Share

บทที่ 5

Author: ซุปเม็ดบัวน้ำตาลกรวด
พิณยมทูตหัวเราะเฮอะ ๆ กล่าวว่า “เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อย สามารถพาเด็กคนนี้หนีมาจากทวีปเซียนจื่อเจ๋อถึงที่นี่ได้ ก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้ว แต่น่าเสียดายที่โชคดีของเจ้า เมื่อพบกับพวกเราก็ถึงคราวจบสิ้น!”

พิณยมทูตดีดพิณไม่เป็นจังหวะ เงาที่ส่งผ่านจากสายพิณกลายเป็นรูปร่างบิดเบี้ยวทอเป็นตาข่ายใหญ่ พุ่งไปครอบคลุมเยว่สือจากด้านบน เส้นสายในตาข่ายนี้คมกริบยิ่งกว่าใบมีด เพียงชั่วพริบตาก็สามารถเฉือนเนื้อเยว่สือได้เป็นชิ้น ๆ

ส่วนปีศาจเฒ่าดาบมังกรก็ไม่ยอมแพ้ ตะขอเหล็กถูกผูกติดกับโซ่เหล็กพุ่งตรงไปที่เยว่สือ ฉีกเนื้อออกจากขาของเขา แล้วเปลี่ยนทิศทาง ตะขอนั้นพุ่งไปที่แขนของเยว่สือ...

ในช่วงวิกฤตนั้น เยว่เจี้ยนเวยที่ดูเหมือนยืนนิ่งราวกับหุ่นไม้แม้แต่จะวิ่งก็ไม่รู้จักวิ่ง กลับเอียงกายหมุนตัว กริชเล่มหนึ่งพลันปักเข้าที่หัวใจของปีศาจเฒ่าดาบมังกรโดยทันที

ปีศาจเฒ่าดาบมังกรรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจ ได้แต่ก้มมองด้ามกริชซึ่งโผล่พ้นออกมา—

ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้ เขาฝึกวิชากายทองคำสำเร็จแล้ว แม้ผิวหนังจะให้สัมผัสไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริง อาวุธธรรมดาย่อมไม่อาจแทงทะลุได้ แล้วเด็กน้อยที่ยังไม่มีแกนพลังวิญญาณ จะสามารถแทงเข้าอกเขาด้วยกริชเพียงเล่มเดียวได้อย่างไร?

ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นพล่าน ปีศาจเฒ่าดาบมังกรโกรธจัด ตะโกนว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า” ก่อนดึงคมตะขอกลับมาสับไปที่ใบหน้าของเยว่เจี้ยนเวย

เยว่เจี้ยนเวยหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วก็ยังช้าไปไม่น้อย ใบหน้าด้านซ้ายทั้งหมดถูกตะขอคมกริบกรีดเป็นร่องลึกจนเห็นกระดูกสามแนว คว้านลึกไปทั่วทั้งใบหน้าด้านซ้าย

“นายน้อย!” ด้วยความที่เยว่สือลดการโจมตีลงครึ่งหนึ่ง จึงหลบออกจากตาข่ายพิณมรณะมาได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับเห็นภาพที่ทำให้ตนเองต้องตกใจสุดขีด

“ตายซะ จงตายซะ!” ปีศาจเฒ่าดาบมังกรตาแดงก่ำพุ่งไปฟันเยว่เจี้ยนเวย เยว่เจี้ยนเวยชักแส้สีขาวออกมาจากที่ใดไม่ทราบ สะบัดออกไปราวกับงูเลื้อย ไม่ได้โจมตีส่วนอื่นใดของร่างชายชรา เพียงแต่ม้วนดึงกริชที่ปักลึกบนหน้าอกอีกฝ่ายกลับออกมาเท่านั้น

“พรวด—”

ปีศาจเฒ่าดาบมังกรเลือดพุ่งกระฉูดออกจากหน้าอก หัวใจแตกสลาย ดวงตาเบิกกว้าง ทั่วใบหน้ากลายเป็นสีม่วงดำ ล้มตึงลงไปบนพื้นโดยไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ

เยว่สือวิ่งมาอุ้มเยว่เจี้ยนเวยที่ถูกพลังปะทะกระเด็นออกไป พิณยมทูตเห็นปีศาจเฒ่าดาบมังกรตายแล้วก็ตาถลน ตะโกนเสียงดังด้วยความโศกเศร้าว่า “พี่ใหญ่” จากนั้นจึงโยนพิณขึ้นไปในอากาศ กระโดดขึ้นไปคว้าพิณ แล้วปล่อยสายพิณทั้งหกเส้นออกมา ถักทอเป็นตาข่ายสายพิณนับพันนับหมื่น พุ่งลงมาหมายฆ่าเยว่สือผู้อุ้มเยว่เจี้ยนเวยวิ่งเข้าไปในป่าลึก

คลื่นพลังจากสายพิณมาถึงแล้ว เยว่สือใช้แผ่นหลังกำบังให้แก่เยว่เจี้ยนเวย ก่อนโซเซล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง

เขาตะโกนว่า “นายน้อย รีบหนีไป!”

“คิดจะหนีรึ? ฝันไปเถอะ!” พิณยมทูตอุ้มพิณบินเข้ามา

เยว่เจี้ยนเวยกลิ้งตัวไปบนพื้นสองตลบ ก่อนลุกขึ้นยืนมั่นคง หยิบธนูยาวที่ซ่อนอยู่ในกำไลสรรพภพออกมา

คันธนูสลักอักขระศักดิ์สิทธิ์มากมาย แลดูซับซ้อนและยุ่งเหยิง เมื่อรั้งสายธนู ลวดลายบนนั้นก็ราวกับมีชีวิต แสงสีฟ้าใสไหลเวียนราวกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

เยว่เจี้ยนเวยมือซ้ายถือคันธนู มือขวารั้งสาย ในมือไม่มีลูกธนู แต่กลับกลายเป็นว่าตามการรั้งสายของมือขวาที่ค่อย ๆ ดึงออกไป ในสายธนูพลันมีคลื่นพลังลมหมุนก่อตัวเป็นลูกธนูสีฟ้าอ่อน ลวดลายลำแสงไหลเวียนรวมไปที่ลูกธนูพร้อมกัน

พิณยมทูตเพิ่งจะหัวเราะเยาะ พลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งทะลุอกผ่านไป ยังไม่ทันได้อ้าปาก ลูกธนูสีฟ้าอ่อนนั้นก็ลุกไหม้จากอกของเขา อุณหภูมิของเปลวไฟร้อนแรงยิ่ง เพียงชั่วพริบตา ร่างอันแข็งแกร่งที่ฝึกฝนมานานนับพันปีของพิณยมทูตก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน

เยว่เจี้ยนเวยที่ล้มหงายหลังเพราะใช้พลังมากเกินไป ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ปัดฝุ่นบนมือ พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกกล่าวว่า “จัดการได้แล้ว ก็ไม่เห็นจะแข็งแกร่งเท่าใดนัก”

เยว่สือนั่งอยู่บนพื้นดิน ตะลึงงันราวกับหุ่นไม้

เขาพลันขมวดคิ้ว ยันตัวลุกขึ้น ไม่สนใจบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่บนขา เดินไปข้างกายเยว่เจี้ยนเวย ขมวดคิ้วกล่าวว่า “นายน้อย ท่านกินโอสถรวมวิญญาณเพลิงมรกตอีกแล้ว ไม่ใช่ตกลงกันว่าไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อหรือ?”

แกนพลังวิญญาณโดยกำเนิดของเยว่เจี้ยนเวยไม่สามารถรวมตัวขึ้นมาเอง หากต้องการปล่อยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่ง ก็ทำได้เพียงพึ่งพาโอสถที่ปรุงขึ้นมาให้เขาโดยเฉพาะชนิดนี้

แม้ว่าโอสถรวมวิญญาณเพลิงมรกตจะสามารถรวบรวมแกนพลังวิญญาณของเยว่เจี้ยนเวยได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน หลังใช้ยานี้ จะหลงเหลือความเย็นตกตะกอนในเส้นเอ็น กระดูก และโลหิต ทำให้ตัวคนมึนงงสับสน กว่าจะขจัดผลข้างเคียงได้หมด บางครั้งก็ต้องใช้เวลานานถึงสิบวันครึ่งเดือน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ความเย็นของโอสถรวมวิญญาณมรกตที่ตกตะกอนในจุดตันเถียนและจุดรวมปราณ ย่อมต้องส่งผลร้ายแรงต่อระดับพลังของเยว่เจี้ยนเวย

“ข้าก็ไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อนี่” เยว่เจี้ยนเวยทำหน้าไร้เดียงสา ดวงตาเปี่ยมด้วยความรู้สึกและเต็มไปด้วยความน่าสงสาร กล่าวว่า “พวกเราเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ท่านยังไม่ให้ข้าใช้ แล้วจะให้ข้าเบิกตาดูท่านตายหรือ?”

เยว่สือมองใบหน้าด้านซ้ายของเยว่เจี้ยนเวยที่เป็นแผลเหวอะหวะน่าสยดสยอง พลางกำหมัดแน่นจนมีเลือดไหลซึมออกจากฝ่ามือ

คนพวกนั้น ช่างเย็นชาไร้ความรู้สึก ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

เยว่เจี้ยนเวยกลับไม่สนใจคล้ายไม่รู้สึกเจ็บ นั่งยอง ๆ บนพื้นมองคันธนูที่แตกหักเพราะทนรับพลังวิญญาณของเขาไม่ไหว กล่าวด้วยความเสียดาย “นี่เป็นธนูที่ดีที่สุดของข้า คันธนูหักไปเช่นนี้ ถือว่าใช้ไม่ได้แล้ว ทั่วทั้งทวีปชางหมางไม่มีใครซ่อมได้ดีด้วยสิ”

เขาเก็บสายธนูขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด กลับรู้สึกยินดีอยู่บ้าง พูดต่อ “สายเอ็นหงส์เพลิงนี่คุณภาพดีจริง ๆ ไม่มีรอยตำหนิแม้แต่น้อย ข้าต้องเก็บไว้ รอวันหน้าหาคันธนูที่เหมาะสม ยังคงสามารถใช้ต่อได้”

แม้เยว่สือจะเป็นคนใจเย็น แต่เมื่อเห็นท่าทางไร้สำนึกของเยว่เจี้ยนเวย ก็ต้องยกมือกุมขมับด้วยความปวดหัวพร้อมกล่าว “นายน้อย ถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังห่วงเรื่องอื่นอีกหรือ ใบหน้าของท่านเสียโฉมขนาดนี้แล้ว ข้าขอรักษาบาดแผลให้ท่านก่อนเถิด”

เยว่เจี้ยนเวยลูบใบหน้าตนเอง อาศัยแสงจันทร์เลือนลางก้มมอง เลือดนั้นกลายเป็นสีแดงดำแล้ว ชัดเจนว่ามีพิษ

“เฮือก—” เยว่เจี้ยนเวยสูดลมหายใจพร้อมกับสบถว่า “เจ้าพวกชาติชั่ว พวกมันคงเห็นข้าหน้าตาดีแล้วเกิดอิจฉาแน่ ๆ ที่อื่นไม่โจมตี ดันต้องมาโจมตีหน้าเราผู้เฒ่า อะไรของมัน บัดซบ นี่มันเจ็บปวดจริง ๆ “

เยว่สือเดินเข้ามา จับมือของเยว่เจี้ยนเวยให้อยู่นิ่ง ๆ หยิบยาถอนพิษและโอสถรักษาบาดแผลกับผ้าสะอาดออกมาจัดการบาดแผล

“อย่าพูดคำหยาบ” เยว่สือกล่าว “อีกทั้งไม่ควรเรียกตัวเองเป็นผู้เฒ่า”

“อ้อ” เยว่เจี้ยนเวยกะพริบตาปริบ ๆ ขณะอยู่นิ่งเฉยให้เยว่สือรักษาบาดแผลอย่างว่าง่าย

ยาที่ขับพิษล้วนทำให้เจ็บปวด เยว่สือมองเยว่เจี้ยนเวย ก่อนกล่าวด้วยความเห็นใจ “นายน้อย หากเจ็บจนทนไม่ไหว ท่านก็จับข้าไว้เถิด”

เยว่เจี้ยนเวยเลิกคิ้วข้างหนึ่ง คิดในใจว่า ข้าคือท่านประมุขของสำนักเซียนยอดเมฆาผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า แล้วจะกลัวความเจ็บปวดได้อย่างไร?

เยว่เจี้ยนเวยโบกมือน้อย ๆ ของตนพร้อมกล่าวว่า “อย่าพูดมาก ข้าไม่กลัวความเจ็บปวดหรอก”

ผลคือ เยว่สือเพิ่งโรยผงยาลงบนบาดแผล ก็ได้ยินเสียงเยว่เจี้ยนเวยร้องโหยหวนเป็นหมูถูกเชือดแล้ว

เยว่สือ “...”

นี่เรียกว่าไม่กลัวความเจ็บปวดหรือ?

ยาที่เยว่สือพกติดตัว ล้วนเป็นยาชั้นเยี่ยม พิษจึงถูกขับออกอย่างรวดเร็ว

เยว่สือกำลังจะทายาขี้ผึ้งสมานแผล แต่กลับถูกเยว่เจี้ยนเวยผลักออกไป

“เก็บแผลไว้ก่อน ไม่รีบสมาน” เยว่เจี้ยนเวยกล่าวด้วยดวงตารื้นน้ำพลางยกมือปิดหน้า

เยว่สือขมวดคิ้ว ถามว่า “เป็นอะไรหรือ?”

เยว่เจี้ยนเวยส่ายหน้า ตอบกลับไป “เก็บไว้ย่อมมีประโยชน์ วันหน้าท่านก็จะรู้”

เยว่สือไม่เข้าใจ “เก็บแผลไว้ใช้ทำอะไรหรือ?”

เยว่เจี้ยนเวยตอบโดยไม่รู้สึกผิด “ใช้เรียกร้องความสงสาร”

เยว่สือ “...”

เยว่สือเห็นเด็กหนุ่มยืนกราน ก็ไม่ได้ทัดทานอีก นั่งลงบนก้อนหินฉีกขากางเกงรักษาบาดแผลของตัวเอง

เยว่เจี้ยนเวยนั่งยอง ๆ ข้างกายเขา จ้องมองบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก ขอบตาแดงก่ำ ถามว่า “ท่านคงไม่ได้แอบรักบิดาข้า จึงรักบ้านรวมไปถึงฝูงกาที่อยู่บนหลังคา ถึงได้ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องข้าหรอกกระมัง?”

มือของเยว่สือเกือบจะทิ่มเข้าไปในบาดแผลขณะถามกลับ “ท่านพูดเหลวไหลอันใดกัน?”

เยว่เจี้ยนเวยพูดต่อไป “ท่านคงไม่ได้ถูกบิดาข้าปฏิเสธ ผิดหวังในความรัก จึงคิดจะตายให้รู้แล้วรอดไปใช่ไหม?”

“...”

“อันที่จริงข้ากับบิดาข้าหน้าตาคล้ายกันมาก ไม่สู้ท่านลองเปลี่ยนใจมารักข้าแทนดูสิ คงไม่ต่างกันเท่าใดหรอก”

เยว่สือแทบกระอักเลือด ดีดหน้าผากของเยว่เจี้ยนเวยทีหนึ่ง แล้วกล่าว “หุบปากเถอะนายน้อย ท่านนี่ช่างจินตนาการรุ่มรวย หากข้าแอบรักบิดาท่าน ป่านนี้คงยึดครองเขาเป็นของตนเองไปนานแล้ว”

เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้า ดวงตาใสแจ๋วเต็มไปด้วยความจริงจังและความกลัว

เขาจับมือของเยว่สือ พูดเสียงแผ่วเบา “พี่เยว่สือ ท่านอย่าตายเลยนะ? หากท่านตาย ก็ไม่มีใครรักและเอาใจใส่ข้าแล้ว ข้าตัวคนเดียว ช่างน่าสงสารเหลือเกิน”

เยว่สือใจอ่อนทันที ดึงเยว่เจี้ยนเวยเข้ามาในอ้อมกอด ไม่ตอบอะไร

ผ่านไปครู่หนึ่ง เยว่สือจึงกล่าว “เรียกข้าว่าท่านอาสิ”

เยว่เจี้ยนเวย “...” ช่างทำเสียบรรยากาศจริง ๆ

เยว่เจี้ยนเวยผลักเยว่สือออก จ้องมองบาดแผลของอีกฝ่าย แล้วเอ่ย “โอสถดวงใจน้ำแข็งนั่นเป็นของปลอมหรือไร? ไหนว่าสามารถชุบชีวิตคนตายเสริมเนื้อให้กระดูก ไม่เห็นได้เรื่องผีสางสักนิด”

“ตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่พูดคำหยาบ” เยว่สือจิ้มหว่างคิ้วของเยว่เจี้ยนเวยทีหนึ่ง ก่อนกล่าว “ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดช โอสถดวงใจน้ำแข็งต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าจะออกฤทธิ์เต็มที่ นี่ยังไม่ถึงเวลา”

เขาถอนหายใจอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยความเสียดาย “หากให้ท่านทานก็คงดี”

เยว่เจี้ยนเวยมองเยว่สือ กล่าวด้วยความเคร่งขรึม “หากให้ข้ากิน เมื่อครู่ท่านก็คงหลบการโจมตีร่วมกันของสองคนนั้นไม่พ้น ป่านนี้คงตายไปแล้ว หากท่านตาย ข้าจะเก็บโอสถดวงใจน้ำแข็งไว้ทำอะไรเล่า?”

เยว่สือกล่าวอย่างจริงจังและเป็นห่วงเป็นใย “หากข้าตาย นายน้อยก็พกตรายืนยันตัว มุ่งหน้าไปทางตะวันตก ไปยังเมืองชวงจิ้งแห่งดินแดนของฮ่องเต้เยว่ตะวันตก ให้ตระกูลเยว่รับท่านกลับไป บิดาท่านเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเยว่ พวกเขาย่อมไม่รังแกท่านแน่นอน”

เยว่เจี้ยนเวยกลับยิ้มเยาะเย้ย

ตระกูลเยว่จะไม่รังแกเขาหรือ?

นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะจริง ๆ

ชาติก่อน เยว่สือตายในการต่อสู้ครั้งนี้ และตายพร้อมกับมือสังหารสองคนนั้น เขาจึงไม่มีผู้ใดคอยปกป้องอีกแล้ว

ตอนนั้นเยว่เจี้ยนเวยเพิ่งอายุสิบสี่ปี เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ที่ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ไม่เคยผ่านพบมรสุมชีวิต แกนพลังวิญญาณไม่รวมตัว พลังฝีมือก็ต่ำต้อย ซ้ำยังต้องหวาดกลัวจนนอนไม่หลับทุกคืน ระหกระเหินข้ามน้ำข้ามเขาและเมืองต่าง ๆ มากมาย เคยเก็บเศษอาหารที่คนอื่นทิ้ง เคยกินผลไม้มีพิษ ยังต้องขอทานตลอดทาง จนครบหนึ่งปีเต็มจึงไปถึงวังหลวงของฮ่องเต้เยว่

เขาซ่อนตรายืนยันตัวที่บิดาทิ้งไว้ให้ แต่พวกองครักษ์ของตระกูลเยว่กลับมีตาหามีแววไม่ ยืนกรานว่าตรานั่นเป็นของปลอม เขาไม่ยอม เพียงแต่อยากบุกเข้าไปหาญาติที่รู้จักมาเป็นพยาน แต่กลับถูกพวกองครักษ์ทุบตีแล้วโยนออกมา
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 84

    อย่างไรก็ตาม หลังถูกเยว่เจี้ยนเวยแทรกเช่นนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็มัวแต่โกรธจนไม่อยากร้องไห้ต่อแล้วเยว่เจี้ยนเวยและโม่อวิ๋นเจ๋อจึงอยู่ในศาลบรรพบุรุษอย่างเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเป็นเวลาหลายชั่วยามจากนั้น เยว่เจี้ยนเวยก็ทนไม่ไหว กล่าวว่า “ไหนเจ้าบอกมาสิ เหตุใดจึงต้องคอยหาเรื่องข้าด้วย มันก็แค่เตาปรุงยาเก่า ๆ ที่ไม่มีใครใช้แล้ว ขอยืมสักหน่อยจะเป็นไรไป? ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้า ทำไมต้องมาทำให้ข้าตกใจด้วย เวลานี้ดีแล้ว พวกเราต่างถูกลงโทษด้วยกันทั้งคู่ เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?”โม่อวิ๋นเจ๋อถ่มน้ำลาย “ถุย” ทีหนึ่ง พลางกลอกตากล่าวว่า “ข้าย่อมยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นเจ้าสมความปรารถนา”เยว่เจี้ยนเวยจึงหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์เขาหัวเราะจนโม่อวิ๋นเจ๋อขนลุกซู่ ซ้ำยังขยับเข้าไปใกล้โม่อวิ๋นเจ๋อมากขึ้นอีกหลังจากนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็เห็นว่า เยว่เจี้ยนเวยค่อย ๆ หยิบเตาปรุงยาอีกใบหนึ่งออกมาจากกำไลสรรพภพของตนเอง“ข้าลืมบอกท่านไป ข้าขโมยเตาปรุงยามาสองใบ ถูกยึดไปหนึ่งใบ ก็ยังเหลืออีกหนึ่งใบ ฮ่าๆๆๆๆๆ!”โม่อวิ๋นเจ๋อ “...”ย๊ากกกกกก!โม่อวิ๋นเจ๋อแทบคลั่ง ตนเองเพิ่งหยุดร้องไห้ได้

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 83

    โม่ชางหลานเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “พลังวิญญาณของเขา แข็งแกร่งถึงระดับนั้นเชียวหรือ?”ผู้อาวุโสซางตอบ “เป็นไปได้สูง แต่ยังต้องสังเกตการณ์ต่อไปสักระยะ คุณชายใหญ่ หากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จริง อีกทั้งยังเป็นพลังวิญญาณสองธาตุทั้งไฟและไม้ นั่นก็หมายความว่าเขาคือยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งนัก”ต้องรู้ไว้ว่า แม้แต่ระดับตบะของผู้อาวุโสซางเซวียนปัจจุบัน ก็ไม่สามารถทำให้ศิลาทดสอบพลังระเบิดได้เลยโม่ชางหลานนึกถึงภาพที่เยว่เจี้ยนเวยถือยาวิเศษลงจากเขาไปขาย ก็รู้อยู่แล้วว่าเยว่เจี้ยนเวยต้องมีความลับบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขั้นน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้โม่ชางหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เรื่องนี้รบกวนผู้อาวุโสซางอย่าเพิ่งเปิดเผยต่อผู้ใด”ผู้อาวุโสซางพยักหน้า กล่าวว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”ยามนี้ ศาสตร์การหลอมโอสถทั่วทั้งทวีปชางหมางมีแต่เสื่อมถอย หากปรากฏอัจฉริยะผู้มีพลังวิญญาณด้านการปรุงยาขึ้นที่ใด ก็จะดึงดูดสายตาผู้คนให้แอบจับตามองนับไม่ถ้วนในอดีตเคยมีปรมาจารย์นักปรุงยาอัจฉริยะผู้โด่งดังเพียงชั่วครู่ ถูกผู้อื่นแอบขโมยพลังวิญญาณด้านก

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 82

    โม่อวิ๋นเจ๋อเบิกตากว้างทันที ร้องเสียงหลงว่า “ไม่ได้นะพี่ใหญ่ เตาปรุงยาพวกนั้น คงทำให้ข้าไม่มีเบี้ยเลี้ยงไปอีกเป็นสิบปีเลยนะ!”โม่ชางหลานกล่าว “สิบปีไหนเลยจะพอ ต้องร้อยปีถึงจะครบถ้วนต่างหาก”โม่อวิ๋นเจ๋อพลันชะงักกึกเยว่เจี้ยนเวยหัวเราะร่าอยู่ในใจ พลางคิดว่าเหตุใดไม่ทำตัวโอหังแล้วล่ะ? ให้ตายเถอะ คิดจะถอดเสื้อผ้าข้าใช่หรือไม่ คิดจะเปิดโปงข้าใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชางหลานของข้าช่างเด็ดขาดและยุติธรรมโดยแท้!ใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาคิดว่าถ้าตนเองร้องไห้ตอนนี้ นอกจากพี่ใหญ่จะไม่สนใจความรู้สึกแล้วคงต้องดุด่าเขาอีกชุดใหญ่เป็นแน่ จึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ขณะที่เยว่เจี้ยนเวยกำลังแสร้งทำตัวน่าสงสารอย่างสุดความสามารถ ก็ได้ยินโม่ชางหลานกล่าวว่า “เยว่เจี้ยนเวย เหตุการณ์วันนี้ เจ้าก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน”เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้าขึ้น ตอบรับอย่างว่าง่าย “พี่ชางหลาน ข้ารู้ตัวแล้วว่าทำผิด ข้าไม่ควรขโมยของ รอให้ข้าหาเงินได้ในภายหลัง ย่อมชดใช้ให้แก่ผู้อาวุโสซางแน่นอน และต่อไปก็จะไม่ทะเลาะกับพี่อวิ๋นเจ๋ออีกแล้วขอรับ”โม่อวิ๋นเจ๋อเกร็งคอตะเบ็งเสียงว่า “ผู้ใดเป็นพี่เจ้ากัน? เจ้าอย่

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 81

    เยว่เจี้ยนเวยรีบกระชับอาภรณ์ของตน พร้อมกับร้องตะโกนว่า “มีคนลวนลาม! ช่วยด้วย คุณชายรองตระกูลโม่รังแกเด็กหนุ่มบริสุทธิ์แล้ว!”“หุบปากเดี๋ยวนี้! อย่าส่งเสียงโวยวายไปทั่ว!”“ข้าไม่หุบปาก เจ้าช่างไร้ยางอาย กล้าคิดถอดเสื้อผ้าข้ากลางวันแสก ๆ !”“ถ้าเจ้าไม่หุบปาก ข้าจะต่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!”“ต่อยเลยสิ ดูว่าผู้ใดต้องเป็นฝ่ายกลัวกันแน่!”“...”..................ครึ่งชั่วยามต่อมา ในเรือนชมธาราเมื่อโม่ชางหลานมองเด็กหนุ่มสองคนที่เสื้อผ้าและทรงผมยุ่งเหยิง กำลังนั่งคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรงพร้อมเพียงกันอยู่บนพื้น ก็ให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีด้านข้าง ยังมีผู้อาวุโสซางเซวียนที่เพิ่งรับประทานโอสถบำรุงหัวใจไปหลายเม็ดยืนอยู่ด้วย“ข้าแค่ลงไปหยิบของครู่เดียว กลับขึ้นมา ทั้งห้องก็อยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาทั้งสองคนกอดกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เฮ้อ หัวใจข้าแทบจะระเบิดเสียให้ได้”ผู้อาวุโสซางเซวียนถอนหายใจไม่หยุด รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เตาปรุงยาที่ข้าสะสมมาด้วยความยากลำบากหลายปี เสียหายไปสี่เตา หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงวัตถุเวทมนตร์... ซึ่งก็คือเตาที่ดูสวยงามแต่ใช้งานจริงไม่ได้เตานั้นเอง”โ

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 80

    ผู้อาวุโสซางแปลกใจจนเคราแทบร่วง พร้อมกับกล่าวว่า “เหลวไหล หินก้อนนี้ใช้งานมาหลายร้อยปีไม่เคยมีปัญหาอะไร ข้าว่า เป็นเพราะพลังวิญญาณในร่างกายเจ้ามากไปต่างหากที่ทำให้มันรับไม่ไหวจนระเบิดเช่นนี้”เยว่เจี้ยนเวยรู้สึกว่าเหตุผลนี้ก็มีความเป็นไปได้ ถึงแม้ในตอนที่เขาปรุงยาจะไม่ได้รู้สึกสัมผัสถึงว่าพลังวิญญาณจะมีความมหาศาลอะไร แต่นอกจากเหตุผลนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วเยว่เจี้ยนเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ท่านอาวุโสซาง หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้าคืออัจฉริยะด้านการปรุงยาเพียงหนึ่งเดียวในโลก? เอาตรง ๆ ช่วงนี้เวลาข้านอนหลับข้าก็รู้สึกอยู่ว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอบอวลอยู่ในร่างกายข้าจนแทบจะระเบิด ณ เวลานั้นข้าอยากจะลุกขึ้นมาหยิบเตาปรุงยามาฝึกจนใจจะขาด วันนี้ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของก้อนหิน งั้นก็คงเป็นข้าเองที่เก่งกล้าเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”ผู้อาวุโสซาง “…”เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองถึงแม้ว่าผู้อาวุโสซางจะพอเดาพรสวรรค์ของเยว่เจี้ยนเวยได้อยู่ แต่พอได้ยินเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้ากล่าวโอ้อวดตนอย่างไม่เขินอาย ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกปากอย่างไม่เห็นด้วยก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 79

    ผู้อาวุโสซางเซวียน “...”ไม่เป็นความจริงเลยสักนิด เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผ่านมา โม่อวิ๋นเจ๋อยังมาหาเขาพร้อมกับสาบานอย่างคับแค้นใจด้วยความโกรธว่าจะหักเงินจากค่าขนมของเยว่เจี้ยนเวยในแต่ละเดือนเพื่อมาชดใช้ค่ายาที่แสนแพงชิ้นนี้และแน่นอน ในเมื่อเยว่เจี้ยนเวยเอ่ยชมเชยโม่อวิ๋นเจ๋อขนาดนี้ ผู้อาวุโสซางจึงเล็งเห็นว่าการปกป้องภาพลักษณ์อันเฉลียวฉลาดและเก่งกล้าสามารถของคุณชายรองนั้นสำคัญกว่า จึงพนักหน้าพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว คุณชายรองเป็นคนเช่นนี้แหละ เจ้าโชคดีจริง ๆ ”เมื่อผู้อาวุโสซางสอนวิชาเสร็จ จึงเดินมาดูเยว่เจี้ยนเวยและกล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าตั้งใจจะศึกษาเคล็ดโอสถวิเศษ”เยว่เจี้ยนพยักหน้าพร้อมตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ ข้าสนใจเคล็ดโอสถวิเศษอย่างมาก”ผู้อาวุโสซางกล่าวต่อว่า “เคล็ดโอสถวิเศษค่อนข้างน่าเบื่อ ในระหว่างการฝึกฝนต้องใช้ความอดทนอย่างสูง เจ้ายังเด็ก กำลังอยู่ในวัยชอบเล่นสนุก เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ เป็นเวลาสิบชั่วโมง หรือเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีได้สักเท่าไร?”เยว่เจี้ยนเวยฉีกยิ้มที่ดูนอบน้อมและน่ารัก รอยยิ้มที่กว้างจนเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มของเขา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status