ログインบรรยากาศภายในห้องทำงานกว้างขวางบนชั้นผู้บริหารสูงสุดของเอ็มไพร์ทาวเวอร์ในยามบ่ายแก่ๆ นั้นตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด กองเอกสารสัญญาก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่วางระเกะระกะอยู่เต็มโต๊ะทำงานตัวใหญ่
ออสตินนั่งหน้าเครียด คิ้วขมวดจนเป็นปม นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะเป็นจังหวะถี่รัวบ่งบอกถึงความหงุดหงิดที่พุ่งสูง
"คุณมินตรา!"
เสียงทุ้มต่ำตวาดเรียกชื่อเลขาหน้าห้องผ่านอินเตอร์คอม เสียงนั้นดังก้องจนมินตราที่กำลังนั่งจัดตารางของเจ้านายเดือนนี้อยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง ปากกาในมือแทบร่วง
"คะ... ค่ะท่านประธาน!" เธอกดปุ่มตอบรับเสียงสั่น
"เข้ามานี่เดี๋ยวนี้ เอาสรุปโครงการที่ระยองมาด้วย ผมต้องการตัวเลขที่แน่นอนตอนนี้!"
"รับทราบค่ะ"
มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขยับแว่นตากรอบหนาให้เข้าที่ จัดทรงวิกผมทรงป้าให้ดูรุงรังน้อยที่สุด ก่อนจะคว้าแฟ้มเอกสาร
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป รังสีที่ไม่น่าเข้าใกล้จากร่างสูงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็แผ่พุ่งออกมา ออสตินเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ
"ช้า... ฉันเรียกสามวินาทีต้องถึงโต๊ะ" เขาบ่นอุบ
"ขอประทานโทษค่ะท่าน พอดีดิฉัน..."
"ช่างเถอะ มาดูนี่" ออสตินตัดบท กวักมือเรียกเธออย่างเอาแต่ใจ "ตัวเลขตรงงบประมาณวัสดุตรงนี้... ทำไมมันไม่ตรงกับที่ฝ่ายจัดซื้อเสนอมา"
มินตราเดินเข้าไปหยุดยืนหน้าโต๊ะ รักษาระยะห่างประมาณสองเมตรตามกฎความปลอดภัยของหัวใจและร่างกาย
"เอ่อ... ตรงไหนคะท่าน" เธอชะเง้อคอมองจากระยะไกล
"ยืนอยู่ตรงนั้นจะไปเห็นอะไร!" ออสตินเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหงุดหงิด "สายตาเธอก็แย่อยู่แล้ว เข้ามาใกล้ๆ สิ! มาชี้ให้ฉันดูว่าเธอคำนวณยังไง!"
"ตะ... แต่กฎบอกว่าห้ามเข้าใกล้ท่านเกิน..."
"ฉันเป็นคนตั้งกฎ ฉันก็ยกเลิกกฎได้ มานี่!"
ออสตินออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด มินตราจำใจต้องก้าวเท้าเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานตัวใหญ่อย่างเสียไม่ได้ เธอเดินอ้อมไปยืนด้านข้างเก้าอี้ของเขา พยายามกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงและกลิ่นบุหรี่จางๆ จากตัวเขาเข้ามาปั่นป่วนความรู้สึก
"ตรงนี้ค่ะท่าน..." นิ้วเรียว ชี้ลงไปที่ตารางตัวเลขยิบย่อยในเอกสาร "ฝ่ายจัดซื้อคำนวณรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว แต่ฝ่ายบัญชียังไม่ได้รวมค่ะ ดิฉันเลยทำหมายเหตุไว้ตรงนี้..."
ออสตินก้มลงมองตามนิ้วของเธอ ใบหน้าคมคายอยู่ห่างจากมือเธอเพียงคืบ เขาพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจในความรอบคอบของเธอ
"อืม... รอบคอบดี"
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อสั่งงานต่อ จมูกโด่งสันของชายหนุ่มก็ได้กลิ่นที่เข้ามาป่วนเขาในฝันทุกคืน
ออสตินชะงักค้าง ร่างกายแข็งทื่อ มือที่กำลังจับปากกาหยุดนิ่งกลางอากาศ
กลิ่นเดียวกันเปี๊ยบ กลิ่นที่ทำให้เขาคลุ้มคลั่งและโหยหามาตลอด 5 ปี
แต่... มันจะมาจากยัยป้าแว่น คนนี้ได้ยังไง
"ท่านประธานคะ... เป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
มินตราถามเมื่อเห็นเจ้านายนิ่งเงียบไปผิดปกติ เธอเริ่มใจคอไม่ดี หรือว่าเธอคำนวณตัวเลขผิด หรือว่าเขาจับได้ว่าเธอแอบด่าเขาในใจ
ทันใดนั้น...
หมับ!
"ว้าย!"
มินตราวีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ มือหนาพุ่งเข้ามาคว้าข้อมือเธอเอาไว้แน่น แล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างแรงจนร่างบางเสียหลักเซถลาลงไปนั่งแหมะอยู่บนตักแกร่งของเขา
หญิงสาวรู้สึกเหมือนจะตัวสั่น ใจเต้นระทึก
สมองประมวลผลไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น
"ท่านจะทำอะ..."
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค ใบหน้าคมคายของออสตินก็ซุกไซ้เข้ามาที่ซอกคอขาวเนียนของเธออย่างรวดเร็วและดุดัน
"ฮื้อ!"
มินตราตัวแข็งทื่อ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว สัมผัสจากปลายจมูกโด่งและลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดต้นคอ ทำให้สติของเธอแทบกระเจิดกระเจิง
มินตรากลั้นหายใจ พยายามยกมือขึ้นดันใบหน้าของเขาออก
ไม่ติดเงินเดือนแปดหมื่น เธอจะกระชากผมเขาให้หน้าหงาย แล้วเสยด้วยหมัดขวาเข้าที่ปลายคาง
ออสตินหลับตาลง สูดดมกลิ่นหอมนั้น เขาเผลอไผลไปชั่วขณะ ลืมไปว่าผู้หญิงในอ้อมกอดคือ ป้าแว่นเลขาหน้าปลวกที่เขาดูถูก ลืมว่านี่คือที่ทำงาน เขารู้แค่ว่า... เขาต้องดม
ไม่ใช่แค่ดมในฝัน…
ปลายจมูกคมไล่จากซอกคอขึ้นมาที่หลังหู ขบเม้มเบาๆ มือหนาเริ่มลูบไล้ไปตามเอวบางที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อตัวใหญ่ สัมผัสได้ถึงส่วนเว้าส่วนโค้งที่ซ่อนรูป เหลือเชื่อมาก ยัยป้านี่หุ่นดีแต่ปกปิดเอาไว้
แย่แล้ว... แย่แน่ๆ
เสียงเตือนภัยดังลั่นในหัวของมินตรา หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ... ร่างกายของเธอกำลังทรยศ มันเริ่มอ่อนระทวยไปกับสัมผัสของเขา เหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนไม่มีผิด
"ปละ... ปล่อยค่ะท่าน!"
มินตราพยายามรวบรวมสติ ดันอกแกร่งออกสุดแรง แต่มันเหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปงัดท่อนซุง ออสตินไม่ขยับเลยสักนิด แถมยังเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาเธอในระยะประชิด
ดวงตาคมกริบสีนิลคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และแรงปรารถนาบางอย่างที่น่าหวาดหวั่น
"หอม..." เสียงทุ้มครางแผ่วในลำคอ "ทำไมกลิ่นเหมือน... เธอ… เคยไปงานสวมหน้ากากเมื่อห้าปีก่อนไหม”
ออสตินเงยหน้ามองใบหน้าที่สวมแว่นแถมยังมีกระกระจายเต็มหน้า
เขารู้ว่าไม่มีทางที่ยัยป้าเฉิ่มจะเป็นผู้หญิงคนนั้น แต่เขาก็ยังอยากจะถาม
"นะ หน้ากากอะ อะไรคะ" เธอตอบเสียงตะกุกตะกัก พยายามหลบสายตาที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงวิญญาณ
"หน้ากากที่ฉันถอดทิ้ง" ออสตินยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกแทบชนกัน “ถอดทั้งหน้ากาก ทั้งชุด ฉันจำกลิ่นนี้ได้”
สายตาของเขาเริ่มจับจ้องสำรวจใบหน้าเธออย่างละเอียด พยายามมองหาความผิดปกติภายใต้แว่นตาหนาเตอะและจุดกระปลอมๆ นั่น
"มะ ไม่ใช่ ดิ…ฉันค่ะ"
มินตราตั้งสติ เธอรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทตัวโคร่ง เมื่อมือเล็กๆสัมผัสกับขวดยาหม่องน้ำที่เธอพกมาด้วย ก็รีบกดสเปรย์ลงบนมือตัวเองทันที
"กะ กลิ่นดิฉัน เป็นกลิ่นนี้ค่ะท่าน ไม่ใช่กลิ่นคนที่ใส่หน้ากากแน่ๆค่ะ"
เธอยกมือที่ชุ่มไปด้วยกลิ่นยาหม่องน้ำขึ้นป้ายที่แก้มของตัวเอง แล้วป้ายบนจมูกโด่งๆนั่น
“อะไรของคุณ..."
กลิ่นฉุนของเมนทอล พิมเสน และสมุนไพรเข้มข้นก็ฟุ้งออกมา ตัดฉับอารมณ์วาบหวามเมื่อครู่จนขาด
"เฮ้ย! กลิ่นอะไรวะเนี่ย!" ออสตินผงะหงายหลัง กลิ่นหอมละมุนเมื่อกี้หายวับไป เหลือแต่กลิ่นเหมือนคนแก่ตามวัด
ออสตินผลักเลขาจอมเพี้ยนลงจากตักด้วยความรังเกียจ ความโรแมนติกหายวับไปกับตา
มินตราเซถลาไปยืนบนพื้นทันที
"ออกไป..." ออสตินตะโกนไล่
"ขอโทษค่ะท่าน"
"ฉันบอกให้ออกไป!"
"ค่ะๆ ไปแล้วค่ะ"
มินตราถอนหายใจรีบคว้าแฟ้มเอกสาร แล้ววิ่งหนีออกจากห้องทำงานท่านประธานด้วยความเร็วแสง ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งหอบหายใจฟึดฟัดอยู่คนเดียวในห้อง
ออสตินทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ กลิ่นยาหม่องฉุนๆ ยังลอยวนเวียนกลบกลิ่นหอมละมุนเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
"บ้าจริง..." เขาสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย "ฉันเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย ไปเกิดอารมณ์กับยัยป้าแว่นนั่นได้ยังไง?"
เขาถอนหายใจแต่ลึกๆ ในใจ... ความสงสัยยังคงไม่จางหาย
สัมผัสเมื่อครู่ตอนที่มือกอดเอวเธอ มันช่างพอดีมือเหลือเกิน...
และแววตาตื่นตระหนกคู่นั้น... ภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะ มันช่างเหมือนดวงตาของหญิงสาวในคืนนั้นอย่างน่าประหลาด
"มินตรา..." ออสตินพึมพำชื่อนั้นเบาๆ สายตาจ้องมองประตูที่เพิ่งปิดลงอย่างครุ่นคิด
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรออกหาลูกน้องคนสนิท
"เบลก... ฉันมีเรื่องให้ตรวจสอบเกี่ยวกับเลขาคนใหม่... เอาแบบละเอียดที่สุดเท่าที่จะหาได้!"
ทันทีที่พ้นบานประตูไม้บานใหญ่ของห้องทำงานท่านประธาน ร่างระหงภายใต้ชุดเสื้อผ้าตัวโคร่งก็แทบจะทรุดลงกองกับพื้นพรม
มินตราหอบหายใจหนักหน่วง มือบางยกขึ้นทาบอกข้างซ้ายที่หัวใจกำลังเต้นกระหน่ำ ความรู้สึกร้อนวูบวาบ เมื่อครู่ยังคงตกค้างอยู่ ไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น แข้งจาแทบไม่มีแรง แล้วรีบสาวเท้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินตรงดิ่งไปยังห้องน้ำหญิงที่อยู่ตรงมุมสุดของทางเดิน โชคดีที่เวลานี้ไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่
มินตราผลักประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วรีบกดล็อกลูกบิดทันที หญิงสาวทิ้งตัวพิงผนังอย่างหมดแรง ขาสั่นเทาจนเธอต้องค่อยๆ รูดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นกระเบื้อง
“บ้า... บ้าที่สุด...”
เสียงหวานลอดไรฟันออกมาด้วยความเจ็บใจ น้ำตาคลอ
เธอไม่ได้ร้องไห้เพราะความกลัว... แต่เธอกำลังร้องไห้เพราะความโกรธ
เธอโกรธตัวเอง
“ทำไม... ทำไมต้องรู้สึก”
สัมผัสจากวงแขนแกร่งที่รัดรึงรอบเอว ไอร้อนผ่าวจากลมหายใจที่เป่ารดต้นคอ และกลิ่นกายผสมกลิ่นบุหรี่จางๆ ของออสติน มันยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายจมูกและผิวเนื้อของเธอ
ห้าปีที่ผ่านมา... เธอพยายามหลีกหนี พยายามลืมเลือนค่ำคืนนั้น
เธอคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอ แต่เพียงแค่เขาแตะต้องตัวเธอ... เพียงแค่เขาเข้าใกล้นิดเดียว ร่างกายที่ทรยศของเธอกลับตอบสนองเขาอย่างน่าไม่อาย
ความวูบวาบที่ก่อตัวขึ้นในช่องท้องน้อยเมื่อครู่คือหลักฐานชั้นดีที่ตอกย้ำว่า เธอยังลืมรสสัมผัสของเขาไม่ได้
“มินตรา แกอย่าบ้าให้มาก อย่าบ้า…”
หญิงสาวพร่ำบอกตัวเอง พยุงร่างลุกขึ้นยืนหน้ากระจกบานใหญ่
ภาพที่สะท้อนกลับมาคือหญิงสาวในคราบป้าเฉิ่มผมเผ้ารุงรัง แว่นตาหนาเตอะ และใบหน้าที่ลงรองพื้นหนาจนดูหมองคล้ำ
แต่นัยน์ตากลมโตภายใต้กรอบแว่นนั้นกลับไหวระริกและฉ่ำน้ำ
มือเรียวยกขึ้นแตะที่ซอกคอตัวเอง... จุดที่ปลายจมูกโด่งของออสตินเพิ่งกดลงมาสูดดมเมื่อครู่ ความร้อนจากริมฝีปากของเขายังคงทิ้งร่องรอยความรู้สึกวาบหวามเอาไว้
“อย่าหวั่นไหวเด็ดขาด... จำหน้าลูกไว้ นึกถึงหน้าออโต้กับอะตอมไว้”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “คุณมันอันตรายเกินไป... ออสติน”
ต่อไปเธอจะต้องระวังตัวมากกว่านี้
หญิงสาวหยิบกระดาษทิชชู่มาซับหน้า จัดวิกผมทรงรังนก ขยับแว่นตาให้เข้าที่
ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไปด้วยท่าทีที่พยายามจะเข้มแข็ง...
แม้ว่าภายในใจจะยังคงสั่นไหวก็ตาม
บทที่ 8: ความลับในห้องลองเสื้อบรรยากาศในรถลีมูซีนคันหรูที่กำลังแล่นไปบนทางด่วนเงียบกริบจนได้ยินเสียงแอร์ทำงาน ออสตินนั่งไขว่ห้าง กอดอก สายตาคมกริบภายใต้แว่นกันแดดสีชาจ้องมองไปยังสิ่งมีชีวิต ที่นั่งตัวลีบติดประตูรถอีกฝั่งอย่างไม่วางตามินตราในคราบป้าแว่นนั่งเกร็งจนตะคริวจะกินขา มือไม้เย็นเฉียบกำสายกระเป๋าแน่น พยายามทำตัวให้กลมกลืนไปกับเบาะหนังสีดำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้"คุณมินตรา..." จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ"คะ... คะท่านประธาน!" มินตราสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองเจ้านายที่ดูเหมือนพญามารจำศีล"ยาดมยี่ห้ออะไร?""คะ?" มินตรางุนงง ปรับอารมณ์ไม่ถูก"ผมถามว่า ยาดม หรือยาหม่อง หรือน้ำมันมวย หรืออะไรก็ตามที่คุณชโลมมาบนตัวเนี่ย... ยี่ห้ออะไร?" ออสตินถามพลางย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความขัดใจตั้งแต่เช้าที่เธอเดินเข้ามาในออฟฟิศ กลิ่นหอมละมุนของแป้งเด็กที่เขาโหยหาเมื่อวาน หายวับไปกับตา แทนที่ด้วยกลิ่นฉุนกึกของสมุนไพรไทยร้อยแปดชนิดที่ตีกันมั่วไปหมดจนเขาเวียนหัว กลิ่นนี้มันรุนแรงจนกลบทุกกลิ่นในรัศมีสามเมตร"อ๋อ... ยาหม่องตราฤาษีเหยียบโลกค่ะท่าน ผสมกับยาดมสมุนไพรสูตรคุณยายข้างบ้าน พอดี... พอ
ภายในบ้านเช่าหลังเล็กท้ายซอย เสียงพัดลมตั้งโต๊ะตัวเก่งครางฮือๆ ส่ายหน้าไปมาราวกับคนไร้เรี่ยวแรง พัดลมเพียงตัวเดียวที่พยายามพัดพาความร้อนระอุของอากาศเมืองไทย ออกไปจากห้องโถงเล็กๆ แห่งนี้มุมหนึ่งของห้อง บนโซฟาตัวเก่าที่ถูกใช้งานจนเบาะยุบเป็นหลุม ป้าสมรพี่เลี้ยงจำเป็นและเพื่อนบ้านใจดีวัยหกสิบกว่า กำลังเอนหลังหลับใหลอย่างมีความสุข เสียงกรนเบาๆ สลับกับเสียงพัดลมกลายเป็นจังหวะดนตรีกล่อมโลกยามบ่ายแต่สำหรับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยสองชีวิตที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กลางห้อง ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงสักนิด "พี่ออโต้ขา... เบาๆ สิ เดี๋ยวป้าสมรตื่นนะคะ"เสียงกระซิบกระซาบของหนูน้อยอะตอม แฝดน้องสาวตัวกลมดังขึ้นมาแผ่วๆ หนูน้อยในชุดกระโปรงลายดอกไม้สีชมพูมอมแมมไปด้วยคราบช็อกโกแลตที่มุมปาก มือป้อมๆ ข้างหนึ่งกำตุ๊กตากระต่ายเน่าคู่ใจ ส่วนอีกข้างกำถุงขนมปังกรอบที่เหลือแต่เศษผง"พี่รู้น่า…"ออโต้ แฝดพี่ผู้มีมาดขรึมเกินวัย 4 ขวบ ตอบกลับเสียงเบาไม่แพ้กัน เด็กชายอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นนั่งขัดสมาธิอยู่หน้ากองหนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่าๆ ที่แม่เก็บสะสมไว้ใต้โต๊ะญี่ปุ่น ด้วยความที่แม่ไม่อยู่และป้าสมรหลับ ออโต้จึงถือโอกาสร
บรรยากาศภายในห้องทำงานกว้างขวางบนชั้นผู้บริหารสูงสุดของเอ็มไพร์ทาวเวอร์ในยามบ่ายแก่ๆ นั้นตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด กองเอกสารสัญญาก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่วางระเกะระกะอยู่เต็มโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ออสตินนั่งหน้าเครียด คิ้วขมวดจนเป็นปม นิ้วเรียวยาวเคาะโต๊ะเป็นจังหวะถี่รัวบ่งบอกถึงความหงุดหงิดที่พุ่งสูง"คุณมินตรา!"เสียงทุ้มต่ำตวาดเรียกชื่อเลขาหน้าห้องผ่านอินเตอร์คอม เสียงนั้นดังก้องจนมินตราที่กำลังนั่งจัดตารางของเจ้านายเดือนนี้อยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง ปากกาในมือแทบร่วง"คะ... ค่ะท่านประธาน!" เธอกดปุ่มตอบรับเสียงสั่น"เข้ามานี่เดี๋ยวนี้ เอาสรุปโครงการที่ระยองมาด้วย ผมต้องการตัวเลขที่แน่นอนตอนนี้!""รับทราบค่ะ"มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขยับแว่นตากรอบหนาให้เข้าที่ จัดทรงวิกผมทรงป้าให้ดูรุงรังน้อยที่สุด ก่อนจะคว้าแฟ้มเอกสารทันทีที่เปิดประตูเข้าไป รังสีที่ไม่น่าเข้าใกล้จากร่างสูงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็แผ่พุ่งออกมา ออสตินเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ"ช้า... ฉันเรียกสามวินาทีต้องถึงโต๊ะ" เขาบ่นอุบ"ขอประทานโทษค่ะท่าน พอดีดิฉัน...""ช่างเถอะ มาดูนี่" ออสตินตัดบท กวักมือเรียกเธออย่าง
นาฬิกาดิจิทัลบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง ภายในเพนท์เฮาส์สุดหรูบนชั้นสูงสุดของคอนโดมิเนียมย่านดังที่มองเห็นวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา ออสตินทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังสีดำตัวยาว เขาปลดเนกไทราคาแพงโยนทิ้งไปบนพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนออกเพื่อระบายความอึดอัดที่สุมอยู่ในอก"น่ารำคาญ..."ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงต่ำ มือหนาคว้าแก้ววิสกี้ที่รินค้างไว้ขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว ความร้อนของแอลกอฮอล์บาดลึกไปในลำคอ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับไฟโทสะที่กรุ่นอยู่ในใจเขาตลอดทั้งบ่ายสาเหตุของความหงุดหงิดไม่ใช่เรื่องหุ้นตก ไม่ใช่เรื่องคู่แข่งทางธุรกิจ... แต่เป็นยัยป้าเลขาหน้าใหม่ที่ชื่อมินตราคนนั้น…ทั้งที่เขากลั่นแกล้ง หวังจะเห็นเธอทำงานพลาด แต่กลายเป็นว่าตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา เธอทำงานได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติจนน่าขนลุก เอกสารทุกชิ้นถูกจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ตารางงานถูกจัดใหม่จนมีประสิทธิภาพสูงสุด กาแฟที่เธอชงมาให้ก็รสชาติดีจนเขาหาเรื่องติไม่ได้ยิ่งเธอทำดี เขายิ่งหงุดหงิด!มันเหมือนทฤษฎีของเขาถูกสั่นคลอน ปกติผู้หญิงที่เข้ามาทำงานกับเขามีแค่สองประเภท คือ 'สวยแต่โง่' หรือ 'เก่งแต่ขี้อวด' แต่ยัยป้านี่กลั
อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ใจกลางย่านธุรกิจ บรรยากาศภายในชั้นผู้บริหารสูงสุดที่ปกติจะเงียบสงบและเต็มไปด้วยความหรูหรา วันนี้กลับคุกรุ่นไปด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากห้องทำงานใหญ่ที่ปลายสุดทางเดิน"ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันบอกว่าอย่าอ่อย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!"เพล้ง!เสียงตวาดลั่นดุจฟ้าผ่าตามมาด้วยเสียงแก้วแตกกระจาย ดังทะลุประตูไม้สักบานหนาออกมา ทำเอาบรรดาผู้สมัครงานสาวสวยห้าคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง ตัวสั่นงันงกราวกับลูกนกตกน้ำวินาทีต่อมา ประตูห้องท่านประธานก็ถูกกระชากเปิดออก ร่างระหงของเลขาคนสวยในชุดเดรสรัดรูปวิ่งร้องไห้โฮออกมาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า เครื่องสำอางราคาแพงไหลเยิ้มเปรอะเปื้อนใบหน้า"ฮือๆๆ... โรคจิต ใครจะไปทนทำงานด้วยได้วะ" เธอตะโกนก้องก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในลิฟต์ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกและความหวาดผวาให้แก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่"คนต่อไป! เข้ามา!"เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากห้องนั้น มันไม่ใช่คำเชิญชวน แต่เหมือนเรียกไปรับโทษ ผู้สมัครสาวสวยคนแรกที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุดหน้าซีดเผือด เธอลุกขึ้นยืนขาสั่นพับๆ หันมามองเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้วส่ายหน้า"มะ... ไม
"แม่จ๋า..."เสียงเล็กๆ ที่เจือความน่าเอ็นดูดังขึ้นทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่ในบ้านเช่าหลังเล็กชานเมืองมินตราที่กำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าสะดุ้งตื่น ร่างบางรีบดีดตัวลุกจากฟูกนอนที่ปูอยู่กับพื้นห้องโล่งๆ"สายป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย" มินตราพึมพำกับตัวเอง พลางรีบกุลีกุจอวิ่งไปดูที่มุมครัวเล็กๆภาพที่เห็นคือ ออโต้ลูกชายคนโตวัย 4 ขวบ ยืนเขย่งปลายเท้า เกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว จ้องมองหม้อหุงข้าวเก่าคร่ำครึด้วยสายตานิ่งๆ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยว่าทำไมแสงไฟสีแดงถึงไม่ทำงาน ส่วนมือป้อมๆ ก็พยายามกดสวิตช์ย้ำๆ"แม่จ๋า กดแล้วมันเด้งขึ้นมาตลอดเลย" เด็กชายฟ้องเสียงอ่อย หันมามองแม่ด้วยแววตาที่ถอดแบบมาจาก ผู้ชายคนนั้น ราวกับแกะ ทั้งดวงตาคมกริบที่ดูนิ่งเกินวัยและโครงหน้าที่ฉายแววหล่อแต่เด็ก แต่ในเวลานี้มันเต็มไปด้วยความผิดหวังแบบเด็กๆ ที่หิวข้าว"โธ่ลูก... หม้อใบนี้มันเกเรอีกแล้วเหรอครับ" มินตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ รีบเข้าไปดู ก็พบว่าหม้อหุงข้าวคู่ยากนิ่งสนิทไปแล้วจริงๆ "สงสัยคราวนี้จะพังจริงๆ แล้วล่ะลูก เอายังไงดีล่ะเนี่ย""ฮืออออ... แม่จ๋า อะตอมหิววววว ท้องร้องจ๊อกๆ แล้ววว"เสียงร้องงอ







