยว่าทำไมแสงไฟสีแดงถึงไม่ทำงาน ส่วนมือป้อมๆ ก็พยายามกดสวิตช์ย้ำๆ"แม่จ๋า กดแล้วมันเด้งขึ้นมาตลอดเลย" เด็กชายฟ้องเสียงอ่อย หันมามองแม่ด้วยแววตาที่ถอดแบบมาจาก ผู้ชายคนนั้น ราวกับแกะ ทั้งดวงตาคมกริบที่ดูนิ่งเกินวัยและโครงหน้าที่ฉายแววหล่อแต่เด็ก แต่ในเวลานี้มันเต็มไปด้วยความผิดหวังแบบเด็กๆ ที่หิวข้าว"โธ่ลูก... หม้อใบนี้มันเกเรอีกแล้วเหรอครับ" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเข้าไปดู ก็พบว่าหม้อหุงข้าวคู่ยากนิ่งสนิทไปแล้วจริงๆ "สงสัยคราวนี้จะพังจริงๆ แล้วล่ะลูก เอายังไงดีล่ะเนี่ย""ฮืออออ... แม่จ๋า อะตอมหิววววว ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ววว"เสียงร้องงอ
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเนื้อหนา เข้ามากระทบเปลือกตาที่ปิดสนิทของหญิงสาวที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงกว้าง ความรู้สึกแรกที่มินตราสัมผัสได้ไม่ใช่ความสดชื่นของการตื่นนอน แต่เป็นความปวดร้าวที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ราวกับร่างกายของเธอเพิ่งผ่านสงครามอันหนักหน่วงมาหมาดๆ "อือ..."เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ มินตราพยายามขยับตัว แต่ก็พบว่ามีบางสิ่งพาดทับอยู่ช่วงเอว ความอึดอัดนั้นทำให้เธอต้องฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาที่ยังพร่ามัวคือท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวสีแทนเข้มตัดกับความขาวสะอาดของผ้าปูที่นอน ไล่สายตาขึ้นไป เธอพบแผ่นอกกว้างที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกนิด ลมหายใจของเธอก็สะดุดกึกใบหน้าคมเข้มของชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มพาดเฉียง และริมฝีปากหยักลึกที่ดูดุดันแม้ในยามหลับใหลสมองที่เคยว่างเปล่าของมินตราเริ่มประมวลผล ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวานเริ่มไหลย้อนกลับมา. งานเลี้ยงหน้ากากที่บริษัทส่งเธอมา"ไม่จริง..."เสียงหวานกระซิบกับตัวเองด้วยค
บทที่ 1: คืนแห่งกลลวง เสียงดนตรีแจ๊สแว่วหวานผสานกับเสียงพูดคุยจอแจของผู้คนในชุดราตรีหรูหราดังก้องไปทั่วห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมระดับหกดาว ใจกลางมหานครที่เต็มไปด้วยแสงสี งานเลี้ยงหน้ากากการกุศลประจำปีของตระกูลดังช่างดูงดงามราวกับภาพฝันสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับ มินตราหญิงสาวในชุดเดรสยาวสีน้ำเงินเข้มที่ขับผิวขาวผ่องให้ดูโดดเด่น สถานที่แห่งนี้คือความอึดอัดที่เธออยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุดใบหน้าสวยหวานถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากขนนกสีขาวเหลือบเงิน เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อและดวงตากลมโตที่ฉายแววกังวล เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคู่ครองหรือโอ้อวดความร่ำรวยเหมือนคุณหนูไฮโซคนอื่น แต่เธอมาในฐานะ ตัวแทนของเจ้านายที่บังเอิญป่วยกะทันหัน หน้าที่ของเธอเพียงแค่นำของขวัญมามอบให้เจ้าภาพและรีบกลับ แต่นั่นคือสิ่งที่เธอคิด... ก่อนที่แก้วไวน์ใบนั้นจะถูกยื่นมาตรงหน้า"ดื่มหน่อยสิครับคุณผู้หญิง เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพ" บริกรหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรมินตราปฏิเสธไม่เป็น เธอจิบมันไปเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โลกทั้งใบของเธอก็เริ่มหมุนคว้างความร้อนวูบวาบประหลาดเริ่มก







