LOGINอาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ใจกลางย่านธุรกิจ บรรยากาศภายในชั้นผู้บริหารสูงสุดที่ปกติจะเงียบสงบและเต็มไปด้วยความหรูหรา วันนี้กลับคุกรุ่นไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากห้องทำงานใหญ่ที่ปลายสุดทางเดิน
"ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันบอกว่าอย่าอ่อย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!"
เพล้ง!
เสียงตวาดลั่นดุจฟ้าผ่าตามมาด้วยเสียงแก้วแตกกระจาย ดังทะลุประตูไม้สักบานหนาออกมา ทำเอาบรรดาผู้สมัครงานสาวสวยห้าคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง ตัวสั่นงันงกราวกับลูกนกตกน้ำ
วินาทีต่อมา ประตูห้องท่านประธานก็ถูกกระชากเปิดออก ร่างระหงของเลขาคนสวยในชุดเดรสรัดรูปวิ่งร้องไห้โฮออกมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า เครื่องสำอางราคาแพงไหลเยิ้มเปรอะเปื้อนใบหน้า
"ฮือๆๆ... โรคจิต ใครจะไปทนทำงานด้วยได้วะ" เธอตะโกนก้องก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในลิฟต์ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกและความหวาดผวาให้แก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่
"คนต่อไป! เข้ามา!"
เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากห้องนั้น มันไม่ใช่คำเชิญชวน แต่เหมือนเรียกไปรับโทษ ผู้สมัครสาวสวยคนแรกที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดหน้าซีดเผือด เธอลุกขึ้นยืนขาสั่นพับๆ หันมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วส่ายหน้า
"มะ... ไม่เอาแล้วค่ะ หนูสละสิทธิ์! หนูไม่อยากเป็นบ้า!" พูดจบเธอก็คว้ากระเป๋าแบรนด์เนมวิ่งตามเลขาคนเก่าไปติดๆ
สถานการณ์หน้าห้องเริ่มโกลาหล ผู้สมัครคนที่สองและสามเริ่มลังเล มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่แล้วเสียงรองเท้าส้นเตี้ยกระทบพื้นก็ดังแทรกความวุ่นวายขึ้นมา
ตึก... ตึก... ตึก...
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว หญิงวัยกลางคน ในชุดสูทสีน้ำตาลกะปิตัวโคร่งที่ดูเหมือนหลุดมาจากยุค 90 สวมแว่นตากรอบหนาเตอะปิดบังใบหน้าเกือบครึ่ง และผมทรงฝอยขัดหม้อที่ดูยุ่งเหยิง เดินอาดๆ เข้ามาหยุดยืนหน้าประตูอย่างไม่สะทกสะท้าน
"ขอโทษนะคะ ถึงคิวใครแล้วคะ" มินตราถามขึ้น
ผู้สมัครสาวสวยที่เหลือมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามปนสมเพช
"ป้า... ป้ามาส่งเอกสารแม่บ้านเหรอคะ ลิฟต์ขนของอยู่ด้านหลังนะคะ" หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยทัก
มินตราภายใต้หน้ากากป้าแว่น ขยับแว่นหนาเตอะให้เข้าที่ ส่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซี่ที่ดูจริงใจแต่ไร้รสนิยม
"เปล่าจ้ะหนู ป้ามาสมัครเป็นเลขาจ้ะ.."
สิ้นคำตอบ ทั้งโถงทางเดินเงียบกริบราวกับป่าช้า ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะถูกเปิดออกอีกครั้งโดยเลขานุการหน้าห้องชายหนุ่มที่ชื่อ 'เบลก' ซึ่งมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายสุดขีด
"คุณมินตรามาล่ะยังครับ
“มะ มาแล้วค่ะ”
“เชิญครับ... ท่านประธานรออยู่"
มินตราสูดหายใจเข้าลึก กระชับแฟ้มเอกสารในมือแน่น ทั้งๆที่ในใจสั่นไปด้วยความกลัว ในคืนนั้นแม้เวลาผ่านมา5ปี แต่ความทรงจำมันไม่เคยเลือนหายไปเลย ตอนนี้เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความทรงจำที่เธอไม่อยากจดจำนั้น
แต่ความอยู่รอดของลูกมันสำคัญกว่า
เธอบอกตัวเองในใจว่า 'เพื่อออโต้ เพื่ออะตอม เพื่อเงินแปดหมื่น... สู้โว้ยไอ้มิน!'
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในอาณาจักรของออสติน ความเย็นเยือกจากเครื่องปรับอากาศก็พุ่งเข้ามาปะทะผิวกายทันที ห้องทำงานกว้างขวางตกแต่งด้วยโทนสีดำ-เทาดูเคร่งขรึมและทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูแพงระยับจนไม่กล้านั่ง เพราะกลัวว่ามันจะบุบสลาย
ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้อง ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มกำลังนั่งก้มหน้าอ่านเอกสารด้วยความเคร่งเครียด เพียงแค่นั่งเฉยๆ มินตราก็รู้สึกถึงความกดดันก็แผ่ออกมารอบตัวของชายหนุ่มจนแทบหายใจไม่ออก
"นั่ง"
คำเดียวสั้นๆ ห้วนๆ โดยไม่เงยหน้ามอง มินตราเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างสงบเสงี่ยม พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด
"แนะนำตัว... ภายใน 10 วินาที"
มินตรากลืนน้ำลาย "สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันชื่อมินตรา อายุ 28 ปี ประสบการณ์ทำงานด้านเอกสารและประสานงาน 5 ปี ดิฉันสู้งาน อดทน และไม่เรื่องมากค่ะ"
ออสตินชะงักปลายปากกาเมื่อได้ยินเสียงที่ดูแหบห้าวผิดปกติ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง... และวินาทีนั้น เขาก็ชะงักค้าง
ไม่ใช่เพราะความสวยตะลึง... แต่เพราะความแปลกประหลาด ของรูปลักษณ์ที่ปรากฏแก่สายตา
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบผูกโบว์ สายตาคมกริบกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า...
ผมทรงรังนก...
แว่นตาหนาเตอะ...
เสื้อสูทสีกะปิที่ดูเหมือนไปขโมยของยายมาใส่...
และใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระและไฝเม็ดเป้ง
"นี่ฝ่ายบุคคลล้อฉันเล่นหรือเปล่า?" ออสตินพึมพำเสียงเย็นชาแต่ดังพอให้ได้ยิน "รับสมัครเลขา ไม่ใช่รับสมัครตัวตลกคณะละครสัตว์"
มินตรากำหมัดแน่นใต้โต๊ะ
หนอย... ไอ่ปากปีจอ! ถ้าไม่ติดว่ารวยนะ แม่จะกระโดดกัดหูให้ขาด!
แต่ภายนอก เธอกลับปั้นหน้าเศร้า ก้มหน้าลงต่ำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
"ขอประทานโทษค่ะท่านประธาน ดิฉันอาจจะหน้าตาไม่สะสวย แต่ดิฉันมั่นใจในความสามารถค่ะ"
"ความสามารถ…" ออสตินแค่นหัวเราะในลำคอ สายตาดูแคลนอย่างเปิดเผย "สภาพอย่างเธอเนี่ยนะ? รู้ไหมว่างานเลขาของฉันต้องเจอคนระดับโลก ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่เดินไปไหนคนนึกว่าป้าขายลูกชิ้นปิ้งหลงทางมา"
คำพูดเจ็บแสบแทงใจดำ แต่มินตราท่องคำว่า เงินแปดหมื่น ไว้ในใจ เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาผ่านแว่นหนาเตอะแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"ท่านประธานคะ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำงานให้ดีได้นะคะ ดิฉันอาจจะไม่ใช่แจกันดอกไม้สวยงามประดับห้อง แต่ดิฉันเป็นพรมเช็ดเท้าที่ทนทานและใช้งานได้จริงค่ะ"
ออสตินเลิกคิ้วเล็กน้อย แปลกใจในคำตอบที่ดูมีการเตรียมตัวมาดี... หรือไม่ก็หน้าด้านพอตัว
"พรมเช็ดเท้าเหรอ? หึ... เปรียบเทียบได้เห็นภาพดี" ออสตินยิ้มเหยียด หยิบแฟ้มเอกสารปึกหนาบนโต๊ะโยนโครมลงตรงหน้าเธออย่างไม่ไยดี
"งั้นพิสูจน์สิ... นี่คือสัญญาซื้อขายที่ดินไวน์ยาร์ดในบอร์โดซ์ ฝรั่งเศส ที่ทนายความฝั่งโน้นเพิ่งส่งมา มันมีข้อสัญญาบางอย่างที่ฉันสงสัย แปลให้ฉันฟัง... เดี๋ยวนี้! ตรงนี้แหละ!"
มินตรารู้ดีว่าเขาจงใจแกล้ง เอกสารภาษาฝรั่งเศสศัพท์กฎหมายยากๆ แบบนี้ ต่อให้เป็นล่ามมืออาชีพยังต้องใช้เวลา แต่เขาจะให้เธอแปลสด หวังจะให้เธอหน้าแตกแล้วไล่ตะเพิดกลับบ้านสินะ
หารู้ไม่... ว่า 5 ปีก่อนที่จะตกอับมินตรา คือนักเรียนเกียรตินิยมเหรียญทอง เอกภาษาฝรั่งเศส จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และเคยทำงานพาร์ทไทม์แปลเอกสารกฎหมายมานับไม่ถ้วน
มินตราหยิบเอกสารขึ้นมา ขยับแว่นเล็กน้อย แสร้งทำเป็นกวาดตามองอย่างตื่นเต้น มือไม้สั่นเทาเล็กน้อยเพื่อการแสดงที่สมจริง
"เอ่อ... คือว่า..."
"ทำไม่ได้ก็ออกไปเสียเวลา" ออสตินโบกมือไล่ เตรียมจะกดโทรศัพท์เรียกเลขาหน้าห้อง
"ข้อ 4.2 ค่ะท่าน..." มินตราโพล่งขึ้นมาขัดจังหวะ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว "ในวรรคที่สอง ระบุว่า ผู้ซื้อต้องรับผิดชอบภาษีมรดกตกทอดจากเจ้าของเดิมทั้งหมด หากมีการโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 5 ปี..."
ออสตินชะงักมือที่กำลังจะกดปุ่มโทรศัพท์ หันมามองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
มินตราอ่านต่อไปด้วยความลื่นไหล ภาษาฝรั่งเศสสำเนียงเป๊ะเว่อร์หลุดออกมาจากปากก่อนจะรีบแก้เป็นสำเนียงไทยๆ แบบคนตั้งใจเรียน
"และ... และตรงข้อ 15.1 เรื่องกรรมสิทธิ์แหล่งน้ำ... ทางนั้นระบุว่าให้เป็น สิทธิร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ซึ่ง... เอ่อ... ขัดแย้งกับข้อตกลงเบื้องต้นที่เราต้องการความเป็นส่วนตัว 100% ค่ะท่านประธาน"
มินตราวางเอกสารลง แล้วเงยหน้ามองเขาตาใสแจ๋ว "ดิฉัน... แปลถูกไหมคะ"
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ออสตินจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นครั้งแรก เขาเองก็พอรู้ภาษาฝรั่งเศส และรู้ว่าสิ่งที่เธอแปลมานั้นถูกต้องทุกประการ แถมยังจับจุดผิดสังเกตเรื่องแหล่งน้ำ
ยายป้าหน้ามึนคนนี้... ไม่ธรรมดา…
ออสตินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังราคาแพง ยกมือขึ้นกอดอก สายตาคมกริบกวาดมองเธออีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้มองด้วยความรังเกียจ แต่เป็นการประเมินค่า
"เก่งดีนี่... จบจากไหนมา"
"มหาลัยเปิดค่ะ... เรียนภาคค่ำ" มินตราไม่ได้โกหก เพราะเธอสมัครเรียนมหาวิทยาลัยแบบเปิดไปด้วยระหว่างที่เรียน
"เรียนภาคค่ำแต่ความสามารถไม่น่าเรียนแค่ภาคค่ำ" เขาหรี่ตามองจับผิด
"อ่ะ อ่อ…ดูหนังซาวด์แทร็กบ่อยค่ะ ฝึกพูดตามในกระจกทุกวัน"
ออสตินแค่นเสียงในลำคอ เขาไม่เชื่อน้ำหน้าอย่างเธอหรอก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของเธอมันโดน และที่สำคัญที่สุด...
เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยกระและแว่นตาหนาเตอะนั่น แล้วรู้สึกปลอดภัย
ไม่มีความรู้สึกวูบวาบ ไม่มีแรงดึงดูดทางเพศ ไม่มีความรำคาญใจที่ต้องคอยปัดป้องสายตายั่วยวนเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านมา การมีเลขาหน้าตาแบบนี้อยู่ใกล้ๆ คงทำให้เขาทำงานได้อย่างสงบสุขที่สุดในรอบ 5 ปี
"ดี..." ออสตินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ฉันจะรับเธอเข้าทำงาน ทดลองงาน 3 เดือน"
มินตราแทบจะกระโดดตัวลอย "ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณจริงๆ ค่ะท่านประธาน!"
"แต่อย่าเพิ่งดีใจไป" ออสตินยกนิ้วชี้หน้าเธอ สายตาเหยียดหยามกลับมาฉายชัดอีกครั้ง "ฉันรับเธอเพราะเธอทำงานได้ ไม่ใช่เพราะพิศวาส และข้อดีที่สุดของเธอคือ..."
เขาลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะมาหยุดตรงหน้าเธอ ก้มลงกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่บาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ
"สภาพแบบนี้... คงไม่คิดจะปีนเตียงฉันใช่ไหม?"
มินตราสะอึก คำพูดดูถูกนั้นรุนแรงจนหน้าชา เหมือนถูกตบฉาดใหญ่ แต่เธอก็รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการ... ต้องการให้เขามองข้ามความเป็นผู้หญิงของเธอไปให้หมด
หญิงสาวกัดฟันข่มความโกรธ แสร้งทำเป็นตัวสั่นด้วยความกลัว แล้วก้มหน้าลง
"โธ่... ท่านประธานคะ สภาพอย่างดิฉัน รู้จักเจียมตัวค่ะ แค่ท่านเมตตารับเข้าทำงานก็เป็นบุญวาสนาของลูกนกตกยากแล้วค่ะ เรื่องปีนตงปีนเตียง... ดิฉันคงไม่กล้า แม้แต่ในฝันยังไม่กล้าเลยค่ะ"
ใครจะอยากไปปีนเตียงนายกันยะ! ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไอ้ผู้ชายหลงตัวเอง! เธอตะโกนด่าในใจ
ออสตินยิ้มมุมปากอย่างพอใจ "ดี... รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้ก็ดี"
เขาเดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบบัตรพนักงานใบหนึ่งที่เตรียมไว้ แล้วโยนมันลงบนตักของเธออย่างไม่ใส่ใจ
"เอ้า... รับไป"
มินตรารีบตะครุบบัตรใบนั้นไว้ราวกับของมีค่า "ขอบคุณค่ะ!"
"เริ่มงานเดี๋ยวนี้เลย" ออสตินสั่งเสียงเฉียบขาด พลางชี้ไปที่กองเอกสารภูเขาเลากาที่วางกองอยู่บนโต๊ะเล็กมุมห้อง "ไปจัดการแยกหมวดหมู่เอกสารพวกนั้น สรุปประเด็นสำคัญมาให้ฉันก่อนเที่ยง และจำกฎของฉันให้ขึ้นใจ"
มินตราหยิบสมุดจดขึ้นมาเตรียมจดอย่างรู้งาน
"ข้อ 1 ห้ามสบตาฉันถ้าไม่จำเป็น ฉันรำคาญ"
"ข้อ 2 ห้ามทำเสียงดัง ห้ามเดินลากเท้า ห้ามเคี้ยวอะไรเสียงแจ๊บๆ"
"ข้อ 3 ห้ามใส่น้ำหอม กลิ่นตัวเธอตอนนี้... ก็แย่พอแล้ว แต่อย่าพยายามฉีดอะไรทับลงไป เข้าใจไหม?"
"และข้อสุดท้าย... ห้ามทำตัวน่ารำคาญ ห้ามถามซ้ำ ถ้าฉันสั่งต้องได้!"
"รับทราบค่ะบอส!" มินตราตอบรับแข็งขัน ลุกขึ้นยืนทำท่าตะเบ๊ะแบบทหารเกณฑ์
"ไปทำงานได้แล้ว... ยัยป้า"
ออสตินโบกมือไล่เหมือนไล่แมลงวัน ก่อนจะก้มหน้าลงสนใจงานของตัวเองต่อ โดยไม่ชายตามองเธออีกเลย
มินตราเดินถือแฟ้มเอกสารตรงไปยังโต๊ะทำงานตัวเล็กที่มุมห้อง ซึ่งดูเหมือนส่วนเกินของห้องหรูหรานี้ เธอนั่งลง ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก... และแอบยิ้มที่มุมปากภายใต้แว่นหนาเตอะ
สำเร็จ! ด่านแรกผ่านไปได้สวย...
มือบางหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าขึ้นมา พิมพ์ข้อความส่งหาป้าสมรลูกชายสุดที่รัก
[น้าสมรคะ รบกวนบอกออโต้กับอะตอมด้วย ว่าหนูได้งานแล้วเย็นนี้เตรียมท้องรอไก่ทอดได้เลย แถมคุ้กกี้ที่อะตอมชอบด้วยค่ะ]
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือ...
ภายใต้โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ออสตินกำลังเปิดลิ้นชักลับ หยิบสร้อยข้อมือรูปดาวเส้นเก่าๆ ขึ้นมาดูด้วยแววตาที่อ่อนลงวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวตามเดิม
"เธอไปมุดหัวอยู่ที่ไหนนะ... แม่ตัวแสบ"
เขากำสร้อยแน่น สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง โดยไม่รู้เลยว่า แม่ตัวแสบ ที่เขาพลิกแผ่นดินหา... กำลังนั่งหัวโด่แปลเอกสารให้เขาอยู่ห่างไปไม่ถึงสิบเมตร
นาฬิกาดิจิทัลบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง ภายในเพนท์เฮาส์สุดหรูบนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมย่านดังที่มองเห็นวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา ออสตินทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังสีดำตัวยาว เขาปลดเนกไทราคาแพงโยนทิ้งไปบนพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนออกเพื่อระบายความอึดอัดที่สุมอยู่ในอก"น่ารำคาญ..."ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงต่ำ มือหนาคว้าแก้ววิสกี้ที่รินค้างไว้ขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว ความร้อนของแอลกอฮอล์บาดลึกไปในลำคอ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับไฟโทสะที่กรุ่นอยู่ในใจเขาตลอดทั้งบ่ายสาเหตุของความหงุดหงิดไม่ใช่เรื่องหุ้นตก ไม่ใช่เรื่องคู่แข่งทางธุรกิจ... แต่เป็นยัยป้าเลขาหน้าใหม่ที่ชื่อมินตราคนนั้น…ทั้งที่เขากลั่นแกล้ง หวังจะเห็นเธอทำงานพลาด แต่กลายเป็นว่าตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา เธอทำงานได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติจนน่าขนลุก เอกสารทุกชิ้นถูกจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ตารางงานถูกจัดใหม่จนมีประสิทธิภาพสูงสุด กาแฟที่เธอชงมาให้ก็รสชาติดีจนเขาหาเรื่องติไม่ได้ยิ่งเธอทำดี เขายิ่งหงุดหงิด!มันเหมือนทฤษฎีของเขาถูกสั่นคลอน ปกติผู้หญิงที่เข้ามาทำงานกับเขามีแค่สองประเภท คือ 'สวยแต่โง่' หรือ 'เก่งแต่ขี้อวด' แต่ยัยป้านี่กลั
อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ใจกลางย่านธุรกิจ บรรยากาศภายในชั้นผู้บริหารสูงสุดที่ปกติจะเงียบสงบและเต็มไปด้วยความหรูหรา วันนี้กลับคุกรุ่นไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากห้องทำงานใหญ่ที่ปลายสุดทางเดิน"ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันบอกว่าอย่าอ่อย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!"เพล้ง!เสียงตวาดลั่นดุจฟ้าผ่าตามมาด้วยเสียงแก้วแตกกระจาย ดังทะลุประตูไม้สักบานหนาออกมา ทำเอาบรรดาผู้สมัครงานสาวสวยห้าคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง ตัวสั่นงันงกราวกับลูกนกตกน้ำวินาทีต่อมา ประตูห้องท่านประธานก็ถูกกระชากเปิดออก ร่างระหงของเลขาคนสวยในชุดเดรสรัดรูปวิ่งร้องไห้โฮออกมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า เครื่องสำอางราคาแพงไหลเยิ้มเปรอะเปื้อนใบหน้า"ฮือๆๆ... โรคจิต ใครจะไปทนทำงานด้วยได้วะ" เธอตะโกนก้องก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในลิฟต์ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกและความหวาดผวาให้แก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่"คนต่อไป! เข้ามา!"เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากห้องนั้น มันไม่ใช่คำเชิญชวน แต่เหมือนเรียกไปรับโทษ ผู้สมัครสาวสวยคนแรกที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดหน้าซีดเผือด เธอลุกขึ้นยืนขาสั่นพับๆ หันมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วส่ายหน้า"มะ... ไม
"แม่จ๋า..."เสียงเล็กๆ ที่เจือความน่าเอ็นดูดังขึ้นทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่ในบ้านเช่าหลังเล็กชานเมืองมินตราที่กำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าสะดุ้งตื่น ร่างบางรีบดีดตัวลุกจากฟูกนอนที่ปูอยู่กับพื้นห้องโล่งๆ"สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย" มินตราพึมพำกับตัวเอง พลางรีบกุลีกุจอวิ่งไปดูที่มุมครัวเล็กๆภาพที่เห็นคือ ออโต้ลูกชายคนโตวัย 4 ขวบ ยืนเขย่งปลายเท้า เกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว จ้องมองหม้อหุงข้าวเก่าคร่ำครึด้วยสายตานิ่งๆ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยว่าทำไมแสงไฟสีแดงถึงไม่ทำงาน ส่วนมือป้อมๆ ก็พยายามกดสวิตช์ย้ำๆ"แม่จ๋า กดแล้วมันเด้งขึ้นมาตลอดเลย" เด็กชายฟ้องเสียงอ่อย หันมามองแม่ด้วยแววตาที่ถอดแบบมาจาก ผู้ชายคนนั้น ราวกับแกะ ทั้งดวงตาคมกริบที่ดูนิ่งเกินวัยและโครงหน้าที่ฉายแววหล่อแต่เด็ก แต่ในเวลานี้มันเต็มไปด้วยความผิดหวังแบบเด็กๆ ที่หิวข้าว"โธ่ลูก... หม้อใบนี้มันเกเรอีกแล้วเหรอครับ" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเข้าไปดู ก็พบว่าหม้อหุงข้าวคู่ยากนิ่งสนิทไปแล้วจริงๆ "สงสัยคราวนี้จะพังจริงๆ แล้วล่ะลูก เอายังไงดีล่ะเนี่ย""ฮืออออ... แม่จ๋า อะตอมหิววววว ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ววว"เสียงร้องงอ
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเนื้อหนา เข้ามากระทบเปลือกตาที่ปิดสนิทของหญิงสาวที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงกว้าง ความรู้สึกแรกที่มินตราสัมผัสได้ไม่ใช่ความสดชื่นของการตื่นนอน แต่เป็นความปวดร้าวที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ราวกับร่างกายของเธอเพิ่งผ่านสงครามอันหนักหน่วงมาหมาดๆ "อือ..."เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ มินตราพยายามขยับตัว แต่ก็พบว่ามีบางสิ่งพาดทับอยู่ช่วงเอว ความอึดอัดนั้นทำให้เธอต้องฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาที่ยังพร่ามัวคือท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวสีแทนเข้มตัดกับความขาวสะอาดของผ้าปูที่นอน ไล่สายตาขึ้นไป เธอพบแผ่นอกกว้างที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกนิด ลมหายใจของเธอก็สะดุดกึกใบหน้าคมเข้มของชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มพาดเฉียง และริมฝีปากหยักลึกที่ดูดุดันแม้ในยามหลับใหลสมองที่เคยว่างเปล่าของมินตราเริ่มประมวลผล ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวานเริ่มไหลย้อนกลับมา. งานเลี้ยงหน้ากากที่บริษัทส่งเธอมา"ไม่จริง..."เสียงหวานกระซิบกับตัวเองด้วยค
บทที่ 1: คืนแห่งกลลวง เสียงดนตรีแจ๊สแว่วหวานผสานกับเสียงพูดคุยจอแจของผู้คนในชุดราตรีหรูหราดังก้องไปทั่วห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมระดับหกดาว ใจกลางมหานครที่เต็มไปด้วยแสงสี งานเลี้ยงหน้ากากการกุศลประจำปีของตระกูลดังช่างดูงดงามราวกับภาพฝันสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับ มินตราหญิงสาวในชุดเดรสยาวสีน้ำเงินเข้มที่ขับผิวขาวผ่องให้ดูโดดเด่น สถานที่แห่งนี้คือความอึดอัดที่เธออยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุดใบหน้าสวยหวานถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากขนนกสีขาวเหลือบเงิน เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อและดวงตากลมโตที่ฉายแววกังวล เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคู่ครองหรือโอ้อวดความร่ำรวยเหมือนคุณหนูไฮโซคนอื่น แต่เธอมาในฐานะ ตัวแทนของเจ้านายที่บังเอิญป่วยกะทันหัน หน้าที่ของเธอเพียงแค่นำของขวัญมามอบให้เจ้าภาพและรีบกลับ แต่นั่นคือสิ่งที่เธอคิด... ก่อนที่แก้วไวน์ใบนั้นจะถูกยื่นมาตรงหน้า"ดื่มหน่อยสิครับคุณผู้หญิง เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพ" บริกรหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรมินตราปฏิเสธไม่เป็น เธอจิบมันไปเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โลกทั้งใบของเธอก็เริ่มหมุนคว้างความร้อนวูบวาบประหลาดเริ่มก







