Mag-log in"แม่จ๋า..."
เสียงเล็กๆ ที่เจือความน่าเอ็นดูดังขึ้นทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่ในบ้านเช่าหลังเล็กชานเมืองมินตราที่กำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าสะดุ้งตื่น ร่างบางรีบดีดตัวลุกจากฟูกนอนที่ปูอยู่กับพื้นห้องโล่งๆ
"สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย" มินตราพึมพำกับตัวเอง พลางรีบกุลีกุจอวิ่งไปดูที่มุมครัวเล็กๆ
ภาพที่เห็นคือ ออโต้ลูกชายคนโตวัย 4 ขวบ ยืนเขย่งปลายเท้า เกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว จ้องมองหม้อหุงข้าวเก่าคร่ำครึด้วยสายตานิ่งๆ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยว่าทำไมแสงไฟสีแดงถึงไม่ทำงาน ส่วนมือป้อมๆ ก็พยายามกดสวิตช์ย้ำๆ
"แม่จ๋า กดแล้วมันเด้งขึ้นมาตลอดเลย" เด็กชายฟ้องเสียงอ่อย หันมามองแม่ด้วยแววตาที่ถอดแบบมาจาก ผู้ชายคนนั้น ราวกับแกะ ทั้งดวงตาคมกริบที่ดูนิ่งเกินวัยและโครงหน้าที่ฉายแววหล่อแต่เด็ก แต่ในเวลานี้มันเต็มไปด้วยความผิดหวังแบบเด็กๆ ที่หิวข้าว
"โธ่ลูก... หม้อใบนี้มันเกเรอีกแล้วเหรอครับ" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเข้าไปดู ก็พบว่าหม้อหุงข้าวคู่ยากนิ่งสนิทไปแล้วจริงๆ "สงสัยคราวนี้จะพังจริงๆ แล้วล่ะลูก เอายังไงดีล่ะเนี่ย"
"ฮืออออ... แม่จ๋า อะตอมหิววววว ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ววว"
เสียงร้องงอแงดังมาจากฟูกนอน อะตอมลูกสาวคนเล็กกลิ้งตัวออกมาจากผ้าห่มลายการ์ตูน ผมเผ้ายุ่งเหยิง แก้มยุ้ยๆ แดงระเรื่อจากการเพิ่งตื่นนอน เธอเบะปากเตรียมจะร้องไห้เพราะความหิว
"โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะคนเก่ง" มินตราละมือจากหม้อหุงข้าว รีบเข้าไปกอดลูกสาวแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่เพื่อปลอบโยน ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกออโต้ให้มาหากัน
"มามะ พี่ออโต้มาหาแม่ครับ วันนี้หม้อหุงข้าวป่วย เดี๋ยวแม่ทำแซนด์วิชไข่ให้กินแทนดีไหม? อร่อยเหมือนกันนะ"
"กินคับ! / กินค่า!" สองแฝดประสานเสียงพร้อมกัน ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
ชีวิตของมินตราตลอด 4 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่าย จากอดีตพนักงานพาร์ฺทไทม์ที่เกิดเรื่องไม่น่าจดจำกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องหอบลูกมาเช่าบ้านอยู่แถบชานเมือง เธอต้องทำงานสารพัดอย่างเพื่อหาเงิน ทั้งรับจ้างพิมพ์งาน ขายของ งานนายหน้า แปลเอกสาร เพื่อหาค่านมและค่าเช่าบ้าน ยิ่งลูกโต ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเยอะตามตัว
ระหว่างที่มินตรากำลังทอดไข่ดาว ออโต้เดินถือกระดาษแจ้งหนี้ค่าไฟที่เพิ่งมีคนมาเสียบไว้หน้าบ้านมายื่นให้
"แม่จ๋า มีกระดาษแปะหน้าบ้านด้วย"
มินตรารับมาดูแล้วลอบถอนหายใจ... บิลค่าไฟมาอีกแล้วเหรอ
"ขอบใจจ้ะลูก... เดี๋ยวแม่จัดการเอง ออโต้กับอะตอมไปล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวนะ วันนี้ป้าสมรจะมาอยู่เป็นเพื่อน"
ลูกฝาแฝดชายหญิงตัวน้อยของเธอพยักหน้าก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย
มินตรามองดูลูกน้อยที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ
ไม่นึกไม่ฝันว่า คืนนั้้นที่เธอมีอะไรกับชายแปลกหน้า หลังจากนั้นเธอจะท้อง
ตอนนั้นเธอมีสองทางเลือก แต่โชคดีที่เธอเลือกที่จะไม่ทำแท้ง ไม่งั้นชีวิตของเธอคงไม่รู้จักความสุขได้ขนาดนี้
แม้การเลี้ยงเด็กฝาแฝดสองคนจะลำบากมาก แต่ไม่มีวันไหนเลยที่เธอไม่มีความสุข
เหนื่อยแค่ไหน แค่ได้เห็นออโต้กับอะตอมเธอก็ยิ้มออก
นี่แหละชีวิตคนเป็นแม่…
ช่วงสายของวัน หลังจาก ป้าสมรเพื่อนบ้านวัยเกษียณที่มินตราจ้างมาช่วยดูเด็กๆ มาถึง มินตราก็รีบแต่งตัวออกมานัดเจอกับ แพตตี้เพื่อนสาวคนสนิททันที
ร้านกาแฟโบราณในตลาดคือสถานที่นัดพบ แพตตี้ในชุดพนักงานออฟฟิศสีฉูดฉาดวางแก้วโอเลี้ยงลงบนโต๊ะเสียงดังปัง
"แกต้องฟังฉันนะมิน! นี่คือโอกาสทองฝังเพชร!" แพตตี้ตาโตเท่าไข่ห่าน ยื่นหน้าจอแทปเล็ตมาจ่อตรงหน้า
"เอ็มไพร์ กรุ๊ป เปิดรับสมัครเลขาท่านประธานคนใหม่! เงินเดือนสตาร์ทแปดหมื่น! ย้ำว่าแปดหมื่น!"
"แปดหมื่น!" มินตราตาโต "บ้าไปแล้ว งานเลขาอะไรเงินเดือนขนาดนั้น? ต้องไปค้ายาหรือเปล่าแก?"
"บ้า! บริษัทอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศย่ะ" แพตตี้ลดเสียงลงกระซิบ "แต่ที่เงินเดือนสูงลิบ เพราะว่า... ไม่มีใครทนท่านประธานได้เกิน 3 วันน่ะสิ เขาว่ากันว่า คุณออสตินท่านประธานน่ะ ทั้งดุ ทั้งเนี๊ยบ จู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าแม่ผัว แถมยัง... เกลียดผู้หญิงสวยเข้าไส้!"
"ห๊ะ? ใครนะ" ชื่อของชายที่เธอได้ยิน ทำให้มินตราถึงกับชะงักไป
“คุณออสตินไง ออกจะดังแกไม่รู้จักเหรอ”
ออสติน… แค่เธอได้ยินชื่อ ก็ส่ายหน้าทันที นั่นเป็นผู้ชายที่ฉกความสาวของเธอไป แถมยังเป็นพ่อของอะตอมกับออโต้อีก
หลังจากที่เธอหนีออกมาวันนั้น แต่ที่หนีไม่ได้เลยคือใบหน้าหล่อเหลานั่น เธอเคยเห็นเขาอยู่ในสื่อธุรกิจบ่อยๆ ซึ่งเธอแอบโล่งใจที่ชีวิตของเธอกับเขาไม่ต้องมาโคจรเจอกัน กลัวว่าเขาจะมาแย่งเอาลูกไป
"รู้ แต่ฉันว่าฉันหางานใหม่ดีกว่า" มินตราหน้าซีด "ฉันไปทำงานที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด"
"แกจะบ้าเหรอ! แล้วแกจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเทอมอนุบาลให้ออโต้กับอะตอม? เห็นบ่นว่าอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ใกล้บ้านไม่ใช่เหรอ? เงินเดือนแปดหมื่นนะมิน! เดือนเดียวตั้งตัวได้เลยนะ!"
คำว่าลูก เป็นเหมือนกุญแจไขล็อกความกลัวในใจมินตรา ภาพหน้าลูกแฝดวัย 4 ขวบที่กำลังกินกำลังนอนลอยขึ้นมา
มินตราสูดหายใจเข้าลึกๆ คำว่าลูกทำให้เธอหยุดคิด
"... "
“ไปลองหน่อยสิแก ออโต้กับอะตอมจะได้มีของเล่นใหม่ๆบ้าง” แพตตี้เขย่าแขนเพื่อน
มินตราถอนหายใจ เงินเดือน8หมื่นกับชายที่เธออยากหนี เธอจะตัดสินใจยังไงดี
เช้าวันสัมภาษณ์งาน มินตรายืนถอนหายใจอยู่หน้ากระจก เมื่อวานเธอตัดสินใจได้ว่า เธอจะทำ เพราะออโต้กับอะตอมแอบคุยกันว่าอยากได้ของเล่นใหม่แบบหลานข้างบ้านบ้าง เธอได้ยินก็แอบปาดน้ำตา นี่เธอเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอใช่ไหม
เธอตัดสินใจทำ แต่ก่อนจะไปที่นั่น เธอต้องแปลงโฉม ไม่ให้เขาจำเธอได้
บนโต๊ะเครื่องแป้ง อุปกรณ์ถูกวางเรียงราย ทั้งรองพื้นสีเข้มกว่าผิวจริง 3 เฉด, วิกผมทรงคุณป้าดัดลอนหยิกหยอย, แว่นตากรอบหนาเตอะ, และชุดสูทสีตุ่นตัวโคร่งที่ทำให้ดูหุ่นตัน
มินตราลงมือบรรเลงศิลปะบนใบหน้า ทารองพื้นสีคล้ำ เขียนคิ้วหนาเตอะ ปัดแก้มสีส้มอิฐ และตบท้ายด้วยการเติมไฝเม็ดเป้งที่มุมปาก
เมื่อสวมแว่นตาเสร็จ เธอยืนมองตัวเองในกระจก
"โอ้โห..." มินตราอุทาน "ป้าขายประกันที่ไหนเนี่ย?"
ภาพในกระจกคือหญิงวัยกลางคนที่ดูเชยเฉิ่ม ไร้รสนิยม ออสตินไม่มีทางจำเธอได้แน่!
"ป้าสมรคะ ฝากดูเด็กๆ ด้วยนะคะ เดี๋ยวตอนเย็นมินรีบกลับ" มินตราตะโกนบอกป้าสมรที่กำลังเปิดทีวีดูข่าวเช้า ก่อนจะเดินไปหาลูกแฝดที่นั่งเล่นตัวต่อกันอยู่ที่พื้น
"ออโต้ อะตอม แม่ไปทำงานก่อนนะลูก"
มินตราในคราบ ป้าแว่น เดินเข้าไปหาลูก
อะตอมเงยหน้าขึ้นมองแล้วทำตาโต อ้าปากค้างจนน้ำลายยืด "คุณป้า... เป็นใครคะ?" หนูน้อยรีบคลานไปหลบหลังพี่ชายด้วยความกลัว
"แม่เองจ้ะลูก! แม่เอง!" มินตราหัวเราะแห้งๆ พยายามทำเสียงอ่อนโยน "แม่ต้องแต่งตัวแบบนี้ไปทำงานไงจ๊ะ เป็นชุด... เอ่อ... ชุดแฟนซี!"
ออโต้ละสายตาจากตัวต่อ หันมามองแม่ด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนกำลังประมวลผล ก่อนจะเอียงคอถามซื่อๆ
"แม่จ๋า... ทำไมแม่หน้าเหมือนแม่มดในนิทานเลย"
"อุ๊ย... ไม่ใช่แม่มดลูก เขาเรียกว่าแฟชั่นผู้ใหญ่จ้ะ" มินตราเหงื่อตกซิก "เอาเป็นว่า ถ้าแม่ได้งานนี้ เย็นนี้เราจะได้กินไก่ทอดกันเยอะๆ เลย! ตกลงไหม?"
"ไก่ทอด!" คำพูดทำให้อะตอมลืมความกลัว รีบวิ่งเข้ามากอดขาแม่ "คุณแม่แม่มดใจดี หนูจะเอา5ขาเลยนะคะ"
ออโต้พยักหน้าหงึกหงัก "เอาไก่ทอดเยอะๆ นะคับแม่"
มินตราก้มลงหอมแก้มยุ้ยๆ ของลูกทั้งสองคนเพื่อเติมพลังใจ แม้ออโต้จะพยายามเอามือเช็ดแก้มเพราะกลัวรองพื้นแม่ติดหน้าก็เถอะ
หญิงสาวในคราบป้าแว่นเดินออกจากบ้านไปด้วยความมุ่งมั่น โดยมีสายตาใสซื่อของลูกน้อยสองคู่มองตามหลัง และเสียงเล็กๆ ของออโต้ที่หันไปคุยกับน้องสาว
"อะตอม... แม่แต่งตัวตลกจังเนอะ"
นาฬิกาดิจิทัลบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง ภายในเพนท์เฮาส์สุดหรูบนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมย่านดังที่มองเห็นวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา ออสตินทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังสีดำตัวยาว เขาปลดเนกไทราคาแพงโยนทิ้งไปบนพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนออกเพื่อระบายความอึดอัดที่สุมอยู่ในอก"น่ารำคาญ..."ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงต่ำ มือหนาคว้าแก้ววิสกี้ที่รินค้างไว้ขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว ความร้อนของแอลกอฮอล์บาดลึกไปในลำคอ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับไฟโทสะที่กรุ่นอยู่ในใจเขาตลอดทั้งบ่ายสาเหตุของความหงุดหงิดไม่ใช่เรื่องหุ้นตก ไม่ใช่เรื่องคู่แข่งทางธุรกิจ... แต่เป็นยัยป้าเลขาหน้าใหม่ที่ชื่อมินตราคนนั้น…ทั้งที่เขากลั่นแกล้ง หวังจะเห็นเธอทำงานพลาด แต่กลายเป็นว่าตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา เธอทำงานได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติจนน่าขนลุก เอกสารทุกชิ้นถูกจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ตารางงานถูกจัดใหม่จนมีประสิทธิภาพสูงสุด กาแฟที่เธอชงมาให้ก็รสชาติดีจนเขาหาเรื่องติไม่ได้ยิ่งเธอทำดี เขายิ่งหงุดหงิด!มันเหมือนทฤษฎีของเขาถูกสั่นคลอน ปกติผู้หญิงที่เข้ามาทำงานกับเขามีแค่สองประเภท คือ 'สวยแต่โง่' หรือ 'เก่งแต่ขี้อวด' แต่ยัยป้านี่กลั
อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ใจกลางย่านธุรกิจ บรรยากาศภายในชั้นผู้บริหารสูงสุดที่ปกติจะเงียบสงบและเต็มไปด้วยความหรูหรา วันนี้กลับคุกรุ่นไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากห้องทำงานใหญ่ที่ปลายสุดทางเดิน"ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันบอกว่าอย่าอ่อย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!"เพล้ง!เสียงตวาดลั่นดุจฟ้าผ่าตามมาด้วยเสียงแก้วแตกกระจาย ดังทะลุประตูไม้สักบานหนาออกมา ทำเอาบรรดาผู้สมัครงานสาวสวยห้าคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง ตัวสั่นงันงกราวกับลูกนกตกน้ำวินาทีต่อมา ประตูห้องท่านประธานก็ถูกกระชากเปิดออก ร่างระหงของเลขาคนสวยในชุดเดรสรัดรูปวิ่งร้องไห้โฮออกมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า เครื่องสำอางราคาแพงไหลเยิ้มเปรอะเปื้อนใบหน้า"ฮือๆๆ... โรคจิต ใครจะไปทนทำงานด้วยได้วะ" เธอตะโกนก้องก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในลิฟต์ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกและความหวาดผวาให้แก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่"คนต่อไป! เข้ามา!"เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากห้องนั้น มันไม่ใช่คำเชิญชวน แต่เหมือนเรียกไปรับโทษ ผู้สมัครสาวสวยคนแรกที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดหน้าซีดเผือด เธอลุกขึ้นยืนขาสั่นพับๆ หันมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วส่ายหน้า"มะ... ไม
"แม่จ๋า..."เสียงเล็กๆ ที่เจือความน่าเอ็นดูดังขึ้นทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่ในบ้านเช่าหลังเล็กชานเมืองมินตราที่กำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าสะดุ้งตื่น ร่างบางรีบดีดตัวลุกจากฟูกนอนที่ปูอยู่กับพื้นห้องโล่งๆ"สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย" มินตราพึมพำกับตัวเอง พลางรีบกุลีกุจอวิ่งไปดูที่มุมครัวเล็กๆภาพที่เห็นคือ ออโต้ลูกชายคนโตวัย 4 ขวบ ยืนเขย่งปลายเท้า เกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว จ้องมองหม้อหุงข้าวเก่าคร่ำครึด้วยสายตานิ่งๆ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยว่าทำไมแสงไฟสีแดงถึงไม่ทำงาน ส่วนมือป้อมๆ ก็พยายามกดสวิตช์ย้ำๆ"แม่จ๋า กดแล้วมันเด้งขึ้นมาตลอดเลย" เด็กชายฟ้องเสียงอ่อย หันมามองแม่ด้วยแววตาที่ถอดแบบมาจาก ผู้ชายคนนั้น ราวกับแกะ ทั้งดวงตาคมกริบที่ดูนิ่งเกินวัยและโครงหน้าที่ฉายแววหล่อแต่เด็ก แต่ในเวลานี้มันเต็มไปด้วยความผิดหวังแบบเด็กๆ ที่หิวข้าว"โธ่ลูก... หม้อใบนี้มันเกเรอีกแล้วเหรอครับ" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเข้าไปดู ก็พบว่าหม้อหุงข้าวคู่ยากนิ่งสนิทไปแล้วจริงๆ "สงสัยคราวนี้จะพังจริงๆ แล้วล่ะลูก เอายังไงดีล่ะเนี่ย""ฮืออออ... แม่จ๋า อะตอมหิววววว ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ววว"เสียงร้องงอ
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านเนื้อหนา เข้ามากระทบเปลือกตาที่ปิดสนิทของหญิงสาวที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงกว้าง ความรู้สึกแรกที่มินตราสัมผัสได้ไม่ใช่ความสดชื่นของการตื่นนอน แต่เป็นความปวดร้าวที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ราวกับร่างกายของเธอเพิ่งผ่านสงครามอันหนักหน่วงมาหมาดๆ "อือ..."เสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ มินตราพยายามขยับตัว แต่ก็พบว่ามีบางสิ่งพาดทับอยู่ช่วงเอว ความอึดอัดนั้นทำให้เธอต้องฝืนลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาที่ยังพร่ามัวคือท่อนแขนกำยำที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผิวสีแทนเข้มตัดกับความขาวสะอาดของผ้าปูที่นอน ไล่สายตาขึ้นไป เธอพบแผ่นอกกว้างที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกนิด ลมหายใจของเธอก็สะดุดกึกใบหน้าคมเข้มของชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มพาดเฉียง และริมฝีปากหยักลึกที่ดูดุดันแม้ในยามหลับใหลสมองที่เคยว่างเปล่าของมินตราเริ่มประมวลผล ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวานเริ่มไหลย้อนกลับมา. งานเลี้ยงหน้ากากที่บริษัทส่งเธอมา"ไม่จริง..."เสียงหวานกระซิบกับตัวเองด้วยค
บทที่ 1: คืนแห่งกลลวง เสียงดนตรีแจ๊สแว่วหวานผสานกับเสียงพูดคุยจอแจของผู้คนในชุดราตรีหรูหราดังก้องไปทั่วห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของโรงแรมระดับหกดาว ใจกลางมหานครที่เต็มไปด้วยแสงสี งานเลี้ยงหน้ากากการกุศลประจำปีของตระกูลดังช่างดูงดงามราวกับภาพฝันสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับ มินตราหญิงสาวในชุดเดรสยาวสีน้ำเงินเข้มที่ขับผิวขาวผ่องให้ดูโดดเด่น สถานที่แห่งนี้คือความอึดอัดที่เธออยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุดใบหน้าสวยหวานถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากขนนกสีขาวเหลือบเงิน เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อและดวงตากลมโตที่ฉายแววกังวล เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคู่ครองหรือโอ้อวดความร่ำรวยเหมือนคุณหนูไฮโซคนอื่น แต่เธอมาในฐานะ ตัวแทนของเจ้านายที่บังเอิญป่วยกะทันหัน หน้าที่ของเธอเพียงแค่นำของขวัญมามอบให้เจ้าภาพและรีบกลับ แต่นั่นคือสิ่งที่เธอคิด... ก่อนที่แก้วไวน์ใบนั้นจะถูกยื่นมาตรงหน้า"ดื่มหน่อยสิครับคุณผู้หญิง เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพ" บริกรหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรมินตราปฏิเสธไม่เป็น เธอจิบมันไปเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาท แต่เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โลกทั้งใบของเธอก็เริ่มหมุนคว้างความร้อนวูบวาบประหลาดเริ่มก







