แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: ซุปเม็ดบัวน้ำตาลกรวด
ต่อมา เยว่เจี้ยนเวยได้หยุดขบวนของเยว่อิ่นจือทายาทตระกูลเยว่ที่กำลังเดินทางกลับบ้านเยี่ยมญาติ แล้วแสดงตรายืนยันตัวให้เขาดู เยว่อิ่นจือเห็นสภาพอันน่าสงสารจึงพาเขาไปยังตระกูลเยว่ หลังจากถามไถ่เรื่องราวต่าง ๆ จนแน่ใจในตัวตนของเยว่เจี้ยนเวยแล้ว ก็สั่งให้คนในตระกูลเยว่รับเขาไว้ ให้การดูแลเหมือนสมาชิกสายตรงของตระกูล และยังกำชับทุกคนว่าห้ามดูแคลนเด็ดขาด

แม้เยว่อิ่นจือจะเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบพูดมาก แต่เขาก็เป็นคนที่มีเหตุผล และเป็นคนเดียวในตระกูลเยว่ที่เยว่เจี้ยนเวยชื่นชอบ

แต่เยว่อิ่นจือก็เป็นศิษย์สำนักราชันย์คืนวิญญาณ เขากลับมาได้เพียงสองเดือนก็ต้องจากไปอีกครั้ง หลังจากนั้นหลายปีก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

หลังเยว่อิ่นจือจากไป คนในตระกูลเยว่ที่เคยสุภาพนอบน้อมกับเยว่เจี้ยนเวยก็เปลี่ยนไปในทันที พวกเขาไม่เพียงแต่เย้ยหยันต่อหน้าว่าบิดาของเขาเป็นคนใจดำอำมหิตไม่ใส่ใจตระกูล แต่ยังอาศัยการที่เยว่เจี้ยนเวยไม่มีผู้ใดคุ้มครอง รังแกเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ให้ทรัพยากรฝึกวิชาใด ๆ แม้แต่เสื้อผ้าใหม่ก็ไม่ให้สวมใส่ และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น พวกศิษย์ตระกูลเยว่ยังรวมหัวกันแย่งชิงกำไลสรรพภพที่บิดาให้เขาไว้ แล้วเอาของข้างในไปเป็นของตัวเอง...

ยิ่งเยว่เจี้ยนเวยนึกถึงตัวเองในอดีตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกสงสารตัวเองมากเท่านั้น

ในตอนนั้น เขาย่อมต้องร้องไห้ แต่ต่อมาพบว่ายิ่งร้องก็ยิ่งถูกรังแก จึงไม่เคยร้องไห้อีกเลย

ชาติก่อน เยว่เจี้ยนเวยจึงแทบไม่เคยหลั่งน้ำตา

แต่ตอนนี้ อาจเพราะอายุยังน้อย และกลับมามีจิตใจของเด็กหนุ่มอีกครั้ง หรืออาจเป็นเพราะมีเยว่สือคอยตามใจและปกป้อง เยว่เจี้ยนเวยจึงร้องไห้สะอึกสะอื้น

เมื่อเยว่สือเห็นก็ตกใจทันที รีบอุ้มเยว่เจี้ยนเวยไว้ในอ้อมกอด ลูบศีรษะและใบหน้า พลางกล่าวว่า “นายน้อยร้องไห้เหตุใดกันเล่า? หากเจ็บแผล เมื่อถึงเมืองข้างหน้า ข้าจะไปซื้อยาบรรเทาปวดให้นายน้อย แล้วซื้อของอร่อย ๆ มาด้วย ดีหรือไม่?”

เยว่เจี้ยนเวยซุกหน้าในอ้อมอกของเยว่สือ พลางร้องไห้พูดว่า “ข้าแค่ไม่อยากไปตระกูลเยว่ ข้าเกลียดพวกเขา”

เยว่สือชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้ นายท่านมอบเส้นทางไว้สองเส้น หนึ่งคือไปตระกูลเยว่ในดินแดนเซียนตะวันตก อีกหนึ่งคือไปแดนหิมะขาวของเมืองร้างทางเหนือ เมื่อเปรียบเทียบกัน ตระกูลเยว่ย่อมดีกว่ามาก แดนหิมะขาวไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมเลวร้าย ทว่าเจ้าเมืองแดนหิมะขาวตระกูลโม่ ยังมีความแค้นกับบิดาของนายน้อยด้วย”

เยว่เจี้ยนเวยมองเยว่สือด้วยดวงตารื้นน้ำ ถามว่า “แค้นอะไร?”

เยว่สือกล่าว “คู่ครองของเจ้าเมืองโม่มีนามว่าเยว่ชิงหง ซึ่งก็คือบิดาบุญธรรมของนายน้อย แต่ก่อนเคยเป็นคู่หมั้นตั้งแต่เด็กของบิดาท่าน หากไม่ใช่เพราะเจ้าเมืองโม่แทรกกลางอย่างโจรป่า ชิงตัวไปแต่งงาน บางทีนายน้อยอาจไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาก็เป็นได้ เจ้าเมืองโม่กับบิดาท่าน นับว่าเป็นคู่อริที่เจอหน้ากันแล้วเลือดขึ้นหน้า ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านมาร้อยปีแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคนแซ่โม่นั่นจะกลั่นแกล้งนายน้อยหรือไม่”

เยว่เจี้ยนเวย “...”

บิดาของเขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเยว่ มีนามว่าเยว่กูหยิ่ง ที่ให้ทางเลือกไปดินแดนหิมะขาวตระกูลโม่ ก็เพราะว่าภรรยาเจ้าเมืองแดนหิมะขาวคือเยว่ชิงหงเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันกับบิดาเขา เป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลเยว่ และยังเป็นบิดาบุญธรรมของเขา คิดว่าคงจะดูแลเขาได้ดีแน่นอน

แต่เจ้าเมืองโม่อย่างโม่ยี่หานนั้นต่างออกไป

คนผู้นี้มักพูดจาขวานผ่าซาก นิสัยไม่ดี ชอบทำตัวเย็นชาสูงส่ง กิริยาท่าทางเหมือนโจรถ่อย ซ้ำยังขี้น้อยใจเป็นพิเศษ ตามที่บิดาบอก สมัยก่อนตอนอยู่ทวีปชางหมาง โม่ยี่หานไม่เคยหยุดนินทาและกลั่นแกล้งบิดาเขาเลย

เมื่อต้องมาพบเจอกับบุตรชายของศัตรูหัวใจ โม่ยี่หานย่อมไม่มีทางใจอ่อนแน่

เยว่เจี้ยนเวยก็รู้สึกลำบากใจ เพราะในชาติก่อนช่วงเวลานี้ เยว่ชิงหงไม่อยู่ที่ดินแดนหิมะขาวตระกูลโม่แล้ว ถึงแม้เขาจะไปดินแดนหิมะขาว ก็ไม่มีบิดาบุญธรรมคอยคุ้มครอง มีเพียงโม่ยี่หานที่เย็นชายิ่งกว่าหิมะเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เยว่เจี้ยนเวยก็ยังคงเลือกไปดินแดนหิมะขาวอยู่ดี

“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไปตระกูลเยว่” เยว่เจี้ยนเวยยืนยันอย่างแน่วแน่ กล่าวว่า “ตระกูลโม่นั้นดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังอยู่ห่างไกล พวกเราซ่อนตัวที่นั่น ย่อมถูกพบตัวได้ไม่ง่าย ส่วนตระกูลเยว่นั้นโดดเด่นเกินไป”

เยว่สือยังไม่ค่อยเห็นด้วย พูดอย่างเคร่งเครียดว่า “นายน้อย ตระกูลเยว่อยู่ในทวีปเซียน ทรัพยากรฝึกวิชาอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งตระกูลเยว่เป็นตระกูลดั้งเดิมของบิดาท่าน มีอำนาจและสถานะสูงส่ง ที่นั่นยังมีสี่ฤดูที่เหมือนวสันตฤดูทั้งปี พลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมย่อมเหมาะกับนายน้อยมากกว่าขอรับ”

“ไม่ ข้าไม่ไปตระกูลเยว่ ข้าจะไปดินแดนหิมะขาว” เยว่เจี้ยนเวยยืนกรานอย่างหนักแน่น ต่อให้ไม่มีโม่ชางหลาน เขาก็จะไม่ไปทนทุกข์ที่ตระกูลเยว่แน่นอน จึงออดอ้อน “พี่เยว่สือ ตกลงตามข้านะ”

เยว่สือลูบศีรษะของเยว่เจี้ยนเวย พูดด้วยความจนปัญญาว่า “บอกแล้วว่าให้เรียกท่านอา ข้ากับบิดาท่านเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านอย่าได้ฉวยโอกาสกับข้า”

เยว่เจี้ยนเวยยืนกรานว่า “คนหน้าตาดีล้วนเป็นพี่ชายทั้งนั้นแหละ”

เยว่สือ “...”

เยว่สือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้เขาจะยังคงเอนเอียงไปทางตระกูลเยว่ แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เยว่เจี้ยนเวยพูดมีเหตุผลไม่น้อย สาเหตุที่พวกเขาไปพึ่งพาผู้อื่น ก็เพื่อหาที่ซ่อนตัว และเพื่อหนีเอาชีวิตรอด เยว่เจี้ยนเวยถึงกับเปลี่ยนทั้งชื่อทั้งแซ่ ย่อมเห็นได้ถึงความอันตราย

เยว่สือขมวดคิ้ว จ้องมองเยว่เจี้ยนเวยด้วยความสงสัยก่อนกล่าวว่า “เหตุผลที่นายน้อยยืนกรานจะไปตระกูลโม่ให้ได้ คงไม่ใช่แค่เพราะตระกูลโม่อยู่ห่างไกลกระมัง?”

สภาพแวดล้อมของดินแดนหิมะขาวไม่ใช่แค่เลวร้ายธรรมดา แต่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี บางครั้งก็มีชนเผ่าอื่นมาโจมตี ไม่เคยเป็นสถานที่สงบสุข

เยว่เจี้ยนเวยถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาแต่เล็ก ชื่นชอบความสนุกสนานและความสุขสบาย ก่อนหน้านี้ยังร้องไห้ตะโกนว่าจะไม่ยอมไปเมืองร้างทางเหนือเด็ดขาด แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจแล้ว ทำให้น่าสงสัยยิ่งนัก

พลันได้ยินเยว่เจี้ยนเวยพูดอย่างจริงจัง น้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าจะบอกความจริงให้ แต่ท่านต้องรักษาความลับให้ข้านะ”

เยว่สือ “...”

เยว่สือพยักหน้า กล่าวว่า “แน่นอน ข้าจะรักษาความลับ”

เยว่เจี้ยนเวยกล่าว “ข้าอยากไปหาบุคคลที่งดงามที่สุดในใต้หล้า ท่านเคยได้ยินชื่อโม่ชางหลานทายาทตระกูลโม่หรือไม่? เขาหน้าตาหล่อเหลางดงามจนฟ้าดินต้องตะลึง ผีวิญญาณต้องร้องไห้ งดงามจนไม่รู้จะพรรณนาอย่างไร ผู้ใดอยู่ใกล้น้ำย่อมได้เห็นดวงจันทร์ก่อน วันข้างหน้าข้าจะต้องแต่งกับเขาให้ได้”

หลังพูดจบ เยว่เจี้ยนเวยก็หัวเราะเบิกบานใจ เมื่อคิดว่าจะได้พบกับโม่ชางหลานเร็วขนาดนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกปลื้มปีติในใจ แม้แต่ใบหน้าก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว

เยว่สือมองใบหน้าของนายน้อยที่ดูเหมือนคนสมองเลอะเลือนด้วยความรักก็ถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกหดหู่และเจ็บปวดใจ กล่าวว่า “นายน้อย อย่าล้อเล่นเลย โม่ชางหลานไม่มีทางเป็นภรรยาของท่านได้หรอก”

เยว่เจี้ยนเวยกลับสงบนิ่ง กล่าวว่า “ก็จริง ถึงอย่างไรโม่ชางหลานก็เป็นฝ่ายรุก งั้นข้ายอมเป็นภรรยาก็ได้”

เยว่สือเดินสะดุดก้าวหนึ่ง เกือบล้มคะมำลงกับพื้น—เขารู้สึกว่าการอบรมสั่งสอนของนายท่านทั้งสองที่มีต่อนายน้อย ดูท่าจะมีปัญหาพอควร

เยว่สือยืนอย่างมั่นคง หายใจลึก ๆ พูดด้วยความอดทนว่า “นายน้อยไม่ควรเลือกคู่ครองด้วยหน้าตา โม่ชางหลานแต่ก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้าจริง กระทั่งตระกูลใหญ่ในทวีปเซียนจื่อเจ๋อก็เชิญเขาไปฝึกฝนเป็นกรณีพิเศษ แต่เขาไปทวีปเซียนจื่อเจ๋อไม่นาน ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการฝึกฝน กลายเป็นคนตาบอดขาพิการ มองไม่เห็นและเดินไม่ได้ โดยพื้นฐานนั้น ถือว่าเขาใช้การไม่ได้แล้วขอรับ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาสีอำพันของเยว่เจี้ยนเวยก็เปล่งประกายเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัว

โม่ชางหลานไม่ได้ตาบอดขาพิการเพราะบาดเจ็บสาหัสอะไร แต่ชัดเจนว่าถูกวางยาพิษสลายหมื่นกระดูกต่างหาก

ผู้คนตระกูลสายเลือดกิเลน ช่างวางแผนได้แยบยลจริง ๆ

แรกเริ่มพวกเขาทำเป็นใจกว้างเชิญโม่ชางหลานไปทวีปเซียนจื่อเจ๋อ บอกว่าหากผ่านการฝึกฝนได้สำเร็จ ไม่ต้องเหาะเหินขึ้นสวรรค์ก็สามารถฝึกวิชาในทวีปเซียนจื่อเจ๋อได้

จากนั้นเมื่อโม่ชางหลานมาถึง ก็วางยาพิษเขา ทำให้บุคคลผู้เป็นยอดคนกลายเป็นคนพิการที่ทุกคนหัวเราะเยาะและดูถูก ซ้ำยังมอบเงินทองให้อย่างหน้าไม่อาย แสดงความเสียดายว่าโม่ชางหลานไม่มีวาสนา ก่อนโยนเขากลับแดนหิมะขาว ทำให้กลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั้งสองภพ

“ข้าไม่สน ไม่ว่าผู้ใดจะยินยอมหรือไม่ ข้าก็ต้องอยู่กับเขาให้ได้” น้ำเสียงของเยว่เจี้ยนเวยเรียบเฉย แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งได้สักนิด

เขาไม่สนใจว่าเยว่สือคิดอย่างไร เดินตรงไปยังศพของมือสังหารสองคนนั้น ดึงแหวนเก็บของออกจากนิ้วที่แหลกเละของศพ แล้วค้นกระเป๋าเก็บของออกมาด้วย

จากนั้น ก็เทน้ำยาสลายศพลงไป ปกปิดอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในคืนนี้โดยสมบูรณ์

เยว่สือยังจมอยู่กับความกังวลว่านายน้อยของตนมีความคิดไม่อยู่กับร่องกับรอย จังหวะนั้นก็เห็นเยว่เจี้ยนเวยค้นหาและพบของดีหลายอย่างจากถุงเก็บของ ก่อนเอาใส่กำไลสรรพภพของตนเองหน้าตาเฉย

เยว่เจี้ยนเวยปรบมือด้วยความยินดี กล่าวว่า “หลังจากนี้เมื่อไปถึงดินแดนหิมะขาว พวกเราคงต้องลำบากหน่อย แต่อย่างน้อยค่าใช้จ่ายระหว่างทางก็หายห่วง ตาเฒ่าสองคนนี้ฝีมือมีไม่เท่าไหร่ แต่เงินทองกลับมีไม่น้อยทีเดียว”

เยว่สือ “...”

นายน้อยของเขาก่อนหน้านี้ยังเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก เหตุใดหลังจากได้รับพิษและฟื้นขึ้นมา ถึงกลายเป็นคนหยาบกระด้างเช่นนี้ล่ะ?

เยว่สือรู้สึกเหมือนแม่เฒ่าที่ปวดใจ คงเป็นเพราะตลอดเส้นทางนี้ พบเจอความยากลำบากมากเกินไป เยว่เจี้ยนเวยถึงได้โตเป็นผู้ใหญ่ในคืนเดียว ช่างน่าสงสารโดยแท้

เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปดินแดนหิมะขาวทางเหนือ เยว่สือก็พาเยว่เจี้ยนเวยเปลี่ยนทิศทาง

ดินแดนหิมะขาวอยู่ในภพภูมิเบื้องล่าง และตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีปเหนือ ไม่เพียงแต่ระยะทางจะห่างไกล แต่ยิ่งไปทางเหนือมากเท่าไหร่ สภาพอากาศก็ยิ่งเลวร้ายมากเท่านั้น บางครั้งหิมะตกหนัก บางครั้งเจอพายุทราย ภูมิประเทศก็เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง มีภูเขาสูงชันและหินประหลาดมากมาย ทั้งมีโจรเถื่อนคอยปล้นสะดมในป่าเขาอีกไม่น้อย

เยว่สือพาเยว่เจี้ยนเวยออกเดินทางอย่างเร่งรีบสลับเชื่องช้า กว่าจะมาถึงเขตดินแดนหิมะขาวก็ใช้เวลาเกือบสามเดือน

ระหว่างทาง เยว่สือซื้อยารักษาแผลและยาถอนพิษมากมายในเมืองใหญ่ที่ผ่านพบ ซ้ำยังซื้อเสื้อผ้าใหม่หลายชุดให้เยว่เจี้ยนเวย และได้ขอให้ช่างตีอาวุธทำหน้ากากเงินที่ปิดเฉพาะใบหน้าด้านซ้ายตามรูปหน้าของเยว่เจี้ยนเวยอีกด้วย

เยว่เจี้ยนเวยสั่งให้ช่างตีอาวุธแกะลวดลายบนหน้ากากด้วยความกระตือรือร้น ไม่สนใจเลยว่าแผลบนใบหน้าด้านซ้ายของตนเองลึกจนเห็นกระดูกแล้ว

เยว่สือรู้สึกสงสารยิ่งนัก แต่เยว่เจี้ยนเวยยืนกรานไม่ยอมรักษา เด็กหนุ่มสวมหน้ากากนั้น เมื่อส่องกระจกก็ให้รู้สึกว่าตนเองทั้งงดงามและหล่อเหลาเสียเหลือเกิน

เยว่สือ “...”

หลังจากข้ามเทือกเขาอันตรายที่แม้แต่นกก็ไม่อยากบินผ่าน เยว่สือก็มองเห็นดินแดนหิมะขาวที่มีหิมะตกตลอดปีตามตำนานจากระยะไกล

“ไม่ได้มานานหลายปี ดินแดนหิมะขาวก็ยังคงหนาวเย็นเช่นเคย” เยว่สือขี่ออาชาหนุ่มสีมรกตที่ราคาแพงที่สุด โดยที่มีเยว่เจี้ยนเวยนั่งอยู่ด้านหน้า

เยว่เจี้ยนเวยเริ่มร้อนใจอยากพบโม่ชางหลานแล้ว เขาพูดด้วยความกระตือรือร้น “ขณะที่ฟ้ายังไม่มืด พวกเรารีบเข้าเมืองกันเถิด ที่นี่อยู่ใกล้ประตูเมืองตะวันตก ครึ่งชั่วยามย่อมไปถึงแน่”

เยว่สือสูดลมหายใจ ร้อง “เชอะ” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนควบอาชามุ่งหน้าไปยังแดนหิมะขาว

แต่เพิ่งออกวิ่งได้ไม่นาน เยว่สือก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 84

    อย่างไรก็ตาม หลังถูกเยว่เจี้ยนเวยแทรกเช่นนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็มัวแต่โกรธจนไม่อยากร้องไห้ต่อแล้วเยว่เจี้ยนเวยและโม่อวิ๋นเจ๋อจึงอยู่ในศาลบรรพบุรุษอย่างเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเป็นเวลาหลายชั่วยามจากนั้น เยว่เจี้ยนเวยก็ทนไม่ไหว กล่าวว่า “ไหนเจ้าบอกมาสิ เหตุใดจึงต้องคอยหาเรื่องข้าด้วย มันก็แค่เตาปรุงยาเก่า ๆ ที่ไม่มีใครใช้แล้ว ขอยืมสักหน่อยจะเป็นไรไป? ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้า ทำไมต้องมาทำให้ข้าตกใจด้วย เวลานี้ดีแล้ว พวกเราต่างถูกลงโทษด้วยกันทั้งคู่ เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?”โม่อวิ๋นเจ๋อถ่มน้ำลาย “ถุย” ทีหนึ่ง พลางกลอกตากล่าวว่า “ข้าย่อมยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นเจ้าสมความปรารถนา”เยว่เจี้ยนเวยจึงหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์เขาหัวเราะจนโม่อวิ๋นเจ๋อขนลุกซู่ ซ้ำยังขยับเข้าไปใกล้โม่อวิ๋นเจ๋อมากขึ้นอีกหลังจากนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็เห็นว่า เยว่เจี้ยนเวยค่อย ๆ หยิบเตาปรุงยาอีกใบหนึ่งออกมาจากกำไลสรรพภพของตนเอง“ข้าลืมบอกท่านไป ข้าขโมยเตาปรุงยามาสองใบ ถูกยึดไปหนึ่งใบ ก็ยังเหลืออีกหนึ่งใบ ฮ่าๆๆๆๆๆ!”โม่อวิ๋นเจ๋อ “...”ย๊ากกกกกก!โม่อวิ๋นเจ๋อแทบคลั่ง ตนเองเพิ่งหยุดร้องไห้ได้

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 83

    โม่ชางหลานเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “พลังวิญญาณของเขา แข็งแกร่งถึงระดับนั้นเชียวหรือ?”ผู้อาวุโสซางตอบ “เป็นไปได้สูง แต่ยังต้องสังเกตการณ์ต่อไปสักระยะ คุณชายใหญ่ หากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จริง อีกทั้งยังเป็นพลังวิญญาณสองธาตุทั้งไฟและไม้ นั่นก็หมายความว่าเขาคือยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งนัก”ต้องรู้ไว้ว่า แม้แต่ระดับตบะของผู้อาวุโสซางเซวียนปัจจุบัน ก็ไม่สามารถทำให้ศิลาทดสอบพลังระเบิดได้เลยโม่ชางหลานนึกถึงภาพที่เยว่เจี้ยนเวยถือยาวิเศษลงจากเขาไปขาย ก็รู้อยู่แล้วว่าเยว่เจี้ยนเวยต้องมีความลับบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขั้นน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้โม่ชางหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เรื่องนี้รบกวนผู้อาวุโสซางอย่าเพิ่งเปิดเผยต่อผู้ใด”ผู้อาวุโสซางพยักหน้า กล่าวว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”ยามนี้ ศาสตร์การหลอมโอสถทั่วทั้งทวีปชางหมางมีแต่เสื่อมถอย หากปรากฏอัจฉริยะผู้มีพลังวิญญาณด้านการปรุงยาขึ้นที่ใด ก็จะดึงดูดสายตาผู้คนให้แอบจับตามองนับไม่ถ้วนในอดีตเคยมีปรมาจารย์นักปรุงยาอัจฉริยะผู้โด่งดังเพียงชั่วครู่ ถูกผู้อื่นแอบขโมยพลังวิญญาณด้านก

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 82

    โม่อวิ๋นเจ๋อเบิกตากว้างทันที ร้องเสียงหลงว่า “ไม่ได้นะพี่ใหญ่ เตาปรุงยาพวกนั้น คงทำให้ข้าไม่มีเบี้ยเลี้ยงไปอีกเป็นสิบปีเลยนะ!”โม่ชางหลานกล่าว “สิบปีไหนเลยจะพอ ต้องร้อยปีถึงจะครบถ้วนต่างหาก”โม่อวิ๋นเจ๋อพลันชะงักกึกเยว่เจี้ยนเวยหัวเราะร่าอยู่ในใจ พลางคิดว่าเหตุใดไม่ทำตัวโอหังแล้วล่ะ? ให้ตายเถอะ คิดจะถอดเสื้อผ้าข้าใช่หรือไม่ คิดจะเปิดโปงข้าใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชางหลานของข้าช่างเด็ดขาดและยุติธรรมโดยแท้!ใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาคิดว่าถ้าตนเองร้องไห้ตอนนี้ นอกจากพี่ใหญ่จะไม่สนใจความรู้สึกแล้วคงต้องดุด่าเขาอีกชุดใหญ่เป็นแน่ จึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ขณะที่เยว่เจี้ยนเวยกำลังแสร้งทำตัวน่าสงสารอย่างสุดความสามารถ ก็ได้ยินโม่ชางหลานกล่าวว่า “เยว่เจี้ยนเวย เหตุการณ์วันนี้ เจ้าก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน”เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้าขึ้น ตอบรับอย่างว่าง่าย “พี่ชางหลาน ข้ารู้ตัวแล้วว่าทำผิด ข้าไม่ควรขโมยของ รอให้ข้าหาเงินได้ในภายหลัง ย่อมชดใช้ให้แก่ผู้อาวุโสซางแน่นอน และต่อไปก็จะไม่ทะเลาะกับพี่อวิ๋นเจ๋ออีกแล้วขอรับ”โม่อวิ๋นเจ๋อเกร็งคอตะเบ็งเสียงว่า “ผู้ใดเป็นพี่เจ้ากัน? เจ้าอย่

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 81

    เยว่เจี้ยนเวยรีบกระชับอาภรณ์ของตน พร้อมกับร้องตะโกนว่า “มีคนลวนลาม! ช่วยด้วย คุณชายรองตระกูลโม่รังแกเด็กหนุ่มบริสุทธิ์แล้ว!”“หุบปากเดี๋ยวนี้! อย่าส่งเสียงโวยวายไปทั่ว!”“ข้าไม่หุบปาก เจ้าช่างไร้ยางอาย กล้าคิดถอดเสื้อผ้าข้ากลางวันแสก ๆ !”“ถ้าเจ้าไม่หุบปาก ข้าจะต่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!”“ต่อยเลยสิ ดูว่าผู้ใดต้องเป็นฝ่ายกลัวกันแน่!”“...”..................ครึ่งชั่วยามต่อมา ในเรือนชมธาราเมื่อโม่ชางหลานมองเด็กหนุ่มสองคนที่เสื้อผ้าและทรงผมยุ่งเหยิง กำลังนั่งคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรงพร้อมเพียงกันอยู่บนพื้น ก็ให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีด้านข้าง ยังมีผู้อาวุโสซางเซวียนที่เพิ่งรับประทานโอสถบำรุงหัวใจไปหลายเม็ดยืนอยู่ด้วย“ข้าแค่ลงไปหยิบของครู่เดียว กลับขึ้นมา ทั้งห้องก็อยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาทั้งสองคนกอดกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เฮ้อ หัวใจข้าแทบจะระเบิดเสียให้ได้”ผู้อาวุโสซางเซวียนถอนหายใจไม่หยุด รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เตาปรุงยาที่ข้าสะสมมาด้วยความยากลำบากหลายปี เสียหายไปสี่เตา หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงวัตถุเวทมนตร์... ซึ่งก็คือเตาที่ดูสวยงามแต่ใช้งานจริงไม่ได้เตานั้นเอง”โ

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 80

    ผู้อาวุโสซางแปลกใจจนเคราแทบร่วง พร้อมกับกล่าวว่า “เหลวไหล หินก้อนนี้ใช้งานมาหลายร้อยปีไม่เคยมีปัญหาอะไร ข้าว่า เป็นเพราะพลังวิญญาณในร่างกายเจ้ามากไปต่างหากที่ทำให้มันรับไม่ไหวจนระเบิดเช่นนี้”เยว่เจี้ยนเวยรู้สึกว่าเหตุผลนี้ก็มีความเป็นไปได้ ถึงแม้ในตอนที่เขาปรุงยาจะไม่ได้รู้สึกสัมผัสถึงว่าพลังวิญญาณจะมีความมหาศาลอะไร แต่นอกจากเหตุผลนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วเยว่เจี้ยนเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ท่านอาวุโสซาง หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้าคืออัจฉริยะด้านการปรุงยาเพียงหนึ่งเดียวในโลก? เอาตรง ๆ ช่วงนี้เวลาข้านอนหลับข้าก็รู้สึกอยู่ว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอบอวลอยู่ในร่างกายข้าจนแทบจะระเบิด ณ เวลานั้นข้าอยากจะลุกขึ้นมาหยิบเตาปรุงยามาฝึกจนใจจะขาด วันนี้ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของก้อนหิน งั้นก็คงเป็นข้าเองที่เก่งกล้าเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”ผู้อาวุโสซาง “…”เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองถึงแม้ว่าผู้อาวุโสซางจะพอเดาพรสวรรค์ของเยว่เจี้ยนเวยได้อยู่ แต่พอได้ยินเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้ากล่าวโอ้อวดตนอย่างไม่เขินอาย ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกปากอย่างไม่เห็นด้วยก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 79

    ผู้อาวุโสซางเซวียน “...”ไม่เป็นความจริงเลยสักนิด เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผ่านมา โม่อวิ๋นเจ๋อยังมาหาเขาพร้อมกับสาบานอย่างคับแค้นใจด้วยความโกรธว่าจะหักเงินจากค่าขนมของเยว่เจี้ยนเวยในแต่ละเดือนเพื่อมาชดใช้ค่ายาที่แสนแพงชิ้นนี้และแน่นอน ในเมื่อเยว่เจี้ยนเวยเอ่ยชมเชยโม่อวิ๋นเจ๋อขนาดนี้ ผู้อาวุโสซางจึงเล็งเห็นว่าการปกป้องภาพลักษณ์อันเฉลียวฉลาดและเก่งกล้าสามารถของคุณชายรองนั้นสำคัญกว่า จึงพนักหน้าพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว คุณชายรองเป็นคนเช่นนี้แหละ เจ้าโชคดีจริง ๆ ”เมื่อผู้อาวุโสซางสอนวิชาเสร็จ จึงเดินมาดูเยว่เจี้ยนเวยและกล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าตั้งใจจะศึกษาเคล็ดโอสถวิเศษ”เยว่เจี้ยนพยักหน้าพร้อมตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ ข้าสนใจเคล็ดโอสถวิเศษอย่างมาก”ผู้อาวุโสซางกล่าวต่อว่า “เคล็ดโอสถวิเศษค่อนข้างน่าเบื่อ ในระหว่างการฝึกฝนต้องใช้ความอดทนอย่างสูง เจ้ายังเด็ก กำลังอยู่ในวัยชอบเล่นสนุก เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ เป็นเวลาสิบชั่วโมง หรือเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีได้สักเท่าไร?”เยว่เจี้ยนเวยฉีกยิ้มที่ดูนอบน้อมและน่ารัก รอยยิ้มที่กว้างจนเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มของเขา

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status