LOGINบทที่ 7 สะดุดเพื่อโต้กลับ
น้ำตาของไท่หวงไท่โฮว่อาจทำให้ผู้คนใจอ่อน แต่น้ำตาที่ตกลงบนเลือดของอดีตสตรีในวัง ย่อมไม่ชะล้างบาปได้
พระตำหนักเย็นซึ่งเจิ้งซูเฟยพำนัก ถูกลือว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ การลอบพบขุนนาง การส่งคนไปยังจวนตระกูลเก่า
ความเคลื่อนไหวของฝ่ายซูเฟยสะกิดเสี้ยนออกมา เจิ้งซูเฟยรู้ดีว่า…เรื่องนี้ต้องมีคนปล่อยข่าว จึงแสร้งส่งของขวัญเล็ก ๆ ไปยังขุนนางที่เคยเป็นคนของนางในอดีต
ของขวัญนั้นไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย แต่มีข้อความแฝงเป็นนัยว่า
อดีตมิใช่สิ่งควรลืม
ข่าวถูกส่งให้หลุดไปถึงหูของขันทีไท่หวงไท่โฮว่โดยจงใจ
ไม่ถึงสามวัน
ไท่หวงไท่โฮว่ส่งคนเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขอให้ทรง ระวังว่ามารดาของพระองอาจกำลังพยายามเปลี่ยนราชสำนักให้เป็นของตนเอง และในที่สุด…ก็มีขุนนางผู้หนึ่งยื่นฎีกาเข้าเฝ้าฮ่องเต้
“หม่อมฉันทราบข่าวลือว่า เจิ้งซูเฟยอาจวางแผนดึงอำนาจจากฝ่ายใน และนำอดีตตระกูลตนกลับสู่ราชสำนัก”
“ขอฝ่าบาทโปรดทรงสอบสวน หากไม่เป็นความจริง…ย่อมไม่มีสิ่งใดเสียหาย”
ฮ่องเต้หลุบตา ไม่กล่าวสิ่งใด แต่คนใกล้ชิดรู้ว่า สีพระพักตร์ของพระองค์นั้นไม่เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อนตั้งแต่นั่งบนบัลลังก์ต่อจากบิดา
ขณะที่ไท่หวงไท่โฮว่คิดว่าฮ่องเต้จะเริ่มจำกัดซูเฟยกลับเกิด พระราชโองการฉับพลัน ขึ้น
“เพื่อระลึกถึงคุณแห่งพระมารดาแท้ เจิ้งซูเฟยจะได้รับพระนามเป็น ‘ไท่เฟย’ และตำหนักใหม่จะถูกบูรณะขึ้นตามเกียรติของผู้เคยอุ้มชูองค์จักรพรรดิ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นกลางท้องพระโรง
ไท่หวงไท่โฮว่นิ่งไป แววตาเปลี่ยนจากเศร้าเป็นแข็ง
ยามค่ำคืน พระตำหนักไท่ฮวายังสว่างไสวไท่หวงไท่โฮว่เอนกายลงบนเบาะนุ่ม แต่ดวงตาไร้ซึ่งความง่วง
ขันทีเก่าที่เคยโดนย้ายออกวังกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง…ในคราบของพ่อค้าหัวเมือง
เขามิใช่เพียงพ่อค้า แต่เป็นสายลับที่ไท่หวงไท่โฮว่เก็บไว้ และเริ่มส่งข่าวไปยังขุนนางชายแดน ที่ยังภักดีต่อบ้านเดิมของไท่หวงไท่โฮว่
“เจ้ากล่าวว่า…ครั้งนั้นก่อนถูกส่งออกไปเจิ้งซูเฟยเคยเขียนจดหมายลับให้ขุนนางคนหนึ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นขุนนางจากสำนักกลาโหม มีชื่อเสียงเรื่องกล้าหาญ แต่สุดท้ายถูกใส่ร้ายแล้วหายสาบสูญ”
ไท่หวงไท่โฮว่ยิ้ม “งั้นก็ถึงเวลาขุดกระดูกเขากลับมาจากดินเสียที”
ไท่หวงไท่โฮว่กล่าวเพียงคำเดียว
“ในเมื่อเขาเริ่มปูนบันไดให้เจิ้งซูเฟยปีนขึ้น…เราก็แค่ทำให้บันไดนั้นพังลงใต้เท้านาง”
เจิ้งซูเฟยนั่งทอดสายตาไปยังพระตำหนักสูงที่ซึ่งอดีตของนางถูกพรากไป
นางกำนัลคนสนิทที่ติดตามมาของนางกล่าวเบา ๆ
“นายหญิงจะรับศักดิ์ไท่เฟยจริงหรือ”
ซูเฟยนิ่ง แล้วเอ่ยเพียงคำเดียว
“บางสิ่ง หากไม่ยอมรับ…ย่อมไม่มีสิทธิ์ทวงคืน แต่เมื่อยอมรับแล้ว…ก็จงอย่าให้ใครพรากไปอีก”
สงครามระหว่างสตรี…ไม่ต้องใช้ดาบ
เพียงคำพูด คำลือ น้ำตา และความทรงจำ…ก็เปลี่ยนกระดานได้ทั้งกระดาน
และเมื่อไท่เฟยปรากฏ…ไท่หวงไท่โฮว่จะยังยิ้มได้อีกนานสักเท่าไร หญิงใดจะบริสุทธิ์จริง หากอยู่ในวังหลวงมาเกินสิบปี
และหากสตรีนั้น…เคยถูกลืมเลือนจากประวัติศาสตร์ นางย่อมมีบางสิ่งที่อยากลืมมากกว่าผู้ใด
ในขณะเจิ้งซูเฟยได้รับพระนาม ไท่เฟย ขุนนางคนหนึ่งยื่นฎีกาอย่างไม่เปิดเผย
“มีเรื่องเล่าจากอดีต…ว่าครั้งยังเป็นเพียงสนมตัวเล็ก ๆ ในวัง เจิ้งซูเฟยเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับขุนนางที่ไม่ควรเกี่ยวข้องกัน ในปีที่ขุนนางผู้นั้นหายตัวอย่างไร้ร่องรอย ใครบางคนก็เริ่มมีอำนาจ…”
ข่าวลือเริ่มแพร่ในหมู่ขันที ว่าซูเฟยอาจเคยเป็นมากกว่า ‘มเหสี’…อาจเคยสวมหมวกเขียวให้อดีตฮ่องเต้
คนสนิทเอ่ยด้วยความลังเล
“นายหญิง…มีคนลือว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านเคยเขียนจดหมายลับให้อัครเสนาบดีเก่าผู้นั้น”
เจิ้งซูเฟยวางถ้วยชา แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ความลับบางอย่าง…ไม่ใช่เพราะผิด แต่เพราะสมัยนั้น ใครไม่ซ่อน…ย่อมไม่รอด”
ความลังเลเริ่มก่อตัว แม้ทรงปกป้องพระมารดาทุกทาง แต่ฮ่องเต้ไม่อาจละเลยคำครหาที่เริ่มกระซิบอยู่ทั่ววัง
อัครมหาเสนาบดีถามตรงกลางราชสภา
“ฝ่าบาททรงแน่พระทัยหรือไม่ ว่าไท่เฟยมิได้มีความเกี่ยวข้องกับการล่มของขุนนางกลาโหมเมื่อปีกลาย”
“หากมีจดหมายลับจริง…แสดงว่านางมีอิทธิพลเบื้องหลังมากกว่าที่พวกเราคิด”
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







